สาม
ผู้มาสีแดง ผู้อยู่สีขาว ผู้ครองสีดำ
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาสีเทาหม่น หลังจากพี่สาวจากไปครบหนึ่งเดือน...หน้าโรงน้ำชาชื่อดังแห่งเมืองหลวงก็มีรถม้าผูกธงสีขาวของตระกูลเผิงจอดรอตั้งแต่เช้าตรู่
น่าแปลกที่ผู้มาเยือนไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ลั่วสื่อก็เข้าใจได้ในทันที
การจากลาเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าการที่มีคนมากหน้าหลายตามาส่งนางก็สร้างความซาบซึ้งใจจนชินอ้ายถึงกับหลั่งน้ำตา
นางเติบโตมาใต้ปีกของท่านลุงลั่วและฮูหยินมานานกว่าเก้าปี แม้มิใช่ความผูกพันทางสายเลือดแต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากญาติมิตร ไหนจะผู้อาวุโสในโรงน้ำชาที่คอยสั่งสอนให้นางเรียนรู้เรื่องชา แล้วยังมีใต้เท้าและฮูหยินทั้งหลายที่คอยเอ็นดูนางอยู่เสมอ
แรกพบถือเป็นเรื่องง่าย...หากยามจากลานั้นแสนยากเย็นนัก
ความจริงดรุณีน้อยอาจต้องยืนร่ำลาอยู่นานแสนนานหากไม่ติดว่าม่อลี่เอ่ยเร่งเข้าเสียก่อน การที่สหายของนางร่วมเดินทางมาด้วยได้ช่วยให้นางอุ่นใจขึ้นอีกหลายส่วน
สายลมของชิวเทียนผ่านพ้น ทดแทนด้วยอากาศที่หนาวเย็นของตงเทียน[1] การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือใช้เวลาเดือนกว่า เมื่อต่อด้วยเรือสำเภาก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะเดินทางถึงเกาะดอกเหมย
นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ทั้งสองถึงที่หมาย หิมะสีขาวสะอาดก็โปรยปรายลงมาเสียแล้ว...
“เสี่ยวลี่ รีบกางร่มเร็วเข้า” ชินอ้ายในเสือคลุมสีแดงกล่าวกับสตรีข้างกายที่ร่างโงนเงนราวกับจะหลับเสียให้ได้
การกินนอนบนเรือสำเภาไม่ได้สุขสบายนัก สำหรับนางถือว่าโชคดีที่มิได้เมาคลื่น ผิดกับม่อลี่ที่อาเจียนไปหลายครั้ง ใบหน้าซีดเซียวอิดโรย ควรรีบไปนอนพักเป็นอย่างยิ่ง
“กางร่ม...” เสียงเล็กพึมพำขณะที่กางร่มสีเดียวกับชุดของนางอย่างเอื่อยเฉื่อย กว่าจะทันได้กันก็ถูกหิมะร่วงใส่ตัวจนเปียกชื้น
ชินอ้ายมีสีหน้าไม่สบายใจ พี่สาวบนเรือบอกว่าให้พวกนางรออยู่ที่ท่าจนกว่าจะมีคนมารับ ปกติเกาะดอกเหมยไม่ค่อยได้ต้อนรับคนต่างถิ่น หากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปอาจถูกเข้าใจผิดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้
แต่นางก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมายืนตากอากาศเย็นๆ ในสภาพนี้ หากป่วยขึ้นมาจะยิ่งแย่
ผู้คิดคลำมือไปยังกำไลเงินที่สวมใส่อยู่อย่างเผลอไผล นางมาที่นี่เพราะคำสั่งของพี่สาวที่นางเคารพรัก แต่ยามนี้นางกลับคะนึงถึงกองไฟอุ่นๆ ที่โรงน้ำชา...
