ตอนที่ ๘ ชิงตัวสาวงาม
ชั้นบนสุดของหอเฟิ่งหวง ลู่เสียนกำลังถูกสาวใช้จับประโคมโฉมยกใหญ่ ดวงหน้าที่ถูกตกแต่งแต้มจนหนาเตอะยิ่งขับให้ความงดงามของนางสั่นสะท้านจิตวิญญาณของผู้คน ราวกับยอดบุปผาแห่งคาวโลกีย์อย่างไรอย่างนั้น แพขนตาหนาหลุบมองสิ่งของในมือ ดวงตาที่ถูกตกแต่งจนคมมีแววเศร้าสร้อยอยู่หลายส่วน ในมือของนางเป็นผ้าแถบรัดผมของบุรุษที่ช่วยนางเอาไว้ นางมองลวดลายมังกรบนแถบผ้า กระแสลมพัดแรงจนมันโบกสะบัด มังกรบนผืนผ้าเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต
“ไป๋เฟิ่ง...หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ แม่เองก็จนปัญญาที่จะหลบเลี่ยงแล้วนะ” แม่เล้าหยวนพูดไปก็ถอนหายใจไปด้วย นางหลีกเลี่ยงการประมูลคืนแรกของไป๋เฟิ่งมาเป็นเวลานานมากแล้ว คราวนี้หากไป๋เฟิ่งไม่เลือก หอเฟิ่งหวงอาจจะต้องยุบกิจการ
“แม่หยวน ข้าไม่ทันตั้งตัว เหตุใดจึงไม่บอกก่อนว่าท่านถูกอำนาจมืดกดดัน”
เรื่องราวกระชั้นชิดเกินไป หลังจากแยกกับกู้เหยียนชิง นางก็รีบขึ้นมายังหอเฟิ่งหวง คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเตรียมตัว แม่หยวนก็ให้คนมาส่งข่าวแล้ว จากการเป็นคณิกาที่ขายศิลป์ไม่ขายตัว จนแล้วจนรอดก็ต้องมาถูกอำนาจของคนผู้หนึ่งข่มเหงเช่นนี้
กฎหมายของอาณาจักรต้าหมิง นางคณิกาสามารถเลือกค่ำคืนแรกของตนเองได้ หรือแม้แต่ขายตัวออกไปเพื่อเป็นอนุของผู้อื่น แม้ว่าคณิกาที่ขายศิลป์จะไม่ต้องขายตัว ทว่าหากมีคนคอยกดดันทางหอคณิกาก็จำเป็นต้องจัดการคืนแรกของคณิกาทุกนางให้ถูกต้อง
ลู่เสียนรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง นางครุ่นคิดถึงบุคคลที่เป็นไปได้ว่าจะสามารถทำข้อตกลงกับใครได้บ้าง นางได้ข่าวว่าเซวียนเซวียนคณิกาคนใหม่ของหอเฟิ่งหวง มาถึงก็เลือกเยี่ยเหวินอี้เพื่อเปิดบริสุทธิ์ ลงมือได้รวดเร็วฉับไวยิ่ง ฉินหลี่เปียว...รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทว่ากลับรักความสะอาดและตระหนี่พอๆ กับนาง ไปกับคนผู้นี้รังแต่จะทะเลาะกันเสียเปล่า
กู้เหยียนชิง...เขาไม่อยู่ที่นี่ หาไม่เช่นนั้นแล้วพี่กู้ย่อมดีที่สุด
ผ้าในมือของลู่เสียนโบกสะบัดราวกับเรียกร้องความสนใจจากนาง ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามเหนือใครขององค์ชายสิบสามลอยมาในมโนภาพ
‘พี่เจี๋ย’ ผู้เย็นชาหรือ? นางอาจจะตกลงกับเขาได้
บังเอิญเหลือเกินที่วันนี้เขามาชมเรือมังกรที่หอเฟิ่งหวง
ดวงตาของลู่เสียนฉายแววแน่วแน่ “แม่หยวน ข้านึกออกแล้วว่าจะให้ใครได้คืนแรกไป!”
