“อุ๊ย! เฮีย” รวิดาอุทานออกมา รีบโอบกอดคอหนาของเขาเอาไว้เพราะกลัวพลัดท่าตกจากตักของเขา
อ้อมแขนของเขารั้งเอวคอดของเธอเอาไว้ ตามด้วยประโยคคำถามตรงริมหู
“จะไปไหน” เขาเอ่ยถามพลางหอมแก้มของเธอแรงๆ ขยี้ปากเหมือนกลั่นแกล้ง
“จะไปล้างปิ่นโตรอเฮียกินข้าวให้เสร็จน่ะค่ะ” เธอได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นเสื้อเชิ้ตตัวโตของเขานั่นแหละ
“หน้าที่ของเธอตอนฉันกินข้าวก็คืออยู่ใกล้ๆ ฉันเพื่อดูแลฉัน อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำหลายรอบ” แม้ประโยคนั้นของเขาจะดูเป็นการบังคับสำหรับเธอ แต่ลึกๆ ในหัวใจของเธอก็ชอบที่จะได้อยู่ใกล้เขาในทำนองนี้อยู่แล้ว
ฝนตกหนักในเดือนมีนาคมกำลังจะเข้าสู่เดือนเมษายนเป็นเรื่องแปลกหรือจะเรียกว่าฝนหลงฤดูก็ย่อมได้ สภาพอากาศในปัจจุบันนั้นค่อนข้างแปรปรวนค่อนข้างมาก ซึ่งจริงๆ แล้วช่วงนี้น่าจะเป็นฤดูร้อนเสียมากกว่า
เธอมองสายฝนริมหน้าต่างบ้านพักด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ข่าวคราวของพี่ชายเงียบหายไปเหมือนสายลม ถิ่นเองก็ไม่ได้พูดถึงรวิกรให้เธอได้ยินอีก เธอเองก็ไม่กล้าถามเขาด้วย
อ้อมแขนของเขาที่อุ้มเธอขึ้นสู่อ้อมแขนทำให้รวิดาอุทานเบาๆ เธอรีบคล้องคอหนาเอาไว้
แผ่นหลังของเธอสัมผัสไปกับพื้นเตียงหนาหนุ่ม ในบ้านพักกลางไร่แห่งนี้มีที่หลับที่นอนและห้องครัวเอาไว้ สำหรับทำอาหาร เธอเคยนอนค้างกับเขาที่นี่ออกบ่อย ตอนที่เขาไม่ได้กลับไปบ้านใหญ่
การนอนค้างที่นี่กับเขามันมีข้อดีอยู่อย่างคือไม่ยุ่งวุ่นวายกับใคร ไม่ต้องคอยฟังคำของสาวใช้คอยพูดจากระแนะกระแหนเหมือนอยู่บ้านใหญ่ แต่เธอต้องครวญครางตลอดค่ำคืนเพราะรสรักอันแสนเสียวซ่านและสัมผัสดุดันเรียกร้องของเขาที่มีต่อเธอนั้นมันช่างรุนแรงเหลือเกิน
“เฮียคะ”
“มีอะไร” เสียงกระด้างของเขาเอ่ยถามกลับมา ในขณะที่เธอดึงผ้าห่มมาคลุมที่อกอวบอิ่ม ทรวงอกอวบอิ่มที่อวบใหญ่ขึ้นตามแรงมือหนาที่ฟอนเฟ้นอยู่ทุกค่ำคืน ทำให้ถิ่นก้มลงไปงับดูดบ่อยๆ เหมือนจะพึงพอใจไม่น้อย
แรงดูดของเขาทำให้เธอทั้งเจ็บทั้งเสียวในเวลาเดียวกัน
“เฮียได้ข่าวของพี่กรบ้างไหมคะ” ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่น้ำเสียงเท่านั้น ใบหน้าของเขาก็ดูกระด้างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รวิดาคิดว่าเธอไม่ควรถามเขาออกไปเช่นนั้นเลย
“ได้ข่าวสิ เธอต้องการข่าวประเภทไหนล่ะ” น้ำเสียงของเขาที่เอ่ยถามกลับมานั้นช่างเย้ยหยันเสียเหลือเกิน เธอไม่แน่ใจว่าควรถามเขาออกไปอีกดีไหม
“รวิแค่เป็นห่วงพี่กรน่ะค่ะ ถึงยังไงเขาก็เป็นพี่ชายของรวิ โอ๊ย!” เธอร้องเมื่อโดนเขาบีบแขนจนเจ็บ เธอนิ่วหน้าพยายามดึงแขนหนี เขาก็บีบอีกแขนดึงเธอเข้าไปหา จ้องมองเธออย่างดุดัน
