รวิดาตัวสั่น ฟันกระทบกันด้วยความหวาดกลัว เขาก็ผลักร่างของเธอออกห่างอย่างรังเกียจ
ร่างสูงหมุนกายเดินจากไปอย่างไม่ไยดี รวิดามองตามร่างสูงไปด้วยน้ำตานองหน้า เธอปาดน้ำตาทิ้งด้วยความรู้สึกอดสูใจ
รวิดาค่อยๆ ประคองร่างอันบอบช้ำทั้งกายใจขึ้นจากพื้น เธอเดินเข้าห้องเล็กๆ คับแคบของตัวเองด้วยความรู้สึกหดหู่เหลือคณานับ การไม่ถูกรักไม่เท่ากับการถูกเกลียด เพราะเขาไม่รักยังมีสถานะอย่างอื่นเช่นนับถือกันเป็นพี่น้อง แต่หากได้เกลียดกันแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีแม้เพียงสักน้อยก็ไม่มีให้กัน
เด็กสาวอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาจากห้องอย่างเคว้งคว้าง เธอเข้ากับคนที่นี่ไม่ได้เลย ทุกคนดูไม่ชอบหน้าเธอ อาจรับรู้เรื่องราวของรวิกร พี่ชายของเธอที่ทรยศถิ่น ผู้เป็นเจ้านายที่รักของทุกคนที่นี่ก็เป็นได้
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมจ๊ะ” รวิดาสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าครัว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง หลายคนหันมามองแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไม่มีใครสนใจไยดีเธอเธอเลยสักคนเดียว
รวิดาจิกมือเข้ากับกระโปรงยาวที่ตัวเองสวมอยู่ หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำแทบจะโลดออกมานอกอก มือของเธอชื้นเหงื่อ ใบหน้าชาหนึบเหมือนถูกตบซ้ำๆ
“โอ๊ย!” เธอร้องเสียงหลง หกล้มไม่เป็นท่า เพราะคิดจะเดินเข้าไปช่วยงานในครัวเท่าที่ทำได้ เขาทำอะไรกันบ้าง เธอก็จะเข้าไปช่วยพวกเขาทำสิ่งนั้น
“เกะกะจริงเชียว” เสียงของคนที่ขัดขาเธอจนล้มเอ่ยขึ้น ไม่มีใครคิดจะช่วยและเธอก็ดูไร้ค่าไร้ความหมายในสายตาทุกคนไม่แตกต่างจากถิ่น
รวิดาทนไม่ไหวจึงวิ่งหนีออกมาจากห้องครัว ก่อนจะร้องไห้เบาๆ ด้วยความอดสูใจ
รวิกรพี่ชายของเธอจะรู้หรือเปล่าว่าเขาได้ทำอะไรเอาไว้กับเธอ เขาจากไปโดยทิ้งความเกลียดชังเอาไว้ให้ทุกคนที่นี่ ร่างกายบอบช้ำไม่เท่าจิตใจที่โดดเดี๋ยวอ้างว้าง
รวิดานั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ตรงมุมมืดๆ ของสวนดอกไม้ กลิ่นหอมของกุหลาบโชยมาปะทะจมูก พร้อมกับท้องไส้ที่ปั่นป่วนไปหมด เธอหิวแต่ไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปในห้องครัว ฐานะของเธอในเวลานี้ช่างต่ำต้อยด้อยค่าไร้คนเมตตาเหลียวแล
“ว้าย!” รวิดาอุทานอย่างตกใจ เธอลุกขึ้นก็เจอเข้ากับใบหน้าถมึงทึงของวรรณา แม่บ้านของไพศาลกิจกุล
“นายเรียก!” เสียงห้วนๆ สั้นๆ นั้นทำให้เธอสะดุ้งอีกรอบ นางพูดจบก็หมุนร่างหันหลังเดินจากไปในทันที ทิ้งให้เธอยืนตั้งสติอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ และค้นพบว่าเธอต้องรีบไปหาถิ่นโดยเร็วที่สุด คนขี้โมโหแบบถิ่นไม่ชอบรอใครนานๆ
“หายหัวไปไหนมา!” ประโยคคำถามจากคนที่นั่งรออยู่ตรงหัวโต๊ะทำให้รวิดาสะดุ้งสุดตัว เธอชะงักฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ลึกๆ เพื่อตั้งสติและเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง รวมถึงตอบคำถามให้เขาโกรธน้อยที่สุด
“รวิออกไปนั่งที่สวนมาน่ะค่ะ”
“เธอคงว่างมากสินะ ถึงมีเวลาไปนั่งชมนกชมไม้ ทอดอารมณ์อยู่ในสวนแบบนั้น” คนเอ่ยถาม ยกเบียร์เย็นๆ ขึ้นดื่ม บนโต๊ะเต็มไปด้วยกับแกล้มและเครื่องดื่มคือเบียร์เหยือกใหญ่
“เฮียมีอะไรให้รวิทำบ้างคะ” ถามออกไปเพราะไม่แน่ใจนัก เขาอาจจะอยากเรียกใช้อะไรเธอก็เป็นได้
“มาคอยบริการฉันสิ หน้าที่ของเธอไม่ใช่เหรอ” ประโยคคำถามของเขาทำให้เธอต้องเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ กับเขา แต่เธอยังไม่ทันได้นั่ง ถิ่นก็ดึงร่างของเธอไปนั่งตักเสียก่อน
“ว้าย!” เธอกรีดร้องออกไปอย่างตกใจ เขารัดเอวคอดของเธอเอาไว้อย่างหยาบคาย
เขาปฏิบัติกับเธออย่างไร้ความปรานี...
“ตกใจอะไรนักหนา หรือนี่เป็นวิธีการยั่วผู้ชาย ดีดดิ้นเรียกร้องความสนใจ แบบนี้ใช่ไหม ผู้ชายถึงได้ยอมสู้กันเกือบตายเพื่อแย่งเธอ”
รวิดาไม่รู้จะตอบหรือพูดอะไรดี เธอได้แต่ก้มหน้างุดเพียงเท่านั้น เพราะถึงพูดอะไรออกไปก็คงจะไม่ถูกใจของเขาอย่างแน่นอน
“บริการฉันสิ ฉันว่าเธอน่าจะถนัดนะ” ประโยคของเขาเต็มไปด้วยความดุดันและบีบบังคับ
รวิดาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อโดนมือหนาบีบต้นแขนเข้าให้
“โอ๊ย!”
“ทำหน้าแบบนั้น ถอนใจแบบนั้น หมายความว่ายังไง” คนเมาเริ่มหาเรื่อง เธอไม่ถูกตาต้องใจของเขาอยู่แล้วด้วย ทำอะไรก็ผิดไปหมดนั่นแหละ
“รวิดาขอโทษนะคะถ้าทำให้เฮียโกรธ แต่รวิทำอะไรลงไป คงไม่เป็นที่พึงพอใจของเฮียหรอกค่ะ” ประโยคของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าระคนทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส
“รู้ตัวก็ดีแล้ว เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกยินดีไปได้หรอก ยิ่งชอบทำดีเอาหน้าเหมือนพี่ชายของเธอยิ่งแล้วใหญ่ ฉันเกลียดที่สุดก็พวกทำดีต่อหน้า แทงกันลับหลัง” ประโยคของเขาเสียดแทงจิตใจ จนเธอไม่รู้จะแก้ตัวเช่นไรดี เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องจริง พี่ชายของเธอทรยศหักหลังเขา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน เท่านั้นไม่พอ ยังแย่งได้แม้กระทั่งคนรัก
“ฉันพอจะรู้เบาะแสไอ้พี่ชายทรยศของเธอกับผู้หญิงแพศหยาเรียบร้อยแล้ว ไม่นานฉันจะลากคอมันมาเหยียบให้ตายคาตีน” ประโยคนั้นทำให้รวิดาใจหายวาบ
เขารู้เบาะแสพี่ชายของเธอแล้วอย่างนั้นเหรอ ในขณะที่เธอไม่รู้อะไรเลย รวิกรเองก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวอะไรมาให้เธอได้รู้เลยว่าเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน
“เป็นอะไรไปล่ะ กลัวเหรอ” เขาขู่ชิดริมหูของเธอ
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก คนที่มันทรยศหักหลังฉัน มันจะต้องไม่ตายดีแน่ๆ” ประโยคที่เขากระซิบอยู่ตรงริมหูทำให้เธอหวาดกลัวระคนหวาดหวั่น
“อย่าทำอะไรพี่กรเลยนะคะ ทุกอย่างรวิจะรับผิดชอบเอง”
“กล้ามากนะที่เธอพูดแบบนี้กับฉัน เธอนี่น่ะเหรอจะรับผิดชอบแทนพี่ชายของเธอ ตัวเธอเองยังเอาตัวไม่รอด” เขาฟอนเฟ้นสะโพกผายของเธอหนักๆ จนเธอหน้าแดงกัดปากเพื่อไม่ให้ร้องครวญครางออกมา
“เฮียคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” เธอร้องประท้วงเพราะเธอกับเขาอยู่ด้วยกันในห้องอาหาร ถ้าสาวใช้หรือใครเดินเข้ามาจะต้องเห็นว่าเธอกับเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“เธอกลัวด้วยหรือ ฉันนึกว่าเธออยากให้ฉันทำแบบนี้เสียอีก เห็นเธออ่อยฉันมาตลอด” เขาสอดมือเข้าไปในแพนตี้ตัวน้อยของเธอ กดนิ้วแกร่งเข้าไปเสียดสีกับปุ่มกระสันซ่านอันฉ่ำเยิ้มของเธอ
“เยิ้มขนาดนี้เธอยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ ใครเชื่อเธอก็ออกลูกเป็นแมวแล้ว” เขาพูดเสียงแหบพร่าอยู่ตรงริมหูหอมกรุ่นของเธอ ก่อนจะสอดแทรกนิ้วแกร่งเข้าไปในโพรงเนื้ออ่อนนุ่ม
เธอกัดปากเพื่อข่มกลั้นเสียงครวญครางเอาไว้ เพื่อไม่ให้เล็ดลอดออกมาให้ได้อับอาย แต่คนอยากแกล้งยิ่งสอดแทรกนิ้วเข้ามารุกเร้าหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอต้องหลุดเสียงครวญครางออกมา ร่างกายของเธอสั่นสะท้านก่อนจะเกร็งกระตุกเมื่อเสร็จสมอย่างรุนแรง
ถิ่นดึงนิ้วแกร่งขึ้นมาดูดรัดกลืนกินหยาดน้ำหวานของเธออย่างกระหาย กิริยาท่าทางของเขาทำให้เธอใจสั่นระริก
ถิ่นช้อนสะโพกของเธอขึ้นไปวางบนขอบโต๊ะกินข้าว ก่อนจะแหวกเรียวขาของเธอออกเพื่อที่จะได้ซุกซบใบหน้าเข้าหา
เธอกัดปากตัวสั่นระริกเมื่อปากร้อนของเขาเข้าสัมผัสจู่โจม เขาดูดรัดปุ่มกระสันแดงฉ่ำของเธออย่างเร่าร้อน
“เธอพร้อมแล้วละ” ดูเหมือนว่าถิ่นจะไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าเลยสักนิด สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดในตอนนี้คือร่างบอบบางอันหอมกรุ่นที่นั่งเกยอยู่บนตักของเขา ร่างกายของเธอนุ่มเด้งเต็มตึงไปหมด ไม่ว่าจะสัมผัสไปยังส่วนไหนก็ทำให้เขาตื่นตัวได้ในทุกครั้ง
เขางับและดูดดึงจนเธอสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า ลิ้นสากร้อนสอดแทรกเข้าภายในร่องหยาดเยิ้ม ซุกแทรกจนเธอดิ้นพล่าน
มือหนาของเขากุมสะโพกผายของเธอเอาไว้ ยึดเอาไว้ไม่ให้เธอดิ้นหนี ก่อนที่ความเป็นชายของเขาจะสอดแทรกชำแรกเข้าหาโพรงเนื้อสาวอย่างรุนแรง
“อื้ม...” เธอครางเสียงสั่นสะท้านด้วยความกระสันซ่านยามที่ท่อนกายชายทะลวงเข้ามาในกลีบเนื้อฉ่ำอย่างรุกเร้ารุนแรง