นางลุกขึ้นพรวดจนสาวใช้ที่นิ่งเงียบกับแม่หยวนสะดุ้ง เมื่อเห็นประกายวิบวับในดวงตาลู่เสียน ต่างก็พากันขนลุกซู่
“ข้าบอกไว้ก่อนนะแม่หยวน หากครั้งนี้เขาซื้อตัวข้า ไป๋เฟิ่งจะหายไปในทันที”
แม่หยวนรีบพยักหน้า แม้ว่าไป๋เฟิ่งจะเป็นตัวดูดเงินทองมากมายเข้าหอเฟิ่งหวง ทว่าความอยู่รอดของหอเฟิ่งหวงนั้นสำคัญกว่า อย่างน้อยหากยังมีต้นไม้เหลือสักต้นก็ยังสามารถจุดไฟต่อชีวิตของผู้คนในหอเฟิ่งหวงได้
“ได้ แล้วแต่เจ้า”
การแข่งขันเรือมังกรสิ้นสุดลงแล้ว บรรดาหญิงคณิกาทั้งหลายต่างก็ผลัดกันเข้าปรนนิบัติฉินหลี่เปียวและหยางเฟิงเจี๋ย มีเพียงเยี่ยเหวินอี้ที่ถูกเซวียนเซวียนผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ครั้นผ้าที่ปิดบังครึ่งหน้าของเซวียนเซวียนหลุดออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามยวนตาจนคนบนชั้นสองโห่ร้องด้วยความอิจฉา เยี่ยเหวินอี้เมื่อถูกสาวงามปรนนิบัติไหนเลยจะยังเขินอาย ยิ่งเมามายก็ยิ่งถึงเนื้อถึงตัว
โคมไฟทั่วทั้งหอเฟิ่งหวงพลันดับลงกะทันหัน บรรดาหญิงคณิกามากมายต่างอาศัยโอกาสนี้เอนซบแขกที่นั่งอยู่ เมื่อเหตุการณ์กลับเข้าสู่ความเงียบสงบ เสียงปรบมือของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับโคมไฟที่สว่างจ้า แม่เล้าหยวนเป็นผู้ปรบมือเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า ข้างๆ นาง มีร่างในชุดขาวร่างหนึ่งกำลังนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ด้านหลังพิณเจ็ดสายโบราณ ใบหน้าภายใต้หมวกสานที่ปิดล้อมด้วยผ้าโปร่งบางสีขาวดูลึกลับ ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีลักษณะเช่นไร ทว่าเพียงแค่เห็นแผ่นหลังยืดตรงของสตรีในชุดขาวก็พลันให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา บุรุษหลายคนพึมพำคำว่า ‘ไป๋เฟิ่ง’
“เรียนทุกท่าน วันนี้ทางหอเฟิ่งหวงมีการคัดเลือก ‘คืนแรกให้กับไป๋เฟิ่ง เนื่องด้วยนางต้องการจะออกเรือน จึงอาศัยเหตุการณ์นี้เพื่อคัดเลือกว่าที่ ‘เจ้าบ่าว’”
สิ้นเสียงแม่เล้าหยวนผู้คนก็ถกเถียงกันเสียงดัง โดยปกติแล้วหญิงคณิกาไม่สามารถแต่งเพื่อเป็นภรรยาเอกของใครได้ แม้จะเป็นผู้ขายศิลป์ก็ไม่สามารถเช่นกัน โดยส่วนมากแล้ว ค่ำคืนแรกของนางคณิกามีเพื่อยืนยันว่าพวกนางพร้อมที่จะ ‘รับแขก’ เท่านั้น
หยางเฟิงเจี๋ยมองไป๋เฟิ่งด้วยสีหน้าหยามเหยียด ท้ายที่สุดแล้วคณิกานางหนึ่งก็ต้องขายตัว...เป็นจุดจบที่น่าสมเพชยิ่งนัก
“ทุกท่านอย่าได้ใจร้อน ไป๋เฟิ่งเพียงต้องการบรรเลงเพลงให้พวกท่านฟังเป็นครั้งสุดท้าย โปรดรับน้ำใจของข้าเอาไว้ด้วย”
ผู้คนเงียบสงัดด้วยความตื่นตะลึง เสียงใสกังวานของไป๋เฟิ่งทำให้พวกเขาอยู่ในโอวาทโดยไม่รู้ตัว ทว่าแววตาคมกริบของคนผู้หนึ่งกลับจับจ้องทุกท่วงท่าของนาง
ลู่เสียนยิ้มเย็น มือทั้งสองเริ่มกรีดลงบนพิณโบราณด้วยความคล่องแคล่ว บทเพลงบุปผาบานยามวสันต์[1]ถูกขับขานออกมาผ่านน้ำเสียงใสกังวานของนาง ทุกถ้อยคำที่นางเปล่งออกมาทำให้ผู้คนที่ได้รับฟังต่างก็รู้สึกหน่วงหนึบในใจ
หากเจ้าร้องขอน้ำหยดหนึ่ง
ข้าจะยกท้องทะเลให้
หากเจ้าต้องการเด็ดใบไม้แดงเพียงหนึ่งใบ
ข้าจะมอบไปทั้งผืนป่าเฟิง[2]สีแดงและเมฆงาม
หากเจ้าอยากได้รอยยิ้มหนึ่ง
ข้าจะกางอ้อมอกระอุอุ่นไว้
หากเจ้าต้องการคนเดินร่วมทาง
ข้าจะเดินเคียงข้างไปถึงวันหน้า
ดอกไม้บานในวสันต์ฤดูอบอุ่น
นี่คือโลกของข้า
ทุกครั้งที่ผลิบาน
ล้วนคือความรักที่ปะทุออกมาจากใจ
สายลมโชยพัด
คือบทสนทนาของข้ากับท้องฟ้า
ที่แท้ความสุข
คงอยู่กับเราเสมอมา
ดอกไม้บานในวสันต์ฤดูอบอุ่น
นี่คือโลกของข้า
ทุกครั้งที่แย้มบาน
ล้วนคือความรักที่ปะทุออกมาจากใจ
สายลมโชยพัด
คือบทสนทนาของข้ากับท้องฟ้า
สุ้มเสียงอันแผ่วเบา
ขับร้องเอาแรงปรารถนาอันแรงกล้าออกมา
ดอกไม้บานในวสันต์ฤดูอบอุ่น
นี่คือโลกของข้า
ชีวาดุจวารี
บางครั้งราบเรียบ บางคราเชี่ยวกราก
เมื่อผ่านพยับเมฆมืดหม่น
แสงอาทิตย์ย่อมสาดส่องบนบานหน้าต่างของเจ้า
ที่แท้ความสุข
คงอยู่กับเราเสมอมา
โลกของข้า
มีดอกไม้บานในวสันต์ฤดูอบอุ่น...
แม้แต่หญิงคณิกาที่ได้ยินก็ร่ำไห้ออกมาด้วยความรู้สึกประทับใจ ราวกับว่าได้ฟังความปรารถนาครั้งสุดท้ายของไป๋เฟิ่ง
ท่วงทำนองสุดท้ายจบลงพร้อมกับความเงียบที่เข้าปกคลุมหอเฟิ่งหวง แม่เล้าหยวนจึงต้องรีบปาดน้ำตาและปรบมือเป็นคนแรก ความปรารถนาอันแรงกล้าของสตรีนางหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้…
“ต่อไปจะเป็นการเลือกของข้า…” ลู่เสียนพูดขึ้น ปลายเสียงสั่นไหว มือขาวเนียนของนางละจากพิณโบราณ รินเหล้านารีแดง[3]กลิ่นหอมเข้มข้นลงไปในจอกอันประณีต
“วันนี้ข้าจะรับตัวนางไปเอง” เสียงหยิ่งผยองของบุรุษหนึ่งดังขึ้น ร่างในชุดสีเขียวอ่อนที่ตัดเย็บจากผ้าใหม่ชั้นดีของแดนเจียงหนานก้าวออกมาประจันหน้ากับไป๋เฟิ่ง ดวงตาเรียวเฉียงรับกับเครื่องหน้าคมคายของเมิ่งชิงจับจ้องอยู่ที่สตรีตรงหน้าราวกับถือไพ่เหนือกว่า
ลู่เสียนแสดงท่าทีสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับแตกตื่นลนลาน เพราะเมิ่งชิงข่มขู่แม่เล้าหยวนเพื่อบีบบังคับให้ไป๋เฟิ่งขายตัว ดวงตาคู่งามหลุบลงมองจอกเหล้าในมือด้วยความมุ่งมั่น เกร็งนิ้วมือไม่ให้สั่น ในใจก็ภาวนาให้ไม้ตายของนางทำงาน
“นิ่งทำไม? เหตุใดยังไม่รีบยื่นเหล้าให้ข้า” เมิ่งชิงเร่งเร้า เขาเคยตัวจากการถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก ด้วยความที่เป็นบุตรชายคนโต ใต้เท้าเมิ่งจึงให้ความสำคัญกับเขามาเป็นอันดับหนึ่ง ประกอบกับนิสัยเสียเอาแต่ใจจึงทำให้ผู้คนเอือมระอาไม่น้อย
ลู่เสียนหลับตาลง ไม่อยากรับรู้เหตุการณ์อะไรอีกแล้ว นางตัวสั่นเทาด้วยความตื่นกลัว
“ไป๋เฟิ่ง…ไป๋เฟิ่ง…หากข้าจะขอรับสุราจอกนี้จากเจ้าเล่าได้หรือไม่?” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของคนผู้หนึ่งทำให้ลู่เสียนลืมตาขึ้น ได้แต่ตาค้างมองคนที่หยิบจอกสุราของนางไปอย่างคาดไม่ถึง
“ท่าน…”
“เจ้าเป็นใคร มาแย่งสุราจากข้าได้อย่างไร?!” เมิ่งชิงตวาดลั่นจนผู้คนแตกตื่น แม่เล้าหยวนจำต้องให้ชายฉกรรจ์มารั้งตัวเมิ่งชิงเอาไว้พร้อมกับบอกว่า “คุณชายเมิ่ง ท่านนี้คือองค์ชายสิบสาม อย่าได้เสียมารยาท จะอย่างไรครั้งนี้ต้องเป็นไปตามความยินยอมของไป๋เฟิ่ง ท่านไม่มีสิทธิ์”
เมิ่งชิงกัดฟันแน่น เมื่อได้ยินศักดิ์ฐานะของหยางเฟิงเจี๋ยก็ลดความฮึดฮัดลง แม้องค์ชายสิบสามจะเป็นถึงว่าที่น้องเขยของเขา ทว่าบุรุษสามารถรับอนุได้
เมิ่งชิงหลงใหลไป๋เฟิ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สดับเสียงดนตรีของนาง จงใจซื้อเวลาของไป๋เฟิ่งเพื่อให้ได้อยู่กันตามลำพัง น่าเสียดายที่ไป๋เฟิ่งกลับไม่เคยเปิดโอกาส ด้วยความเอาแต่ใจนี้ เขาจึงหันมากดดันหอเฟิ่งหวงแทน ไม่ว่าจะอย่างไร แม้ไป๋เฟิ่งจะมีหน้าตาอัปลักษณ์หรืองดงาม เขาก็จะใช้อิทธิพลซื้อตัวนางไปให้ได้
“ไป๋เฟิ่ง เจ้าจะเลือกใคร”
ร่างบอบบางยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือจากสาวใช้ทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลัง ร่างกายอันสั่นเทาของนางเริ่มกลับมาปกติมั่นคงอีกครั้ง น้ำเสียงใสกังวานจึงป่าวประกาศให้คนรู้ทั่วกัน
“ย่อมต้องเป็นองค์ชายสิบสาม!”
ผู้คนต่างก็ปรบมือโห่ร้อง รู้สึกสะใจที่เมิ่งชิงโดนหักหน้า คุณชายเจ้าสำราญจึงได้แต่ฮึดฮัดและเดินไปนั่งที่เดิม
“องค์ชาย สุราหกหมดแล้ว ข้าจะรินให้” พูดจบลู่เสียนก็เดินเข้าไปใกล้หยางเฟิงเจี๋ย ในมือรินนารีแดงด้วยความนอบน้อม
มุมปากของหยางเฟิงเจี๋ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพิกล ลู่เสียนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เมื่อเขาดื่มสุราจอกนั้นเสร็จ แม่เล้าหยวนจึงประกาศว่าไป๋เฟิ่งเป็นขององค์ชายสิบสามแล้ว
ลู่เสียนก้าวเท้าเตรียมจะไปนั่งร่วมวงที่โต๊ะของหยางเฟิงเจี๋ย ทว่ากลับถูกชายหนุ่มรั้งแขนเอาไว้ พร้อมกับกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ค่ำคืนแรกมีค่าดั่งทองพันชั่ง ขึ้นห้องกันเถิด…”
ลู่เสียนมือไม้อ่อน ไม่คิดว่าภายใต้ใบหน้าเย็นชาของเขาซุกซ่อนลูกไม้อะไรเอาไว้ นางพยายามปลอบใจตัวเองและควบคุมไม่ให้กลัวจนตัวสั่น
เช่นนี้ก็ดี...นางจะได้เจรจากับเขา
“ได้…ตามข้ามา”
ลู่เสียนรีบเดินขึ้นชั้นสามไปโดยไม่หันมองหยางเฟิงเจี๋ยอีก ชายหนุ่มซดนารีแดงเสร็จก็ส่งจอกสุราให้สาวใช้ด้านข้าง กำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “ไม่ต้องตามขึ้นมา”
‘หากรับคณิกามาเป็นอนุ วังหลวงคงแตกตื่นกันน่าดู’ หยางเฟิงเจี๋ยหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย ก้าวตามเงาร่างสีขาวของลู่เสียน โดยไม่ลืมหันไปมองสหายทั้งสองที่ยังคงตื่นตะลึงตาค้าง
[1] บทเพลงบุปผาบานยามวสันต์ หรือ "ชุนหน่วนฮวาไค(****)"
[2] เฟิง ต้นเมเปิ้ล
[3] เหล้านารีแดงหรือเหล้าลูกสาว ตามประเพณีเล่ากันว่าเมื่อทารกถือกำเนิดขึ้น ครอบครัวต้องกลั่นสุราบรรจุไหแล้วนำไปฝังดินเอาไว้ โดยจะขุดขึ้นมาเพื่อดื่มฉลองในวันแต่งงาน หากเป็นงานแต่งของบุตรสาวจะเรียก เหล้าลูกสาว หากเป็นงานของบุตรชาย จะเรียกว่า จอหงวนแดง