สาม
ผู้มาสีแดง ผู้อยู่สีขาว ผู้ครองสีดำ
ร่างในเสื้อคลุมสีสดย่ำเท้าด้วยสีหน้าวิตกกังวล ทว่าทีท่าการเดินของนางช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก...
ชินอ้ายเดินก้มๆ เงยๆ มองดูไกลๆ คล้ายกระต่ายสีแดงที่กำลังกระโดดเล่นบนหิมะอันเย็นเฉียบ
“หาไม่เจอเลย...หล่นอยู่ที่ใดกันนะ”
นางพึมพำขณะที่เหลือบสายตามองข้อมือข้างซ้ายที่เปลือยเปล่า ใจรู้สึกเบาโหวงจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ทันทีที่รู้สึกตัวว่ากำไลเงินหล่นหายไปจึงเดินย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม นับว่าดียิ่งนักที่หิมะหยุดตกแล้ว ร่องรอยซึ่งเกิดจากเดินของพวกนางจึงยังเหลือให้เห็นอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้นางเผลอทำเตาร้อนตกพื้น ใช้การต่อไม่ได้ เดิมทีคิดว่าวกกลับมาหาก็คงหาพบโดยเร็ว ทว่าผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เจอสิ่งที่ตามหาเสียที...
ร่างเล็กเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาจากฝ่ามือ แม้อากาศจะเย็นจัดแต่กายกลับร้อนเนื่องจากเดินอย่างไม่หยุดพัก
หรือนางควรจะวกกลับไปบอกเรื่องนี้กับซางฉือ?
เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ ก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะแย้งขึ้นมา
นางเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งมาถึง ถ้าทำเช่นนั้นจะมิใช่เป็นการสร้างความลำบากให้บ่าวหนุ่มโดยไม่จำเป็นหรอกหรือ?
ร่างเล็กเหม่อมองออกไปยังความเปล่าของทะเลสีคราม ความรู้สึกเคว้งคว้างทอดยาว ดูกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลายเดือนมานี้นางได้คิดทบทวนมานับครั้งไม่ถ้วน นางรับปากพี่สาวโดยใช้ความสุขทั้งชีวิตของตนมาแลก แม้ใจจริงมิได้อยากมานั่งเสียใจภายหลัง แต่นางก็รู้สึกว่ามันช่างกะทันหันเหลือเกิน
ยามนี้ของสำคัญที่อีกฝ่ายให้ไว้กลับมาหล่นหาย ครั้นนึกถึงใบหน้างดงามของผู้มีพระคุณก็เรียกให้ความชื้นแฉะเริ่มเอ่อท้นออกมาจากดวงตา
ในเมื่อบุรุษผู้นี้เป็นคนที่พี่สาวเลือก... นางต้องเชื่อมั่นว่าเขาย่อมเป็นคนที่ดีพอ
ชินอ้ายคิดพลางหลับตาลงพร้อมกับอธิษฐานในใจอย่างเงียบงัน หากท่านเจ้าเกาะเมตตานางเพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนของพี่สาวก็คงจะดีไม่น้อย
คลื่นลมแรงสาดกระทบฝั่งเกิดเป็นเสียงดังอื้ออึงอยู่ข้างหู สายลมพัดโกรกผ่านกายบางจนสั่นสะท้าน เรือนผมดำขลับปลิวสยายจนพังกันยุ่งเหยิง
หากชั่วอึดใจต่อมา...ลมแรงนั้นกลับหายไปเสียเฉยๆ
นางลืมตาขึ้นมาด้วยความมึนงง ก่อนที่ร่างจะผงะถอยหลังเมื่อเบื้องหน้ากลับมีกำแพงมนุษย์ยืนขวางทางลมเอาไว้
นะ...น่าอายนัก!
