กรรณภัทร์เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ออกจากลิฟต์ภายในตึกศัลยกรรม เขาเดินมาที่แผนกศัลยกรรมประสาทและสมองที่ตนทำงานและเรียนอยู่ ซึ่งท่าทีของเขานั้นทำให้คนเป็นเพื่อนอดที่จะสงสัยไม่ได้
“เป็นไรวะ” ฐากูรเอ่ยถามพร้อมกับหรี่สายตามองคนเป็นเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ก็...ปกติ” ไหวไหล่ขึ้นเบา ๆ เพื่อจะบอกคนเป็นเพื่อนว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่คนที่คบกันมานานตั้งแต่เรียนมหา’ลัยปีหนึ่งด้วยกันมีหรือจะไม่รู้
“ไม่ แบบนี้ไม่ปกติ มึงนะ...มาทำงานทีไรต้องทำเก๊กขรึมตลอด” เพราะแว่นที่เพื่อนสวมใส่นั้นทำให้กรรณภัทร์มีมาดเคร่งขรึม เป็นเด็กเนิร์ดเด็กเรียนตลอดเวลา แม้นความจริงจะไม่ได้เก่งไปกว่าเขาเท่าไรนัก
“หึ ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรดิวะ” ว่าพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปคว้าแผ่นชาร์ตคนไข้ของตัวเองมาอ่าน
“ไม่มีไม่ได้ ยิ้มแบบนี้...เจอสาวถูกใจล่ะสิ” ว่าอย่างกวน ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะตากระตุกเพราะถูกจับไต๋ได้
“หึ บ้าบอ กูไม่ใช่มึงสักหน่อยที่จะมองหาผู้หญิงถูกใจไปเรื่อย พอได้ก็ไม่อยากให้สถานะเขา” โดนเข้าเต็ม ๆ ฐากูรนึกคิดว่าตนไม่น่าถามเลย
“ไม่ได้มองแล้ว”
“ไม่ได้มองหรือไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจกันแน่” หลังจากคุณมัดไหมไป ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนจะพูดถึงผู้หญิงคนไหนอีก สงสัยว่ายังไม่เจอคนถูกใจ
“ก็...ไม่เอาแล้วว่ะ” ว่าไปก็สงสารผู้หญิงที่จะเข้ามาในชีวิตของตนเช่นกัน ฐากูรรู้ตัวว่าตนนั้นเป็นคนหน้าตาดี ไม่ว่าจะจีบใครก็ติด แค่เดินไปหน้าปากซอยก็มีผู้หญิงมองตาเป็นมัน เขาไม่จำเป็นต้องพยายามเสียด้วยซ้ำ จะบอกว่าหล่อเลือกได้ก็ไม่ผิด
“เป็นคนดีซะงั้น”
“หึ...คนดีอยู่แล้วโว้ย!!!” ว่าพร้อมกับตบไหล่เพื่อนตุบ ๆ เขาแค่ไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองแค่นั้น ตอนนี้ยังคงชื่นชอบและสนใจในตัวของน้ำฝนอยู่ หากคบกับมัดไหมเป็นแฟน ก็คงมีพื้นที่ทับซ้อนกันซึ่งตนไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
ติ๊ง!
อยู่ ๆ เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นของฐากูรและเขารู้ว่าใครส่งข้อความมาหาเขา
[ทำไรอยู่คะ ทำงานอยู่หรือเปล่า]
“รออาจารย์อยู่น่ะ” เขาตอบกลับข้อความของน้ำฝนด้วยความรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้เธอรอนาน ซึ่งตอนนี้เขากำลังศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทางต่อยอด หรือที่รู้จักกันในชื่อแพทย์เฟลโล่ ซึ่งชายหนุ่มและคนเป็นเพื่อนเลือกเรียนด้านศัลยกรรมระบบประสาทและสมองด้วยกัน เรียกได้ว่าหากเจอกรรณภัทร์ก็ต้องเจอหมอฐากูรด้วย
[แล้วคุยได้ใช่ไหมคะ]
“ได้สิ”
“มีอะไรเหรอ”
[คืนนี้หนูน่าจะเหงาอะ เราไปดื่มกันชิลล์ ๆ ไหม] เวลาเธอเหงา มีปัญหา ฐากูรไม่ต่างจากที่ปรึกษามืออาชีพ ที่คอยรับฟังเธอมาโดยตลอด
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ออกเวรไปเจอนะ กี่โมง”
[เย่ สักหนึ่งทุ่มได้ไหมคะ]
“ได้สิ” สำหรับเธอเขามีเวลาให้เสมอ มุมปากหนากระตุกยิ้มเบา ๆ น้ำฝนคงกำลังฉีกยิ้มอยู่แหง ๆ คิดอย่างนั้นก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ วันนี้คงทำงานมีความสุขทั้งวัน สุขที่จะได้เจอคนที่ชอบมานาน...
ตกเย็น...
ร้านเหล้าข้างถนน บรรยากาศดีแถมมีดนตรีสดให้ลูกค้าได้ฟังอย่างเพลิดเพลิน ทว่าเสียงของดนตรีไม่ได้ลดทอนโสตประสาทการรับฟังของหมอหนุ่ม เขานั่งฟังสิ่งที่น้ำฝนระบายออกมา พร้อมกับยกแก้วเหล้ากระดกไม่หยุด
“พอแล้วน้ำฝน”
“อึก หนูพยายามทำงานอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่เคยดีในสายตาของรุ่นพี่เลย” ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเรื่องงาน น้ำฝนมีความทะเยอทะยานสูง เธอคาดหวังในหน้าที่การงานของตน อยากจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่นั่นก็คงไม่ง่าย
“ไม่เป็นไรนะ เราก็เพิ่งยี่สิบหกเอง ล้มได้ไม่เป็นไรหรอก”
“อึก ยี่สิบหกเราไม่เท่ากันนะคะ อีกไม่กี่เดือนก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว แต่หนูยังทำงานเงินเดือนหมื่นห้าอยู่เลย” เพราะเธอเป็นอย่างนี้เขาถึงชอบเธอ น้ำฝนเป็นคนชอบทำกิจกรรมมาก เขามักเจอเธอทำงานด้านจิตอาสาอยู่บ่อยครั้ง แต่หารู้ไม่ว่าที่เธอทำไปทั้งหมดก็เพื่ออัปเกรดชีวิตตัวเองก็เท่านั้น
“เอาน่า ลองใหม่ พี่เป็นกำลังใจให้”
“อึก มีแต่พี่ที่เข้าใจหนู”
“_”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่อยู่ข้าง ๆ ฝนมาตลอด” เธอเลื่อนมือมาวางไว้บนหลังมือของเขา ดวงตาคู่สวยเป็นประกายระยิบระยับ อยากเหลือเกิน อยากสารภาพความในใจที่กักเก็บมานานแสนนานนี้ให้เธอได้รับรู้
แต่ถ้าทำอย่างนั้น...อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องนี้สั่นคลอนได้
“พี่กินข้าวหรือยังคะ ไม่เห็นตักอะไรกินเลย” ว่าแล้วก็ใช้ส้อมจิ้มเนื้อย่าง ก่อนจะนำไปจ่อริมฝีปากหนา
“ยังไม่หิวเลย”
“ไม่เอา กินหน่อยค่ะ เนี่ย...พี่เล่นมานั่งเป็นเพื่อนหนูเฉย ๆ แบบนี้หนูก็เกรงใจแย่สิ” ได้ยินอย่างนั้นริมฝีปากหนาก็อ้างับชิ้นเนื้อที่สาวเจ้าป้อนให้ ก่อนจะเคี้ยวตุ้ย ๆ
“นี่ไง กินแล้ว ไม่ต้องเกรงใจนะ เรียกพี่ได้เสมอ”
“พี่จะมาหาหนูเสมอเลยใช่ไหมคะ”
“แน่สิ”
“ดีใจจัง” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา น้ำฝนเป็นคนตาโต เธอมีดวงตาที่มีเสน่ห์ แบ๋ว ๆ แล้วเวลาที่หล่อนกะพริบตาปริบ ๆ นั้นทำเอาชายหนุ่มใจอ่อนระทวย เธอเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก ผมยาวดำสนิทจนถึงกลางหลัง แพขนตางอนงามเวลาหลับตานั้นเหมือนกับสะกดจิตของเขาไว้เลยล่ะ
...ใจของเขาสั่นไหวยามเข้าใกล้ ไม่ง่ายนักที่จะรู้สึกหวั่นไหวกับใครสักคน หัวใจที่เต้นแรงกับคนคนเดียวนี้ มันย้ำชัดว่าตนนั้นรักใครและเฝ้ารอให้ตนใจกล้ามากพอที่จะขอเธอเป็นแฟน...ยังคงรออยู่อย่างนั้น
สามวันต่อมา...
“เด็กสมบูรณ์ ร่างกายพัฒนาดีมากค่ะ” เสียงของแพทย์สูตินรีเวชทำเอาคุณแม่ท้องแรกหัวใจฟู หลังจากที่อาการอ่อนเพลียดีขึ้น มัดไหมก็ตรงมาฝากครรภ์ทันที พอได้ฟังผลตรวจก็รู้สึกดีขึ้นมา ความกังวลก่อนหน้านี้ค่อย ๆ คลายลงไปบ้าง
“ขอบคุณนะคะ”
“เดี๋ยวหมอนัดวันให้นะคะ”
“เอ่อ พอดีสะดวกไปฝากครรภ์ที่คลินิกใกล้ ๆ ที่พักค่ะ” ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่เขาคนนั้นทำงานอยู่ แม้นจะเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่มาก แต่ก็อาจจะบังเอิญเจอกันได้ แน่นอนว่าครั้งนี้ที่ยังเลือกที่จะมาที่นี่ก็เพราะตนต้องการอัลตาซาวนด์ดูลูกน้อยไว ๆ พอออกจากห้องพักผู้ป่วยได้ก็ตรงมาที่แผนกนี้เลยทันที
“อ้อ โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอฉีกยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะเบา ๆ บอกลา ซึ่งวันนี้เพื่อนสาวของเธอยุ่งกับงาน มัดไหมจึงไม่อยากรบกวนอะไรมาก ต่อไปนี้คงต้องพยายามอย่างหนักเพิ่มขึ้น ทว่าเมื่อเดินออกจากห้องตรวจ เธอกลับพบกับใครบางคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่
“ท่านประธาน” เธอเอียงคอสงสัย เปลือกตากะพริบปริบ ๆ เขาไม่สบายอย่างนั้นหรือ เช่นเดียวกับคนที่เจอเธอ เขามองตาไม่กะพริบ เลื่อนสายตามองประตูที่หล่อนเพิ่งเปิดออกมา
เธอมาทำอะไรที่แผนกนี้
“เอ่อ สวัสดีค่ะ บังเอิญจังเลยนะคะ แฮะ ๆ” ฝ่ามือบางเลื่อนยกขึ้นลูบต้นคอของตัวเองปอย ๆ เธอยังไม่ได้คุยกับฝ่ายบุคลากรเลยว่าตนนั้นขอลาป่วย
“อาการดีขึ้นละเหรอ” เอ่ยถามเสียงเรียบ พยายามเก๊กขรึมไม่แสดงท่าทีตกใจเมื่อเห็นว่าเธอออกจากห้องตรวจภายในแผนกสูตินรีเวช
“ใช่ค่ะ เอ่อ...”
“แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมท่านประธานถึงมาอยู่ที่นี่คะ” เธอสงสัย เขาคงไม่ได้ป่วยหรอก ใบหน้าก็นิ่งเรียบเหมือนกับทุกครั้งที่เจอ แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ คงไม่ได้มาเยี่ยมเธอหรอกใช่ไหม ปกติเจ้านายหนุ่มเย็นชาจะตาย
“ฉันหลงทาง”
“หือ...”
“ก็มาโรงพยาบาลแล้วก็หลงทาง มาโผล่ที่นี่”
“อ้อ...แล้วมาโรงพยาบาลเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เขาทำงานหนักมากกว่าเธอร้อยเท่า ท่านประธานคิมนี่แหละของจริง ทำงานหนักจนได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของบริษัทให้มาบริหารบริษัทแทน
“_” เขาไม่ตอบ แต่กลับตั้งคำถามแทน “เธอมาอยู่แผนกนี้ได้ยังไง”
“เอ่อ...”
“เธอ...ท้องเหรอ”
“_”
“กับใคร” เขาตกใจมาก รู้ว่าเธอยังไม่มีแฟน แต่ว่าทำไมถึงท้องได้ ชายหนุ่มคิดเป็นตุเป็นตะและมันก็ถูกอย่างที่เขาคิดเสียด้วยสิ
“คือฉันพลาดน่ะค่ะ” ก้มหน้าลงเล็กน้อย อย่างไรคนในบริษัทก็ต้องรู้ ท้องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นี้ไม่สามารถปิดบังได้หรอก
“พลาด?”
“เอ่อ...” ทำไมเขาถึงดูตกใจมากขนาดนี้ คงไม่เข้าใจและไม่คาดคิดมาก่อนกระมัง “เอาเป็นว่าฉันพลาดท้องค่ะ กับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนกัน”
“_” ชายหนุ่มอึ้งและทึ่งไปเลย ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนกับโดนแช่แข็ง ความคาดหวังพังลงต่อหน้าต่อตาไม่ต่างจากภูเขาถล่ม
“เอ่อ...ฉันคงขอลาคลอดด้วย เอ่อ”
“แล้ว...พ่อเด็กล่ะ” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ คงเรียกร้องอะไรจากเธอไม่ได้ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ แถมเขายังไม่ได้สนิทกับเธอด้วย ได้แต่มองห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ไม่ต้องโทษเดือนโทษดาว ต้องโทษตัวเองที่ขี้ขลาดจนหมาคาบไปก่อน
“คือฉันไม่อยากพูดถึงน่ะค่ะ” พอได้ยินอย่างนี้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ความรู้สึกดีใจแบบนี้เหมือนกับว่าตนนั้นพร้อมจะดูแลเธอแม้นว่าสาวเจ้าจะมีลูกติด
“ถ้าอย่างนั้น...กลับยังไงครับ” ไม่เสียเวลาอีกแล้ว คิมหันต์เห็นคุณค่าของเวลาแล้ว ไม่น่าปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมาเช่นนี้เลย
“เอ่อ...น่าจะแท็กซี่ค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปส่ง” ตอบได้ทันควัน แทบไม่ต้องคิด
“เอ่อ รบกวนเปล่า ๆ ค่ะ ฉันกลับเองได้”
“ผมบอกรบกวนเหรอ อย่าคิดไปเองสิ” เขาค่อนข้างตรงไปตรงมา มัดไหมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มมาไม้ไหนกันแน่ ปกติเดินผ่านทีไรก็มองเธอด้วยสายตาเย็นชาตลอด หรือว่าเขากินยาลืมเขย่าขวดกันนะ
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” มัดไหมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินตามแผ่นหลังหนาไปที่โรงจอดรถ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยายามเดินช้าเพื่อจะได้เดินขนาบข้างเธอไป
“ฉันขอโทษด้วยนะคะที่เป็นลมเมื่อวันนั้น หวังว่าการประชุมจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ”
“ไม่มี”
“คะ?”
“ยกเลิกไปวันนั้น”
“อ้าว...” เจ้าของร่างบางชะงักไป ทำให้คนข้างกายต้องหยุดเดินตามไปด้วย “ทำไมคะ”
“_”
“อย่างนี้เท่ากับว่าทุกคนรอฉันคนเดียวน่ะสิคะ” มีหลายโปรเจกต์ที่ต้องนำเสนอให้กับท่านประธาน หากรอเธอเท่ากับว่าโปรเจกต์เหล่านั้นต้องถูกเลื่อนตามไปด้วย
“ห่วงตัวเองเถอะ ท้องไม่รู้ตัวแล้วยังจะห่วงงานอีก” ว่าเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และแม้นว่าเขาจะพูดอย่างนั้นแต่เธอก็รับรู้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงนี้
“งั้นพรุ่งนี้ประชุมต่อเลยนะคะ” เขาไม่ได้ตอบ เพียงแค่ก้าวขาเดินต่อไปข้างหน้า และช่วงขาที่ยาวกว่ามากนี้ทำให้มัดไหมเดินตามไม่ทัน เธอพยายามเดินตามหลังของเขา ก่อนที่สายตาจะพลันมองไปเห็นใครบางคน
ที่เธอไม่อยากเจอมากที่สุดในชีวิต
“ฐา...”