บทที่ 1.1
หวนคืน
เสียงการต่อสู้ที่ดังก้องทำให้ขบวนเดินทางของจ้าวซิงอีหยุดชะงัก มือขาวกระตุกบังเ**ยนม้าหยุดมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วขบกรามแน่น
กลุ่มชายชุดดำนับสิบคนกำลังต่อสู้กับกลุ่มบุรุษที่แต่งตัวสามัญ ทว่าแม้ดูเหมือนเป็นการต่อสู้ธรรมดา แต่เมื่อพิจารณาฝีมือการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายกลับเป็นการรุกรับแบบแผน เห็นได้ชัดว่าถูกฝึกมาอย่างมีระเบียบ พื้นที่ตรงกลางของวงล้อมมีบุรุษรูปร่างสูงสง่าแม้ดูบอบบางใบหน้าซีดเซียว แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คนให้ยากจะมองผ่าน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้คิ้วเรียวของจ้าวซิงอีขมวดมุ่นกลับไม่ใช่ความสง่างามของบุรุษผู้นั้น แต่เป็น...
เหตุการณ์นี้ทำไมจึงเหมือนกับความฝันของนางนัก
“ท่านหญิงจะเข้าไปช่วยคนหรือไม่เจ้าคะ”
“มะ....”
จ้าวซิงอียังไม่ทันสั่งความชายชุดดำคนหนึ่งก็หันมาเห็นนางแล้วออกคำสั่งถอยหนีในทันที ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น มองบุรุษใบหน้าขาวซีดอ่อนแรงเดินเข้ามาหาตนด้วยดวงตาแข็งกร้าวแดงก่ำ
เป็นเขาจริงๆบุรุษต่ำช้าไร้ใจ... หลี่มู่เฉิน
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าแม่นางคือ...”
“ท่านนี้คือท่านหญิงรองแห่งต้าฉิน ท่านหญิงจ้าวซิงอี”
ลู่ชิง คนสนิทของจ้าวซิงอีเอ่ยรายงานเสียงก้อง ขณะที่คนถูกถามกลับนั่งนิ่งบนหลังม้า ดวงตากลมจดจ้องไปยังบุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนด้วยสายตาแข็งกร้าวแค้นเคือง ความเจ็บปวดทั้งกายและใจในความทรงจำยังคงชัดเจน และเด่นชัดมากขึ้นเมื่อดวงตาคมอ่อนโยนเงยขึ้นสบมองนาง
แม้จะบอกว่าบังเอิญ ทว่าเหตุการณ์นับจากที่นางเอ่ยปากขอผู้เป็นพี่ชายเดินทางมาแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างเมือง จวบจนเหตุการณ์เมื่อครู่ นอกจากคำสั่งของนางที่สมควรเป็น ช่วยคน ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เช่นนี้แล้วแน่นอนว่าเรื่องในความฝันของนางย่อมไม่ใช่เพียงฝันธรรมดา แต่เป็นฝันบอกอนาคตหรือไม่ก็เป็นนางที่ย้อนมาจากอนาคตเพื่อแก้ไขสิ่งที่ตนเคยก้าวผิดพลาด
“ลู่ชิงเร่งออกเดินทาง”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้าง และแววตาเยือกเย็นที่จดจ้องมองกลับทำให้คนถูกมองขมวดคิ้วเข้มอย่างสงสัย หากแต่ไม่ทันได้เอ่ยถามร่างเพรียวบางก็กระตุกบังเ**ยนม้าควบจากไปอย่างรวดเร็ว
หลี่มู่เฉิน บุรุษต่ำช้าผู้นี้ นางจะไม่มีวันหวนคืนหลงกลเขาอีกเด็ดขาด
.......................................................
“เรียนท่านอ๋อง ท่านหญิงรองจ้าวซิงอีจากต้าฉินมาถึงแล้วขอรับ”
“เชิญนางเข้ามา”
อ๋องโจวเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าอ่อนแรง ข้างกายมีพระชายาเอกคอยดูแลช่วยรินชาร้อนส่งให้อย่างห่วงใย ขณะที่อีกข้างมีพระชายารองคอยพัดวีให้อย่างใส่ใจ
“คารวะท่านอ๋องฉิน พระชายาเอกหลัน พระชายารองอี้”
“อืม... ตามสบายเถิด”
“ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณพระชายาเอกหลัน ขอบคุณพระชายารองอี้”
จ้าวซิงอีเอ่ยบอกด้วยท่าทางนอบน้อม แม้ว่าท่านอ๋องทั้งสี่เมืองเดิมทีจะเป็นเพียงสามัญชน แต่ในอดีตล้วนมีผลงานใหญ่ร่วมก่อตั้งแคว้นรวบรวมดินแดนหนิงอัน อดีตองค์ฮ่องเต้จึงประทานบรรดาศักดิ์อ๋องปกครองแคว้นให้ทั้งสี่ตระกูล หากมิกระทำการผิดต่อแผ่นดินก็ให้สืบทอดต่อในวงศ์ตระกูลมิเรียกคืนยศ ดังนั้นแม้กล่าวว่าเป็นเพียงอ๋องปกครองแคว้นที่มีเชื้อสายสามัญชน แต่กลับมีอำนาจและเป็นที่เคารพของชาวเมืองไม่ต่างจากท่านอ๋องผู้สืบทอดเชื้อสายราชวงศ์
“ข้าได้รับจดหมายจากอ๋องฉินแล้ว แต่ข้าอายุปูนนี้แล้วเรื่องการแต่งงานเชื่อมไมตรีนี้เห็นทีคงไม่อาจร่วมมือด้วยได้”
จ้าวซิงอีได้ยินคำตอบของท่านอ๋องชราก็ยิ้มอ่อนโยน แน่นอนว่ารอยยิ้มนี้ของนางมิใช่เพราะยินดีที่ไม่ต้องแต่งงานเช่นในอดีต แต่เพราะนางรู้ว่าท่านอ๋องตรงหน้าได้กำหนดการแต่งงานของนางเอาไว้แล้วต่างหาก
“ตัวข้ามีบุตรชายอยู่สามคน เจ้าใหญ่มีอินเอ๋อร์เป็นฮูหยินเอกแล้ว เช่นนั้นเจ้าแต่งเป็นฮูหยินเอกเจ้ารองก็แล้วกัน”
จ้าวซิงอีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษสามคนที่นั่งตรงข้าม อย่างพิจารณาในอดีตยามที่นางเงยหน้ามองบุรุษทั้งสามแล้วพบว่าหนึ่งในท่านชายคือบุรุษที่ตนช่วยเหลือ จ้าวซิงอีที่ตกใจก็เผลอจ้องมองหลี่มู่เฉินจนเสียกิริยา ทว่าครั้งนี้นางกลับไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ดวงตากลมจดจ้องไปที่ว่าที่สามีของตนอย่างแน่วแน่ แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยน ก้มศีรษะเป็นการแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
นึกถึงเรื่องราวในอดีต ยามที่นางลอบเข้าวังเพื่อสังหารท่านชายใหญ่ตามกลลวงของหลี่มู่เฉิน ท่านชายรองผู้นี้ออกตัวปกป้องพี่ชายจนสุดกำลัง ทว่าในจังหวะที่สามารถสังหารนางได้เขากลับไว้ไมตรีเป็นนางเสียอีก
ที่ไร้หัวใจ อาศัยจังหวะนั้นลงมือสังหารเขาอย่างเลือดเย็น
“ขอบพระคุณท่านอ๋องที่เมตตา แต่ท่านแม่กับท่านพ่อของข้าเพิ่งจากไป เรื่องแต่งงานเกรงว่า...”
“เช่นนั้นก็หมั้นหมายกันไว้ก่อนรอเจ้าไว้ทุกข์ครบหนึ่งปีค่อยเข้าพิธีแต่งงาน เจ้ารองเจ้าเห็นเป็นอย่างไร”
“ท่านหญิงจ้าวมีใจกตัญญูลูกย่อมไม่ขัดขวาง หนึ่งปีไม่นับว่านานลูกย่อมรอได้”
ท่าทางเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ และแสนอบอุ่นเช่นนี้ของท่านชายรองหลี่มู่หรงเหตุใดในอดีตจ้าวซิงอีจึงมองไม่เห็นกัน ช่างเป็นสตรีตาบอดโดยแท้จริง จึงได้เห็นเศษกรวดขาวเป็นเพชรแท้น้ำงาม
“ขอบคุณท่านชายรองที่เมตตา”
“แม้เรายังไม่แต่งงานแต่ก็นับว่าได้หมั้นหมายกันแล้ว ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่รองดีหรือไม่”
จ้าวซิงอียิ้มกว้างในอดีตหลี่มู่หรงก็แสดงน้ำใจต่อนางเช่นนี้ แต่นางกลับตัดรอนเขาอย่างไร้ไมตรี อ้างเรื่องความเหมาะสมชายหญิงทำตัวห่างเหินกับเขาจนเกิดช่องว่างให้หลี่มู่เฉินแทรกแซง แน่นอนว่าหวนคืนครานี้นางย่อมไม่เดินซ้ำรอยเดิมอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นท่านก็เรียกข้าว่าน้องหญิงดีหรือไม่เจ้าคะ”
น้องหญิง คำเรียกขานนี้มิใช่มีเพียงสามีใช้เรียกผู้เป็นภรรยาหรือไร ทั้งที่ตนเป็นคนเริ่มเปลี่ยนคำเรียกขาน ทว่ายามถูกนางเปลี่ยนคืนใบหน้าของหลี่มู่หรงกลับร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“เช่นนั้นท่านหญิงก็ต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ด้วยจึงจะถูกต้อง”
ท่านชายใหญ่หลี่มู่ฉีเอ่ยหยอกเย้า ทว่าจ้าวซิงอีกลับไม่ยอมรับปากทำเพียงนั่งอมยิ้มจดจ้องหลี่มู่หรงอย่างพิจารณา
“อั๊ยหยา! น้องรองเจ้าดูว่าที่ภรรยาของเจ้าสิ อ่า... ในสายตาของนางยังเหลือไว้มองบุรุษอื่นได้อีกหรือไม่”
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั้งห้องโถงจวนอ๋องโจว เว้นเพียงบุรุษบนเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่นั่งหน้านิ่งไม่เอ่ยวาจา สองมือของหลี่มู่เฉินกำเข้าหากันแน่นดวงตาคมจดจ้องมองสตรีต่างเมืองด้วยความขุ่นเคือง
“เช่นนั้นมู่หรงพรุ่งนี้เจ้าก็พาท่านหญิงจ้าวชมเมืองสักหน่อย”
“ขอรับท่านพ่อ”
หลี่มู่หรงขานรับคำสั่งผู้เป็นบิดา จ้าวซิงอีขยับศีรษะก้มลงเพื่อแสดงการขอบคุณอีกฝ่าย หากแต่เมื่อหางตาสังเกตเห็นท่าทางที่ขุ่นเคืองของหลี่มู่เฉินริมฝีปากบางก็ยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน
บุรุษเช่นเจ้า... ข้าโง่งมมองผิดเพียงครั้งเดียวก็เกินพอ
........................................................