นางรีบยกมือปาดความชื้นที่ขอบตาอย่างรีบร้อนก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ อับอายเกินกว่าที่จะเงยหน้ามองผู้ที่มีน้ำใจช่วยเหลือตน ชุดสีดำสนิทของเขาตัดกับเสื้อคลุมสีแดงของนางและพื้นหิมะเบื้องล่าง แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่จากการแต่งกายก็ทำให้ดูออกว่าอีกฝ่ายย่อมเป็นบุรุษเพศ
“ขอบพระคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”
อีกฝ่ายยืนเงียบไม่ตอบสนองคำพูดของนางจนเด็กสาวเริ่มใจเสีย จึงเข้าใจว่าตนเองมารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา ทางที่ดีนางควรจะขอตัวเพื่อไปตามหากำไลต่อ
“ข้า...ขอตัวนะเจ้าคะ”
นึกไม่ถึงว่าแขนเสื้อสีทึมจะมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาขวางนางไว้พอดี ก่อนที่มือใหญ่สีขาวสะอาดจะผายออกมาเบื้องหน้าชินอ้ายพร้อมกับของสิ่งหนึ่ง
“ใช่ของเจ้าหรือไม่” เสียงนุ่มทุ้มแทบจะดึงดูดให้ผู้ฟังตกอยู่ในห้วงภวังค์ หากสิ่งที่ยื้อนางให้อยู่ในโลกของความเป็นจริงคือกำไลเงินซึ่งห้อยด้วยจี้รูปดอกเหมยโดดเด่นในอุ้งมือใหญ่ ชินอ้ายคลี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ รอยบุ๋มที่ข้างแก้มทั้งสองกดลึกลงไปจนผู้ที่มองอยู่รู้สึกว่าร่างของตนนิ่งค้างไปชั่วขณะ มืออีกข้างที่ทิ้งอยู่ข้างตัวสั่นเล็กน้อยก่อนจะกำแน่นเข้าหากัน
“เจ้าค่ะ! กำไลเงินวงนี้สำคัญกับข้ามาก” ดรุณีน้อยเงยหน้าหวังกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง หากเมื่อดวงตาหวานสบเข้ากับดวงตาสีเข้มก็พูดอะไรไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะเผยความตกใจออกมา
บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่งจนนางอยู่เพียงระดับอกของเขา แม้การแต่งกายจะดูดุดันน่าเกรงขามทว่าทวงท่ากลับสง่างามน่าเลื่อมใส
และที่สำคัญกว่านั้นคือใบหน้าของเขาถูกอำพรางภายใต้หน้ากากสีดำ ตั้งแต่หน้าผากกระทั่งถึงแก้มข้างขวาถูกวาดด้วยอักษรหมึกทองตัวใหญ่ว่า ‘เผิง[1]’
ชินอ้ายเบิกตากว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เขาสวมใส่หน้ากากและแต่งกายในชุดสีดำ แผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาทว่าเสียงที่กล่าวก็บ่งบอกได้ว่ายังหนุ่มแน่น
...หรือว่าคนผู้นี้คือเผิงซือเยียน จ้าวเกาะดอกเหมย!
ผู้คิดกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ยามนี้ไม่อาจมั่นใจได้ว่าเขาใช่บุรุษที่นางต้องแต่งงานด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการหยิบเอากำไลคืนมาจากเขา
นางกลั้นใจพร้อมกับยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยออกไปเบื้องหน้า หวังจะหยิบของสำคัญกลับคืนมาจากมือใหญ่ของบุรุษชุดดำด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่คว้ากำไลเงินมาได้ก็ชักมือกลับ แต่เด็กสาวก็แทบจะส่งเสียงร้องออกมาเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายกลับพลิกแขนมาอยู่ด้านบน ใช้มือใหญ่รัดเข้าที่ข้อมือเล็กจนนางไม่อาจถอยหนีไปได้!
หน้ากากที่ชายหนุ่มใส่รึก็แสนจะน่าสะพรึงกลัว ทว่าความอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่ซึมผ่านเข้าสู่ผิวเนื้อบางกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชินอ้ายไม่คุ้นชินกับการถูกตัวกับบุรุษจึงมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ที่น่าประหลาดใจคือนางไม่อาจรับรู้ถึงความคุกคามจากบุรุษที่ตรึงข้อมือของตนแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ...ก้อนเนื้อในอกยังเต้นรวนราวกับลั่นกองศึกอย่างไม่น่าให้อภัย!
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงราบเรียบ ยากต่อการคาดเดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไพเราะน่าฟังยิ่ง
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังตำหนินางอยู่หรือไม่
หากนางตอบเขาไปว่า ‘ข้ามาเพื่อแต่งงานกับท่านเจ้าเกาะ’ จะดูน่าเกลียดไหมนะ?
และถ้านางแย้งถามเขาว่า ‘ท่านใช่เผิงซือเยียนหรือไม่’ ก็อาจกลายเป็นเรื่องไร้มารยาทจนเกินไป
“ข้า...” ชินอ้ายสูดหายใจเข้าลึก เคลื่อนสายตากลับไปยังมือใหญ่ที่ยังพันธนาการอยู่ที่ข้อมือตน หวังจะให้อีกฝ่ายปล่อยแขนนางเสีย แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามเมื่อมันถูกบีบแน่นกว่าเดิมราวกับเกรงว่านางจะวิ่งหนีไป
“ผู้ใดมอบกำไลนั้นแก่เจ้า”
“พะ...พี่สาวคนสำคัญเป็นผู้มอบให้ข้าเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างว่าง่ายแม้สีหน้าจะเผยความมึนงงอยู่บ้างก็ตาม
“พี่สาว?” เสียงนุ่มทุ้มของเขาแฝงแววเคลือบแคลงสงสัย ทว่าใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากก็ส่งผลให้ผู้มองมิอาจคาดเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายได้
“เอ่อ...คุณชายช่วยปล่อยข้าได้ไหมเจ้าคะ ข้าเจ็บ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนจนน่าสงสาร และทันทีที่ชายหนุ่มปริศนายอมปล่อยมือ เสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาพอดี
“คารวะท่านเจ้าเกาะ”
ชินอ้ายหันหน้าไปยังทิศทางของผู้มาใหม่ ครั้นเห็นว่าเป็นซางฉือและสหายก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมา หากประเดี๋ยวเดียวก็ต้องหันกลับไปยังบุรุษเบื้องหน้าอีกครั้ง
เขาคือท่านเจ้าเกาะอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
ร่างเล็กในชุดสีแดงสดเริ่มกระสับกระส่าย เมื่อการพบกันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน นางไม่มีเวลาเตรียมตัวและเตรียมใจ หากเลือกได้คงไม่มีสตรีใดไม่อยากจะสร้างความประทับใจให้ ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ของตนเองกันบ้างเล่า
ฝ่ายม่อลี่เห็นชายในชุดดำซึ่งสวมหน้ากากน่าสะพรึงกลัวก็ตกใจก็ผงะถอยหลัง รีบเดินไปยืนหลบอยู่ข้างหลังบุรุษในชุดขาวขณะที่ส่งสายตามายังดรุณีน้อยอย่างหวาดๆ
“เหตุใดพวกนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้” เผิงซือเยียนหันหน้าไปยังบ่าวรับใช้แห่งจวนริมผา สถานที่ซึ่งเป็นที่พำนักของตระกูลเผิง...ผู้ปกครองเกาะดอกเหมยแห่งนี้
“เรียนท่านเจ้าเกาะ แม่นางตู้เดินทางมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับท่าน”
“แต่งงาน?” จากน้ำเสียงของชายนุ่มบ่งบอกว่าเขาเองก็ไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน เล่นเอาหัวใจที่พองโตของชินอ้ายหดเล็กลงอย่างน่าใจหาย
หรือว่าเผิงซือเยียน...ไม่ประสงค์จะแต่งงานกับนาง?
[1]**(เผิง) ในที่นี้หมายถึงแซ่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจหมายถึง ความยุ่งเหยิง หรือความอ่อนละมุน ก็ได้