“เธอห่วงมันก็ไม่ต้องมาสาธยายให้ฉันฟัง เพราะฉันเกลียดพี่ชายสารเลวของเธอจับใจ มันเองก็คงไม่ได้รักใคร่ไยดีอะไรเธอนักหรอก ไม่เช่นนั้นคงไม่ทิ้งเธอเอาไว้แบบนี้” เขาพูดจบก็ผลักร่างของเธอล้มหัวซุนไปกับที่นอนกว้าง
รวิดาประคองตัวลุกขึ้น ในขณะที่ร่างสูงของถิ่นลุกจากที่นอนอย่างไม่ไยดี เธอหน้าแดงแก้มร้อนเสมอเมื่อเขาเปลือยกายต่อหน้าเธอเช่นนี้
“เธออยากรู้ใช่ไหมว่าพี่ชายของเธอตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ถิ่นเอ่ยถามเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เธอชะงักมือที่กำลังตักข้าวให้เขา หันไปมองหน้าเขาอย่างลุ้นๆ
“ตอนนี้พี่ชายของเธอติดการพนันอย่างหนัก ท่าจะหมดตัวเร็วๆ นี้ ก็อย่างว่าละนะโกงเงินคนอื่นไป เงินก็ไม่ได้อยู่กับตัวเองนานหรอก เดี๋ยวมันก็มีอันต้องหมดไป” เขาพูดคล้ายเยาะ
“พี่กรติดการพนันด้วยเหรอคะ” เป็นความรู้ใหม่ที่เธอไม่เคยรับรู้มาก่อน เขาว่าถ้าใครติดการพนัน ผีพนันเข้าสิง ไม่มีทางเจริญ ได้มาเท่าไหร่ก็หมดไป สิ่งที่ไม่ควรยุ่งในโลกนี้คืออบายมุขและสิ่งเสพติด แต่น่าแปลกที่หลายคนก็ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน
“เงินที่โกงฉันไป น่าจะเอาไปเล่นการพนัน คิดว่าได้เงินก้อนไปแล้ว เข้าบ่อนแล้วจะรวยขึ้นมาหรือไง” ประโยคของถิ่นทำให้รวิดาลอบถอนใจเฮือกใหญ่ เธอก็คิดแบบถิ่นเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายของเธอจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขเช่นนั้น
“ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าพี่ชายของเธอติดการพนัน” เขาตักอาหารรับประทานและคุยกับเธอไปด้วย ดูเหมือนสีหน้าของเขาเองก็คาดไม่ถึง รวิกรดูเป็นคนดี สิ่งที่เขาไม่น่าทำคือโกงถิ่นและพาแก้วตาหนีไปด้วยกัน พอมารู้เรื่องว่าติดการพนันด้วยก็ทำให้รวิดาเป็นกังวลยิ่งนัก บางทีพี่ชายของเธออาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนี้ก็เป็นได้ แต่อาจจะติดหนี้พนันและหาทางออกไม่ได้
“โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก” ประโยคของถิ่นเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจของเธอ เขาเองก็คิดเช่นเดียวกับเธอ การโกงคนอื่นจะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ควรทำเพราะคิดถึงใจเขาใจเรา ถ้าเราโดนโกงบ้างล่ะ จะรู้สึกอย่างไร สิ่งไหนที่เราไม่อยากให้คนอื่นทำกับเรา เราก็ไม่ควรทำกับคนอื่น
“อนาคตพี่ของเธอเดาได้ไม่ยากหรอก ไม่โดนยิงตายข้างถนนก็โดนซ้อมจนตาย ไอ้พวกนี้มันทวงหนี้โหดมากเลยนะ” ประโยคของเขาเหมือนกับให้เธอทำใจในชะตากรรมของพี่ชายคนเดียว
“เฮียคงโกรธที่พี่กรพาพี่แก้วหนีไป” เพราะเขากับแก้วตาคบหากันมานานแล้ว กำลังจะแต่งงานกันเป็นธรรมดาที่ถิ่นจะโกรธ เพราะมันเหมือนกับการโดนหยามน้ำหน้า
“เธอคิดว่าฉันควรจะรักผู้หญิงแบบนั้นอยู่อีกเหรอ ผู้หญิงที่ทิ้งฉันไปไม่พอยังจะสวมเขาให้ฉันอีก บางทีฉันก็ควรนึกขอบคุณพี่ชายของเธอนะ ที่เอาตัวเสนียดออกไปจากชีวิตของฉัน”
จากคนที่รักกลายเป็นคนที่เกลียด เธอรู้ดีว่าถิ่นรักแรงเกลียดแรง เมื่อก่อนเคยรักมากเท่าไหร่ ก็จะเกลียดมากเท่านั้น
แก้วตาเป็นเพียงลูกสาวของคนงานที่ถิ่นยกย่องและคิดจะตบแต่งเป็นเมีย เขาไม่ได้สนใจฐานะของเธอ รวิดายังเคยคิดเลยว่าถิ่นนั้นเป็นคนดีใช้ได้ เขาไม่ดูถูกคนอื่นเพราะถ้าจะเทียบกันแล้ว ถิ่นถือว่าร่ำรวยไม่แพ้ใคร
รวิดาได้แต่ฟังเงียบๆ เธอไม่อยากมีปากเสียงอะไรกับเขา ที่สำคัญก็คือไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะถูกหูเขาหรือเปล่า ถ้าพูดไม่ถูกหูขึ้นมาเธอนี่แหละจะโดนลูกหลงเอาได้
การพักอยู่ที่บ้านพักกลางไร่ผ่านไปถึงหนึ่งสัปดาห์ เธอรู้สึกสบายหูไปได้มากแต่ความจริงก็คือความจริง เพราะกลับไปบ้านใหญ่เมื่อไหร่สิ่งที่ได้พบเจอก็ยังเหมือนเดิม
แต่รอบนี้แปลกไปกว่าครั้งก่อน ในบ้านใหญ่มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน คือวนิดาบุตรสาวเพียงคนเดียวของป้าวรรณา แม่บ้านเก่าแก่ประจำตระกูลของถิ่น สมัยก่อนท่านไม่ชอบแก้วตาเช่นไร ก็ไม่ชอบเธอเช่นนั้น เธอเพิ่งรู้เหตุผลในตอนนี้เองว่าเป็นเพราะท่านก็อยากให้บุตรสาวเพียงคนเดียวที่เรียนจบกลับมาได้ผูกสมัครรักใคร่กับถิ่นนั่นเอง
เธอเองก็รู้จักกับวนิดามานานหลายปี ค่อนข้างที่จะสนิทสนมกันพอสมควร ด้วยว่าวนิดานั้นเป็นคนอัธยาศรัยดี
วนิดาดูเป็นที่ห่อเหิมของคนในไร่ อาจเพราะเธอเป็นสาวสวยทันสมัย บุคลิกภาพดีและมีการศึกษา ยากนักที่คนงานในไร่จะส่งเสียลูกเต้าให้ได้เรียนสูงๆ เพราะส่วนใหญ่เรียนจบมัธยมหกก็ออกมาช่วยบิดามารดาทำงานเสียแล้ว
ถิ่นนั้นสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาให้ทุกคน หากลูกหลานคนงานจะศึกษาต่อเขาก็พร้อมที่จะส่งเสียให้เล่าเรียนจะได้กลับมาพัฒนาไร่ วนิดาเองก็เช่นกัน หล่อนอยากเรียนต่อเกษตรศาสตร์ด้านพืชพรรณ คงหวังกลับมาช่วยเหลือถิ่นดูแลไร่ ถิ่นจึงสนับสนุนทุนการศึกษาต่อเธอจนเรียนจบ รวิดาได้ยินป้าวรรณาพูดว่าถิ่นจะส่งวนิดาไปเรียนต่อปริญญาโทอีก หรือถ้าอยากเรียนถึงปริญญาเอกก็จะส่งเรียนเช่นกัน
แม้วนิดาจะเป็นแค่ลูกของแม่บ้าน แต่ถิ่นก็ให้ความรักวนิดาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง วนิดาจึงสนิทสนมกับถิ่น เรียกถิ่นว่าเฮียเหมือนเธอ ในขณะที่แก้วตาเรียกขานถิ่นว่าคุณถิ่นเพราะชินปากมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน