บทที่ 2.1
บุรุษมีใจ บุปผาไร้ไมตรี
จ้าวซิงอีก้าวลงจากรถม้า ดวงตากลมมองป้ายหน้าเรือนของท่านชายสามแล้วยกมุมปากขึ้นเย้ยหยัน ในวันวานนางเคยนึกสงสารเห็นใจกับสภาพความเป็นอยู่ของหลี่มู่เฉิน จึงไปทูลขอท่านอ๋องโจวย้ายไปอยู่ยังค่ายทหารชานเมือง โดยขอพาหลี่มู่เฉินไปเป็นสหายด้วยอย่างไม่ไว้หน้าหลี่มู่หรงผู้เป็นคู่หมั้นตนเอง นึกถึงตรงนี้แล้วในใจก็เกิดความละอายต่อหลี่มู่หรงขึ้นมา หากมองย้อนกลับไปในวันวานนางนับว่าผิดต่อหลี่มู่หรงไม่น้อยทีเดียว
“ท่านหญิงเชิญ”
พ่อบ้านผู้ดูแลเรือนของหลี่มู่เฉินออกมาต้อนรับนางอย่างนอบน้อมก่อนจะพานางเข้าไปเยี่ยมหลี่มู่เฉินถึงเรือนนอนของเขา ทว่าเพียงเปิดประตูเรือนกลิ่นสมุนไพรบางเบาก็ลอยออกมาจนจ้าวซิงอีขมวดคิ้วเรียว สองเท้าพลันหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นยาปลุกกำหนัดบางๆ ที่แท้อาการใจเต้นแรงยามอยู่ใกล้หลี่มู่เฉินในวันวานไม่ใช่เพราะนางมีใจให้เขา แต่เป็นเขาเล่นเล่ห์กลใช้ยาต่ำทรามนี้กับนาง
เจ้าเล่ห์ ต่ำช้า คำนี้นับว่าเหมาะสมกับหลี่มู่เฉินที่สุด
“ข้าเป็นสตรีมีคู่หมายแล้ว เข้าไปเรือนนอนบุรุษอื่นคงไม่ดีนัก อีกอย่างท่านชายสามยังไม่หายดีข้าไม่ขอรบกวนจะดีกว่า”
จ้าวซิงอีเอ่ยจบก็หมุนตัวกลับในทันที หากแต่ไม่ทันก้าวเท้าพ้นเขตเรือนของคนเจ้าเล่ห์ เสียงอ่อนแรงก็ดังมาจากเรือนนอนของคนป่วย
“ท่านพ่อบ้านผู้ใดมาหรือ”
น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยบอกอย่างอ่อนแรงก่อนจะไออีกชุดใหญ่
“เป็นท่านหญิงจ้าวมาเยี่ยมท่านชายขอรับ”
สิ้นคำรายงานบุรุษในชุดสีเขียวอ่อนก็เปิดประตูเรือนนอนออกมา ใบหน้าของเขาแม้จะอ่อนแรงทว่ากลับมีรอยยิ้มยินดีอย่างเด่นชัด
“ท่านหญิง...”
จ้าวซิงอีแม้ไม่อยากหันกลับมาสนทนากับคนเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่อาจเดินจากไปได้โดยง่าย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นนึกถึงสถานะท่านหญิงแห่งต้าฉินของตนแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนโยน
หลี่มู่เฉินมองนางกลับมาด้วยแววตาและท่าทางอันอบอุ่นอ่อนโยน จ้าวซิงอีพลันนึกเย้ยหยันในใจ หลี่มู่เฉินช่างเป็นบุรุษที่เสแสร้งได้ดียิ่งนัก หากนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าธาตุแท้ของบุรุษตรงหน้านี้ต่ำช้าเพียงใด ย่อมหลงใหลไปกับรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของเขาอย่างแน่นอน
“ท่านชายยังไม่หายดี เช่นนั้น... “
“เรือนนอนบุรุษไม่เหมาะรับรองแขก ท่านพ่อบ้านพาท่านหญิงไปที่ห้องโถงรับรองเถิด”
จ้าวซิงอีเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกคนเจ้าเล่ห์เอ่ยดักทาง ดวงตาเรียวพลันแข็งกร้าว ก่อนจะเบนสายตาหลบไม่ให้ถูกอีกฝ่ายจับพิรุธได้พร้อมกับกล่าวตอกย้ำคำว่าอดทนในใจของตนเอง แล้วขบกรามก้มหน้าเอ่ยเสียงแข็งลอดไรฟัน
“รบกวนท่านชายสามแล้ว”
“ท่านหญิงเป็นแขกคนแรกของเรือนข้าจะเรียกว่ารบกวนได้อย่างไร”
แขกคนแรกของเรือน ในความทรงจำเดิมของนางคราวที่ได้ยินหลี่มู่เฉินเอ่ยประโยคนี้ครั้งแรก หัวใจของจ้าวซิงอีก็เกิดความสงสารเขาขึ้นมาจับใจ ทั้งที่บุรุษผู้นี้มีสถานะเป็นถึงท่านชายสามแห่งเมืองต้าโจว แต่ชีวิตกลับยากลำบากเสียยิ่งกว่าทาสรับใช้ในเรือนของนาง
ทว่ายามเมื่อหวนคืนกลับมาสิ่งแรกที่นางทำก่อนมาเยือนต้าโจวก็คือ สืบเรื่องราวของหลี่มู่เฉินโดยละเอียด จึงได้รู้ว่าความยากลำบากที่นางเคยมองเห็นล้วนเป็นเรื่องจอมปลอมทั้งสิ้น
จ้าวซิงอีนึกเย้ยหยันในใจ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้นางเห็นใจ เมื่อรู้ว่านางจะเดินทางมาเพื่อแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างเมือง หลี่มู่เฉินถึงกับยอมลงทุนเผาเรือนของตนเองแล้วย้ายมาอยู่เรือนเก่าๆ หลังนี้
ช่างเป็นแผนเรียกความสงสารได้ดีจริงๆ
.................................................
“ที่เรือนของข้ามีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน รับรองท่านหญิงได้ไม่ดีต้องขออภัยด้วย”
“ข้าเพียงมาเพื่อขอบคุณท่านเท่านั้น ท่านชายอย่าได้ลำบากไปเลย”
“แต่ยามนี้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เช่นนั้นท่านหญิงรอข้าสักครู่ข้าจะเข้าครัวทำอาหารมารับรองท่านเอง”
ทำอาหารมารับรอง นี่คือความประทับใจแรกที่นางเคยมีต่อเขาเพราะจ้าวซิงอีเติบโตในกองทัพ รอบตัวแม้มีบุรุษมากมายทว่าล้วนโผงผาง ดุดัน ไหนเลยจะเคยพบพานบุรุษที่แสนอ่อนโยน อบอุ่น และใส่ใจเช่นนี้ ดังนั้นหมากตานี้ของหลี่มู่เฉินในอดีตจึงเดินได้ดีไม่น้อย เพียงแต่ผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งย่อมไม่หวนกลับไปผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง
“ท่านชายอย่าได้ลำบากเลย ข้าเตรียมอาหารกลางวันไว้บนรถม้าแล้ว”
“เช่นนั้นท่านหญิงกินขนมเฉียวกั่วรองท้องสักจานก่อน นี่เป็นขนมที่ข้าทำเองกับมือ ถือว่าตอบแทนน้ำใจที่ท่านหญิงนำมาเยี่ยมเยียน”
คนเจ้าเล่ห์ก็ยังคงเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำอาหารมาเอาใจนางไม่ได้ก็เอ่ยถึงขนมที่ตนทำเองกับมือแทน เพียงแต่เขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบขนมเฉียวกั่ว ดูแล้วเขาเองก็คงสืบประวัติของนางมาไม่น้อยเช่นกัน
“ท่านชายไม่สบายควรพักผ่อนให้มาก ไม่น่าต้องลำบาก”
“แต่ไหนแต่ไรเรือนของข้าก็มีสาวใช้เพียงไม่กี่คน เรื่องทำอาหารกับขนมกินเล่นข้าทำจนคุ้นชินแล้วไม่นับว่าลำบาก”
หลี่มู่เฉินเอ่ยบอกเสียงเศร้า หากแต่บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มบางๆ ให้จ้าวซิงอี จะว่าไปแล้วเรื่องอื่นเขาอาจเสแสร้งสร้างเรื่องให้นางสงสารเห็นใจ ทว่าเรื่องการทำอาหารและขนมเพื่อกินเองนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง
อาหารของข้าถูกวางยาพิษเป็นประจำ ดังนั้นเพื่อมีชีวิตรอดตั้งแต่สิบขวบข้าก็ลงครัวทำอาหารด้วยตนเอง มารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นชำนาญไปแล้ว
แม้จะย้ำเตือนตนเองว่าทั้งหมดเป็นเพียงแผนที่หลี่มู่เฉินจงใจสร้างขึ้น แต่เมื่อคิดถึงจุดนี้จ้าวซิงอีกลับอดที่จะสงสารเห็นใจเขาไม่ได้ ก็แค่ขนมจานเดียวกินหมดค่อยกลับก็ไม่นับว่าเสียเวลาเกินไป ทว่ายามที่หยิบขนมชิ้นแรกใส่ปาก เสียงเข้มดุดันก็ดังขึ้นที่ด้านหลังในทันที
“เช่นนั้นก็ให้พี่ชายอย่างข้าได้ลองลิ้มรสฝีมือน้องชายสักหน่อยได้หรือไม่”
.................................................