เถาวัลย์เถานั้นหยุดค้างชั่วครู่แต่แล้วก็กลับมาหาเขาแต่โดยดี ที่สำคัญคือตรงมาวางส่วนปลายของเถาวัลย์แหมะบนฝ่ามือขาวที่ชายหนุ่มยื่นออกไปข้างหน้าราวกับรู้งาน
เจ้าอรุณมองแล้วก็เบิกตาโตอย่างไม่เชื่อ
มหัศจรรย์มาก! นี่มันการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติชัดๆ!
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาอยากทดลองเรื่อยๆ ออกคำสั่งไม่หยุด
“ลองพันข้อมือฉันดูหน่อยสิ”
ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้ไหมแต่ก็ลองพูดดู
เถาวัลย์เถานั้นสร้างความอัศจรรย์ใจให้นักพฤกษศาสตร์หนุ่มมากขึ้นโดยการทำตามที่สั่ง ปลายเถาวัลย์ค่อยๆ เลื้อยพันข้อมือขาวนวลอย่างแผ่วเบา เจ้าอรุณยกแขนข้างนั้นที่ถูกเถาวัลย์เกาะเกี่ยวขึ้นดูก็เอาแต่คราง
“อย่างกับต้นไม้ผีสิง”
คราวนี้ไม่ได้พูดภาษาโปรตุเกส ครางออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด แล้วก็สังเกตด้วยว่าเจ้าเถาวัลย์นี้น่าจะไม่เข้าใจ ภาษาที่เข้าใจมีเพียงภาษาโปรตุเกสเท่านั้นเพราะทันทีที่เขาพูดประโยคนั้นจบ เถาวัลย์ก็หยุดการเคลื่อนไหว ชูปลายโค้งงอคล้ายกับเครื่องหมายคำถามขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงรีบแปลให้
“ฉันบอกว่านายอย่างกับเป็นต้นไม้ผีสิง”
เข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจด้วยว่าที่บราซิลมีความเชื่อเรื่องผีในต้นไม้ด้วยหรือเปล่าเช่นกัน แต่เขาไม่สนใจอะไรแล้ว เอาปากกามาก้มหน้าจดข้อมูลลงไป
จดไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อจู่ๆ มือข้ออีกข้างที่ไม่ได้ถูกพันธนาการก็มีเถาวัลย์เถาเล็กพอๆ กับอีกข้างเลื้อยขึ้นมารัด
“อะไร”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเถาวัลย์...
ก็แน่ล่ะ มันจะไปมีได้อย่างไร นั่นมันพืช!
“อย่าเพิ่งวุ่นวายน่า ฉันจดข้อมูลแป๊บนึง”
เจ้าอรุณว่าด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อยคล้ายกับดุสัตว์เลี้ยง แต่รอบนี้เหมือนเถาวัลย์จะไม่ฟัง สื่อสารไม่รู้เรื่องขึ้นมาเสียอย่างนั้น สิ้นเสียงชายหนุ่ม เถาวัลย์ทั้งสองเถาที่ตรึงข้อมือเขาอยู่ก็รัดแน่นขึ้นมา ทำเอาเจ้าอรุณร้องโอ๊ย เงยหน้าขึ้นมามองต้นตออย่างรวดเร็ว
“ฉันบอกว่าอย่าเพิ่งวุ่นวายไง!”
เอ็ดไปด้วยอีกครั้ง แต่ก็เสียเปล่าเมื่อจู่ๆ ที่บั้นท้ายก็รู้สึกถึงแรงฟาดไม่แรงนัก
เพียะ!
“เฮ้ย!”
หันขวับไปมองก็เห็นเถาวัลย์อีกเถาตีก้นตัวเอง แล้วก็หยุดเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของเขาจ้องมอง พอหันกลับมา เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นซ้ำสอง
เพียะ!
“อย่า... อยู่เฉยๆ”
คนถูกฟาดก้นหันมามองตาเขียว ในใจพยายามคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ที่เถาวัลย์มาพันเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังตีก้นเขาอีก เจ้าอรุณทำทีเป็นไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาจดข้อมูลต่อ แต่ทำได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกได้ว่าชายเสื้อกาวน์ของเขาถูกเลิกขึ้นสูง พลันบางสิ่งก็เลื้อยเขามาในขอบกางเกงทางด้านหลังและเลื้อยลงต่ำไปยังซอกหลืบที่แสนอ่อนไหว
เฮือก!
หันขวับไปทันทีก็เห็นว่าเถาวัลย์เถาเดิมกำลังซอกซอนชอนไชที่บั้นท้ายเขาอย่างเมามันส์
มันไม่ได้บังเอิญแล้ว ผีสิงของจริง จะไชง่ามก้นเพื่อ!? ไม่มีสารอาหารให้ดูดซึมหรอกนะเว้ย!
“ถ้ายังไม่หยุด ฉันจะตัดทิ้งจริงๆ นะ!”
รอบนี้ขู่เสียงดัง ไม่ขู่เปล่า ทำท่าจะไปหยิบกรรไกรตัดกิ่งที่วางอยู่ไม่ไกลมาด้วย เท่านั้นเถาวัลย์ทุกเถาที่วุ่นวายกับเรือนร่างเขาอยู่ก็คลายตัวออก ถอยกลับไปอยู่ในที่ของมันโดยอัตโนมัติ ปล่อยให้เจ้าอรุณมุ่ยหน้า ถอนหายใจออกมาเต็มแรงก่อนจรดปลายปากกาเขียนลงไปบนหน้าจอแท็บเล็ต
สื่อสารกับมนุษย์ได้ ฟังรู้เรื่องเฉพาะภาษาโปรตุเกส มีการเลื้อยชอนไชเพื่อหาที่พึ่งพิง...
เขียนประโยคสุดท้ายแล้วก็ชะงัก
เท่าที่ดูมันไม่น่าจะเลื้อยหาที่พึ่งพิง ออกแนวลวนลามมากกว่า แต่นี่มันพืชนี่นะ เถาวัลย์เป็นพืชจำพวกกาