บทที่ 1.3
หวนคืน
“ท่านหญิงบาดแผลของท่านสมานดีแล้วเจ้าค่ะ”
ลู่ชิงเอ่ยบอกผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงที่คลายกังวล เพราะไม่ต้องการให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ดังนั้นจ้าวซิงอีจึงขอร้องให้หลี่มู่หรงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นความต้องการของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ท่านบาดเจ็บเพราะช่วยท่านชายรอง แต่เขากลับแล้งน้ำใจไม่มาไยดีท่านสักนิด แม้แต่คำถามไถ่สักประโยคก็ไม่ น่าโมโหจริงๆ”
จ้าวซิงอีฟังคำตัดพ้อของคนสนิทแล้วส่ายหน้าไปมา หากแต่ไม่ทันได้เอ่ยต่อบทสนทนาสาวใช้ในเรือนก็เข้ามาเอ่ยรายงานเสียก่อน
“เรียนท่านหญิง ท่านชายสามมาขอพบเจ้าค่ะ”
ท่านชายสามย่อมหมายถึงหลี่มู่เฉิน มุมปากของจ้าวซิงอียกขึ้นอย่างเย้ยหยัน
ในที่สุดเขาก็มา
“เชิญท่านชายไปรอข้าที่ศาลาด้านหน้า”
“เจ้าค่ะ”
หากหวนคิดตามภาพเหตุการณ์ในความทรงจำ การมาของหลี่มู่เฉินในครั้งนี้ดูจะช้าไปถึงเจ็ดวันทีเดียว
“ลู่ชิงแต่งตัวให้ข้าที”
เพราะมีลู่ชิงช่วยแต่งตัว ดังนั้นใช้เวลาไม่นานนักจ้าวซิงอีก็ออกมาพบหลี่มู่เฉิน
“คารวะท่านชายสาม”
“ท่านหญิงเกรงใจไปแล้ว เป็นข้าที่ควรคารวะท่าน”
คิ้วเรียวของจ้าวซิงอีพลันขมวดเข้าหากัน ในแววตาฉายชัดถึงความสงสัย หลี่มู่เฉินยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงไม่มั่นคงนักราวกับคนที่กำลังสำนึกผิด
“ทั้งที่ได้ท่านหญิงช่วยเหลือ แต่ข้ากลับมาขอบคุณช้าถึงเพียงนี้ย่อมสมควรขออภัยท่าน”
หลี่มู่เฉินเอ่ยจบก็ไอยกใหญ่ จ้าวซิงอียกยิ้มมุมปากมองท่าทางอ่อนแอบอบบางของหลี่มู่เฉินอย่างนึกดูแคลน ครั้งหนึ่งนางเคยถูกท่าทางเช่นนี้ของเขาล่อลวงมาแล้วครั้งนี้นางย่อมไม่พลาดท่าอีก
“ท่านชายสามไม่สบายเหตุใดไม่พักผ่อน เรื่องวันนั้นจะว่าไปข้าก็มิได้ทำสิ่งใดเลย เพียงเดินผ่านทางมาพอดีเท่านั้น”
“จะอย่างไรก็นับว่าเป็นบุญคุณ ข้าย่อมสมควรมาขอบคุณ”
เอ่ยจบหลี่มู่เฉินก็รินชาส่งให้จ้าวซิงอีด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาหวานมองท่าทางใส่ใจของคนตรงหน้าแล้วไม่นึกแปลกใจที่ครั้งหนึ่งตนเองเคยหลงใหลความอบอุ่นนี้ของเขา
“ท่านชายช่างเป็นบุรุษที่เอาใจสตรีได้ดียิ่งนัก”
คิ้วเข้มของหลี่มู่เฉินกระตุกเล็กน้อย ในแววตาฉายความประหลาดใจ หากแต่เพียงจ้าวซิงอีวางถ้วยชาลง สายตาแข็งกระด้างของเขาก็พลันจางหาย บนใบหน้าอาบไล้ไปด้วยความอบอุ่นเช่นเดิม
“คำขอบคุณของท่านชายข้ารับไว้แล้ว วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายต้องขอตัวก่อน”
จ้าวซิงอีวางถ้วยชาลงพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา นึกย้อนไปถึงวันวานในความทรงจำ ครั้งนั้นหลังจากดื่มชาและสนทนากับหลี่มู่เฉินไม่นานนางก็รู้สึกเวียนหัวอ่อนแรงและชาไปทั้งตัวอย่างเฉียบพลันสุดท้ายจึงพลัดตกน้ำและถูกคนตรงหน้าช่วยเหลือเป็นหนี้บุญคุณไปมา
ทว่าหลังจากทบทวนดูแล้วนางที่เป็นสตรีแข็งแรงกลับล้มป่วยอย่างเฉียบพลันย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดนอกจากชาที่หลี่มู่เฉินรินให้ในวันนั้น นางก็ไม่ได้กินดื่มสิ่งใดอีก และเพื่อทดสอบเรื่องในคราวก่อน วันนี้จ้าวซิงอีจึงทำเพียงแสร้งดื่มชา หลังจากคำนวณเวลาให้ตรงกับในอดีตแล้วก็เอ่ยขอตัว แน่นอนว่าร่างกายที่ปกติดีของนางย่อมยืนยันข้อสันนิษฐานของนางได้อย่างชัดเจน
วาสนาสวรรค์สร้างอย่างนั้นหรือ ดูแล้วคงเป็นเล่ห์กลที่คนเจ้าเล่ห์จงใจสร้างสถานการณ์เสียมากกว่า
เพียงแต่ร่างกายของจ้าวซิงอีปกติดีก็จริง ทว่ายามที่หมุนตัวเพื่อเดินกลับเข้าเรือนอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นคอด้านหลัง ก่อนที่สติของนางจะดับวูบ ร่างกายซวนเซอย่างไม่อาจควบคุม
ตู๊ม! เสียงสะท้านก้อง และความเย็นที่โอบอุ้มไปรอบตัว พร้อมกับอาการหายใจไม่ออกนี้ ชัดเจนว่านางกำลังเดินทับรอยเดิมในอดีต...
น่าโมโหนัก!
............................................
“ท่านหญิงเป็นลมตกน้ำเจ้าค่ะ โชคดีที่ได้ท่านชายสามช่วยเอาไว้”
โชคดี หึ! ทั้งหมดล้วนเป็นแผนเจ้าเล่ห์ของคนต่ำช้าผู้นั้นทั้งสิ้น
“ทว่าท่านชายสามแต่เดิมสุขภาพก็ไม่ดี เพราะลงไปช่วยท่านในสระจึงล้มป่วยมาสองวันแล้ว ท่านหญิงจะอย่างไรท่านก็ควรไปขอบคุณท่านชายสามที่เรือนสักหน่อยนะเจ้าคะ”
จ้าวซิงอีถอนหายใจยาว แม้จะรู้ว่านี่เป็นหมากที่อีกฝ่ายวางไว้แต่ในฐานะท่านหญิงแห่งต้าฉินการสร้างเรื่องบาดหมางอย่างโจ่งแจ้งต่อท่านชายผู้นี้ย่อมไม่ส่งผลดีนัก สุดท้ายจึงไม่อาจหลบเลี่ยงไม่เดินตามแผนการของอีกฝ่าย
ก็แค่ไปขอบคุณเขาที่เรือนเท่านั้นไม่นับยากลำบากอะไร
“เช่นนั้นเจ้าไปที่โรงครัว ให้แม่ครัวทำอาหารให้ข้าหนึ่งเถา”
“ทำอาหาร! ท่านหญิงแม้จะบอกว่าไปเยี่ยม แต่นำอาหารไปเยี่ยมท่านชายเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
จ้าวซิงอียกมุมปากขึ้น หากผู้ที่นางจะไปเยี่ยมเป็นท่านชายคนอื่น นางถืออาหารเขาเรือนพวกเขานับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่กลับคนเจ้าเล่ห์อย่างหลี่มู่เฉินนับว่าเหมาะสมที่สุด
............................................