ชินอ้ายส่ายหน้าเพื่อขับไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป ไม่ได้ๆ จะถอดใจตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด นางจะปล่อยให้พี่สาวกับท่านลุงลั่วรู้สึกผิดหวังในตัวนางไม่ได้
ทันใดนั้นเองสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนไหวท่ามกลางความขาวโพลนที่โปรยปราย แววตาเผยความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าเขาคงเป็นผู้ที่พวกนางเฝ้าคอย
“ยินดีต้อนรับแม่นางตู้และสหายขอรับ ขออภัยด้วยที่มาช้า ข้าน้อยมีนามว่าซางฉือ ได้รับคำสั่งให้พาท่านไปยังเรือนพักผ่อนขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงอายุประมาณสิบเจ็ดปีแต่งกายด้วยชุดสีขาวโค้งศีรษะให้นางกับม่อลี่อย่างนอบน้อม ก่อนจะยื่นเตาร้อนใบเล็กให้พวกนางคนละใบ ความอบอุ่นที่ซึมผ่านจากปลายนิ้วช่วยเหลือได้มากทีเดียว
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านซาง” ชินอ้ายยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าก่อนจะโค้งศีรษะอย่างสุภาพไม่แพ้กัน การแต่งกายของเขาคล้ายคลึงกับพี่สาวมาก เสียแต่ว่าบุรุษผู้นี้รวบผมเกล้าเป็นมวยสูง “ท่านซาง ที่นี่มีข้ากับม่อลี่ยืนอยู่ ไฉนท่านจึงทราบได้ว่าข้าคือตู้ชินอ้าย”
เรื่องนี้ชินอ้ายไตร่ตรองดูแล้ว หากถามไปก็คงไม่เป็นการเสียมารยาท ในเมื่อนางกับม่อลี่แต่งกายเหมือนกัน อายุใกล้เคียงกัน เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้กลับสามารถชี้ตัวได้อย่างถูกต้องกันเล่า
ซางฉือปิดปากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความระมัดระวังยิ่ง “ข้าน้อย...เคยเห็นรูปวาดของท่าน”
ชินอ้านมึนงงสับสน รูปวาดของนาง? อีกฝ่ายเคยเห็นรูปวาดของนางจากที่ใดกัน
หากความสงสัยของนางยังไม่ทันได้รับการแถลงไข เสียงหนึ่งก็เอ่ยแทรกขึ้นมากลางป้อง
“ท่านซางฉือ ข้ามีนามว่าม่อลี่” ใบหน้าของม่อลี่เริ่มมีเลือดฝาด อาการอ่อนเพลียเริ่มทุเลาลงเพราะมีเตาร้อนคอยช่วย
“แม่นางม่อ” เขาพยักหน้าอย่างสุภาพ ก่อนจะตรงเข้าไปหยิบสัมภาระซึ่งเป็นเพียงห่อผ้าเล็กๆ ขึ้นสะพายหลัง ผายมือให้สตรีทั้งสองอย่างเชื้อเชิญ “แม่นางทั้งสอง เชิญ”
ในที่สุดหิมะก็หยุดโปรยลงมาเมื่อคนทั้งสามเดินทางไปได้ครึ่งทาง ชินอ้ายกับม่อลี่จึงพากันหุบร่ม เมื่อสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบกายได้อย่างเต็มตาก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
สองข้างทางคือต้นไม้ใหญ่ซึ่งกินอาณาบริเวณออกไปอย่างกว้างขวางไม่ต่างจากผืนป่า กิ่งก้านทั้งหลายปราศจากใบสีเขียวสด แต่กลับชูช่อผลิดอกท้าความหนาวเย็นของหิมะอย่างไม่ย่อท้อ แลดูงดงามเกิดบรรยายราวกับภาพมายา
“ชินอ้าย! เจ้าดูดอกไม้เหล่านี้สิ แม้ก่อนหน้านี้หิมะจะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก หากพวกมันยังคงออกดอกสีขาวพิสุทธิ์ บานสะพรั่งยาวไปสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว” ม่อลี่กล่าวอย่างตื่นเต้น ร่มสีแดงที่นางถือขยับไปมา ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ผู้ฟังอมยิ้ม “เสี่ยวลี่...ต้นไม้ที่เจ้าเห็นเหล่านี้คือต้นเหมย”
“ต้นเหมย?” นางทวนเสียงสูงพลางหันซ้ายหัวขวา สีหน้าดูมึนงงไม่น้อย “มิใช่ว่าต้นเหมยจะออกดอกสีแดงหรอกหรือ”
“เข้าใจผิดแล้ว” เด็กน้อนผู้ใช้เวลาย่ามว่างศึกษาสมุนไพรและบุปผาช้อนดวงตาหวานมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด “เหมยฮวา[2] คือหนึ่งในสามสหายแห่งตงเทียนร่วมกับต้นหลิวและไผ่ ขึ้นชื่อว่าเป็นปัญญาชนแห่งฤดูหนาวเพราะมันสามารถดอกบานสะพรั่งอย่างอดทน ไม่ย่อท้อต่ออากาศเย็นที่เลวร้ายที่สุดของปี ดอกเหมยที่มีสีขาวแกมเขียวที่เจ้าเห็นเหล่านี้มีสรรพคุณทางยามากกว่าดอกเหมยสีแดง”
ซางฉือมองร่างเล็กในชุดสีแดงสดโดดเด่น ตัดกับสีของดอกเหมยและหิมะขาวด้วยสีหน้าพอใจ “แม่นางตู้นับว่ามีความรู้อยู่บ้าง”
“ข้ารู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” เด็กสาวยิ้มรับขณะที่คนทั้งหมดออกเดินทางต่อ
“ป่าเหมยขาวที่พวกเรากำลังเดินผ่านอยู่เป็นหนึ่งในสี่ผืนป่าบนเกาะแห่งนี้ ป่าเหมยขาวอยู่ทางทิศใต้ ป่าเหมยชมพูอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนป่าเหมยแดงอยู่ทางทิศเหนือ” น้ำเสียงของเขาในคราแรกที่ฟังดูห่างเหินเป็นมิตรมากขึ้น ยามนี้เขาเริ่มเปิดใจเล่ารายละเอียดบางอย่างให้พวกนางฟังบ้างแล้ว
“แล้วทางทิศตะวันตกเล่า” ม่อลี่ถามต่ออย่างสนใจ
“ทิศตะวันตกคือป่าเหมยดำ เป็นเขตหวงห้าม” เขากล่าวจบก็เปลี่ยนเรื่องราวกับคำพูดเมื่อครู่หาได้สลักสำคัญไม่
“บนเกาะแห่งนี้ นอกจากป่าดอกเหมยแล้วยังมีสมุนไพรล้ำค่ามากมาย แร่ธาตุหยินหยางล้วนบริสุทธิ์สมดุล เพาะปลูกได้ผลดี ขณะเดียวกันก็มีจุดที่อันตรายมากมาย ทางที่ดีแม่นางทั้งสองไม่ควรไปไหนตามลำพังโดยไม่มีคนบนเกาะคอยนำทาง” เขาเหลือบสายตามายังม่อลี่ที่กวาดตามองทิวทัศน์อย่างเอ้อระเหย คาดว่าคงไม่ได้ฟังคำอธิบายของเขามาตั้งแต่เมื่อครู่
“แม่นางม่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูดกับท่านให้เข้าใจ”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบเบือนสายตามายังผู้เรียก “...อ๋อ ว่าอย่างไรท่านซาง”
ซางฉือขมวดคิ้ว “ปกติแล้วเกาะดอยเหมยไม่ต้อนรับให้คนนอกพักแรมอยู่นานเกินห้าวัน แต่เนื่องจากท่านเป็นสหายของแม่นางตู้ เราจึงอนุญาตให้ท่านพำนักอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน”
“อ้าวท่านซาง! แล้วหลังจากนั้นข้าจะทำอย่างไรเล่า!” ม่อลี่ร้องถาม
“เราจะส่งท่านขึ้นเรือกลับไปยังแคว้นเหลียว พร้อมกับเตรียมรถม้าพาท่านส่งถึงโรงน้ำชา”
“ตะ...แต่ข้า...” เสียงของเด็กสาวปวดร้าวยิ่งนัก เรื่องจะกลับไปใช้ชีวิตอันน่าเบื่อที่โรงน้ำชาก็เรื่องหนึ่ง ทว่าเพียงแค่คิดว่าต้องนั่งเรือสำเภาเป็นเดือนๆ อีกรอบ ม่อลี่ก็พลันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
การเมาเรือมันช่างทรมานยิ่งนัก...คนบนเกาะดอกเหมยช่างแล้งน้ำใจ!
แต่ดูท่าการกรนด่าในใจจะสื่อไปถึงชายหนุ่มที่มองอยู่ ซางฉือจึงแถลงไขให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความสำคัญของคำพูดตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“แม่นางม่อ นับตั้งแต่ท่านย่างเท้าลงบนเกาะดอกเหมยก็เท่ากับต้องทำตามกฎของเกาะดอกเหมย เรื่องนี้เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเกาะโดยตรง และข้าน้อยก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะไม่ทำให้แม่นางตู้ต้องลำบากใจไปด้วย”
ชายหนุ่มกล่าวพลางเคลื่อนสายตาไปหาดรุณีน้อยอีกคน ทว่าผลที่ได้กลับเป็นใบหน้าของเขาที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ หลานสาวแห่งโรงน้ำชาอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเห็นดังนั้นก็มองตามด้วยความใคร่รู้ หากก็ตกใจจนแทบร้องลั่นเมื่อไม่พบสหายของตนแม้แต่เงา
ตู้ชินอ้ายหายไปไหน!
[1] ตงเทียน (**) หมายถึง ฤดูหนาว
[2] เหมยฮวา (**) หมายถึง ดอกบ๊วย