ก่อนหน้านี้...
มีคนกล่าวไว้...แพทย์ที่ยุ่งไม่มีเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นแพทย์เพิ่งจบใหม่ ฐากูรอยากถามคนที่คิดประโยคนี้เสียจริง ใครมันเป็นคนคิด ตอนนี้เขาเรียนจบเฟลโล่จนเป็นสตาฟ ซึ่งเป็นระดับขั้นสูงสุดของวิชาชีพแพทย์ ทว่าต้องมานั่งทำงานเข้าเวรเหมือนเดิม เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่ายหน้าเบา ๆ ตราบใดที่ตนทำงานให้กับโรงพยาบาลรัฐบาล ก็คงไม่รอดพ้นเรื่องทำงานหนัก แต่เงินน้อย
“เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินออกจากห้องพักแพทย์ด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ชายหนุ่มคิดจะไปกดกาแฟที่ตู้กาแฟเสียหน่อย
...บรรยากาศภายในโรงพยาบาลยามสองทุ่มนี้ก็ยังครึกครื้น แถมยังเป็นวันที่ฝนตกหนัก คนไข้เยอะ อุบัติเหตุเยอะ มองไปที่ห้องฉุกเฉินแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ อีกหน่อยก็คงมีคนโทรมาบอกให้เตรียมห้องผ่าตัด อุบัติเหตุทางรถส่วนใหญ่นั้นก็มักจะได้ผ่าตัดสมองและไขสันหลังทุกที ฐากูรกดกาแฟไปบ่นอุบอิบไปด้วย
“ใส่หมวกกันน็อกนี่มันยากมากมั้ง” คนไข้ส่วนใหญ่ของเขาก็มักมาจากอุบัติเหตุที่ไม่สวมหมวกนิรภัย ชายหนุ่มดูดกาแฟจ๊วบ ๆ พร้อมกับเดินไปที่หน้าห้องฉุกเฉิน เพื่อจะไปดูว่าตอนนี้มีเคสส่งเข้าห้องผ่าตัดหรือไม่ ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้ เขากลับพบกับคนที่ไม่ได้เจอกันนาน
....ผู้หญิงที่ทรุดตัวลงกับพื้นนั้นเขาจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นใคร เธอสูงมาก สูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ รูปร่างของเธอนั้นอวบขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่เพราะส่วนสูงที่สูงมากของเธอนั้นทำให้หล่อนดูไม่อ้วน แถมยังดูสมส่วนกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ใบหน้าของเธอนั้นดูอวบอิ่มมากกว่าเก่า แต่ยังคงความสวยงามได้เหมือนเดิม เธอสวย มัดไหมมีหน้าผากที่นูนขึ้น ยกคิ้วให้โก่งขึ้นดั่งคันศรธนู จมูกโด่งเรียวสวยและริมฝีปากอวบอิ่มนั้น
ทว่า
ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่
แล้วทำไมถึงร้องไห้หนักขนาดนี้
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเธอเลย แม้นว่าจะยังพอมีช่องทางติดต่อหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างเบอร์โทรและคอนโดมิเนียมที่เคยเป็นรังรัก ทว่าหลังจากที่เห็นเธอกับผู้ชายคนใหม่วันนั้น ความรู้สึกของเขาก็ไม่เหมือนเดิม รู้สึกว่ามันเร็วไปที่เธอจะไปมีคนอื่น เลยไม่มีความคิดที่จะกลับไปง้อเธอ ทว่าตอนนี้
ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาก้าวขาเดินเข้าไปใกล้ ค่อย ๆ นั่งยอง ๆ ลงที่พื้น ซึ่งคนที่ก้มหน้าอยู่นั้นไม่มีทางมองเห็น ชายหนุ่มค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
“มัด...” เจ้าของชื่อคิ้วกระตุก เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ ดวงตาของเธอนั้นเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกใจ
“ฐา...” เธอเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา ก่อนจะโผเข้ากอดเขาอย่างแรง จนคนที่ยังไม่ทันได้ตั้งหลักนั้นล้มก้นกระแทกพื้น แต่เธอก็ยังกอดเขาไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“ฮึก ฮือ~ ลูก อึก ฮือ~” มีความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาในใจของเธอ ความประมาทไม่กี่วินาทีนั้นอาจจะพรากลูกสาวไปตลอดกาล มัดไหมอยากตีตัวเอง อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข
“เกิดอะไรขึ้น ลูก ลูกใคร?” เขาตกใจ อยู่ ๆ เธอก็พูดว่าลูกขึ้นมา คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ส่วนคนที่กลัวจนไร้สตินั้นก็หลุดปากพูดขึ้นมาในที่สุด
“ลูกของเรา ฮึก ฮือ~”
“ฮะ...” ฐากูรตกใจดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะดันไหล่ของเธอออก จับหัวไหล่มนของเธอไว้เพื่อที่จะได้มองหน้าของเธอให้ได้ชัด ๆ “หมายความว่าไง”
“อึก...”
“หมายความว่าไง อย่าเงียบสิ” หัวใจของเขาหล่นวูบ เธอพูดอย่างกับว่ามีลูกกับเขา และลูกกำลังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งมัดไหมเองก็สติหลุด ลืมคำปฏิญาณที่ได้บอกตัวเองไว้ว่าจะไม่บอกเขาไปเสียสนิท
“ลูก อึก โมจิลูกของเรา” เธอพูดได้แค่นี้ ความเสียใจมันมาจุกอก เธอไม่รู้ตัวเลยว่าหลุดพูดอะไรออกมาบ้าง ตอนนี้เหมือนกับคนสติหลุดไปชั่วขณะ ขับรถพาลูกมาโรงพยาบาลได้ก็บุญมากแค่ไหนแล้ว
“เธอ...” เขาอึ้งพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ หัวใจแกร่งในอกเต้นแรง เปลือกตาหนานั้นกะพริบปริบ ๆ มันอึ้ง มันทึ่งจนพูดอะไรไม่ออกมาเลยสักคำ ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าลูกอยู่ในห้องฉุกเฉินก็รู้สึกเหมือนกับถูกของแข็งทุ่มใส่กลางศีรษะ แต่พอจะเอ่ยปากถาม บานประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
“อ้าว คุณหมอฐา” แพทย์ห้องฉุกเฉินเอ่ยทักเพื่อนร่วมอาชีพ แปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายที่นี่ ซึ่งมัดไหมที่เห็นหมอออกมาก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที
“คุณหมอ ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ ฮึก ยัยหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ฐากูรเลื่อนสายตาไปมองมัดไหม เขายังคงทึ่งอยู่กับสิ่งที่เธอพูด ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
“ปลอดภัยแล้วครับ” ได้ยินอย่างนั้นน้ำตาของมัดไหมก็ยิ่งไหลออกมาหนักกว่าเดิม เธอเดินเข้าห้องฉุกเฉินอย่างช้า ๆ โดยที่ฐากูรเองก็อยากเห็น เขาเดินตามแผ่นหลังบางไปอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกัน มันไม่ต่างจากภาพสโลว์โมชัน เด็กผู้หญิงที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น
ลูกของเขาหรือ...
“คุณแม่ ฮึก ฮือ~” มัดไหมโอบกอดลูกสาวไว้แนบอก ลูบศีรษะของคนเป็นลูกพร้อมกับพึมพำออกมาไม่หยุด
“แม่ขอโทษนะลูก แม่ ฮึก แม่ขอโทษ” กลัวเหลือเกิน กลัวไม่ได้เจอหน้าลูกอีก เสียงร้องไห้เล็ก ๆ นี้ก็ยิ่งบีบหัวใจของคนเป็นแม่ ซึ่งทั้งสองกอดกันกลม โดยที่ฐากูรเองก็ยังมึนงงอยู่
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เขาหันไปถามเพื่อนร่วมอาชีพ
“อ้อ เด็กหมดสติน่ะครับ”
“ทำไมหมดสติล่ะ”
“น่าจะได้รับก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์เยอะ คงทิ้งเด็กไว้ในรถล่ะมั้ง” แค่นี้เขาพอจะเข้าใจแล้วในฐานะแพทย์ คาร์บอนมอนอกไซด์แย่งจับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงส่วนที่เหลือไม่ปล่อยออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายขาดออกซิเจน เนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติจนหมดสติไปได้ แต่ระบบหายใจบางส่วนยังทำงานอยู่บ้าง หากไม่ได้รับในเวลานาน เธอคงช่วยลูกไว้ได้ทัน แต่ทำไมถึงสะเพร่าทิ้งเด็กไว้ในรถทั้ง ๆ ที่ข่าวก็ออกเป็นประจำทุกวัน ฐากูรอดที่จะโมโหไม่ได้จริง ๆ แต่จะกล่าวโทษเธอตอนนี้ก็คงไม่ดีเท่าไร หล่อนกำลังขวัญเสีย
ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปจากเด็กผู้หญิงคนนี้ได้เลยจริง ๆ ไร้ข้อสงสัย แววตาของเด็กคนนี้นี่มันเขาชัด ๆ ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่ตนจะมีลูก แต่ว่าทำไมเธอเพิ่งมาบอก ละมาบอกเอาตอนที่ลูกเกือบจะจากเขาไป กะจะไม่ให้เขาเจอหน้าลูกเลยหรืออย่างไรกัน...
เวลาต่อมา...
มัดไหมสงบลงแล้ว สติสตังกลับมาครบแล้ว และตอนนี้ก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนนั้นหลุดปากพูดอะไรไป โมจิหลับไปแล้วและหมอให้นอนที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อดูอาการ ซึ่งลูกสาวนั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เติมออกซิเจนที่ขาดไปอีกด้วย และเขาคนนั้นก็อยู่ที่นี่กับเธอ หน้าห้องพักผู้ป่วยของลูกสาว
“ที่มัดพูด หมายความว่าไง”
“_”
“ทำไมเพิ่งมาบอก” เขาโมโหก็ตรงนี้ ไม่ติดเลยสักนิดหากว่าตนจะมีลูก เขาเลี้ยงได้ แต่ทำไมเธอถึงปิดบังเขาไว้
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ลูกของคุณ” เธอปฏิเสธ ตอนนั้นไม่มีสติเลยบอกไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้สติกลับมาครบถ้วน จึงปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง แต่ใครจะไปเชื่อ
“หึ ผมทำเองทำไมจะไม่รู้” สรรพนามของเธอดูห่างเหิน หล่อนเรียกเขาคุณแบบนี้ก็ทำเอาไปไม่ถูก
“แล้วไม่คิดว่าฉันจะไปทำกับคนอื่นหรือไง” คำนี้ทำให้เขานึกถึงวันที่เจอเธอครั้งสุดท้าย
“ไม่ ไม่ใช่ ผมรู้นะว่าเด็กอายุเท่าไร บวกลบช่วงที่คุณท้องเป็นช่วงที่เรามีความสัมพันธ์กัน”
“ความสัมพันธ์แบบไม่มีชื่อเรียกน่ะเหรอ” เธอแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ เขาทำเธอเจ็บมากแค่ไหนไม่เคยลืม มันฝังใจของเธอ แน่นอนว่าไม่มีทางลืมเป็นอันขาด
“ถ้าเกิดเป็นลูกของผมจริง ๆ ผมมีสิทธิ์ในตัวลูก” เขาเรียกร้องสิทธิ์ “พรากลูกไปจากพ่อของเขาแบบนี้มันบาปนะ”
“เขาไม่ใช่ลูกของคุณ”
“หึ แล้วก่อนหน้านี้คุณพูดว่าไงนะ มัดไหม ผมรู้จักคุณดี” เธอขาดสติ และนั่นก็เป็นความจริง
“ฉันไม่มีสติ”
“นั่นแหละ คนเราพูดความจริงก็ตอนที่ไม่มีสตินี่แหละ”
“พอเถอะ”
“ไม่ ละเมื่อกี้ทำไมคุณถึงทิ้งลูกไว้ในรถ”
“ฉันไม่ได้ทิ้ง อย่าพูดแบบนี้นะ!” มัดไหมตะคอกเสียงออกมา เธอรู้สึกผิด กล่าวโทษตัวเองตลอด และเขากำลังโทษเธออีกด้วย “อึก คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไม”
“_” การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวบางอย่างก็ไม่สามารถทำพร้อม ๆ กันได้ หากมีคนอยู่กับลูกอีกคนก็คงไม่เกิดปัญหานี้
“มัดไหม คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“_”
“คุณจะทำเหมือนกับว่าผมไม่ใช่พ่อของโมจิไม่ได้”
“ก็เขาไม่ใช่ลูกของคุณ!” มัดไหมตะคอกเสียงออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินหนีแต่ฐากูรก็ไม่ยอม ยื่นมือไปกระชากแขนของหล่อนอย่างแรง
พลั่ก!
กระทั่งคนตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอด ฐากูรฉวยโอกาสโอบเอวบางของเธอไว้แน่น
“อึก ปล่อยนะ!!”
“ไม่!” ว่าเสียงเข้มไม่ต่างกัน เขาไม่ยอมให้เธอพรากลูกไปจากอกเป็นครั้งที่สองแน่ “อย่าทำให้ผมต้อง...”
“ต้องอะไร” เธอขมวดคิ้ว ก่อนที่คนตรงหน้าจะกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ
“ทบทวนความหลังไง” ว่าหน้าตาเฉย แต่คนได้ยินนั้นถึงกับเบิกตากว้างออกมา
“ทบทวนอะไร บ้าไปแล้วหรือไง”
“หึ ไม่บ้าหรอก” มุมปากหนากระตุกยิ้มออกมาเบา ๆ การกลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบนี้เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ชายหนุ่มคิดว่าฟ้าคงลิขิตให้มาเจอ และเธอคงเป็นเนื้อคู่ของเขา แม้นว่าฟ้าถล่มดินสลายก็ยังไม่แคล้วจากกัน
เขาจะไม่ปล่อยเธอไปไหนแล้ว
“ปะ ปล่อยนะ” มัดไหมดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดนี้ แต่เขากลับโอบรัดเธอแน่นมากขึ้น
“เรามีลูกด้วยกัน แถมลูกยังน่ารักแบบนี้ ทำไมใจร้ายไม่ให้ผมรู้” เขาสบตากับเธอ เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ๆ เว้าวอนขอความเห็นใจ
“ทำไมต้องบอกคะ ก็คุณไม่รักฉันนี่” เบือนหน้าหนี ไม่อยากสบตากับคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยบอกรัก ไม่เคยให้สถานะ ให้เธออยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วเรื่องอะไรเธอต้องบอกเขา
“ก็เดี๋ยวอยู่ด้วยกัน สร้างครอบครัวด้วยกันก็รักนั่นแหละ”
“_”
“ผมคิดถึงคุณนะ” กลั่นคำพูดออกมาจากใจ เขาไม่เคยลืมระยะเวลาที่มีความสุขร่วมกัน แม้นว่าจะผ่านมานานขนาดนี้แล้วก็ตามแต่
“ไม่ต้องมาพูด ถ้าจะมาพูดเพื่อเอาใจก็ไม่ต้องมาพูดค่ะ”
“ไม่ได้พูดเอาใจ พูดจริง ๆ”
“เหอะ!” แค่นหัวเราะอย่างคนไม่อยากจะเชื่อ มีด้วยเหรอคนที่ไม่รักกัน ไม่อยากเป็นแฟนกันแต่กลับบอกคิดถึงกันแบบนี้
“โอเค แล้วตอนนี้มัดยังต้องการสถานะไหม ผมให้คุณได้เลยนะ แต่งงานกันไปเลย”
“ฮะ!”
“ไม่ดีเหรอ”
“พูดเป็นเล่นไปได้ คิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องล้อเล่นหรือยังไง!” ว่าด้วยความโมโห เขาพูดอย่างนี้ไม่ดีเอาเสียเลย พูดเป็นเล่นไม่คิดถึงจิตใจของเธอ...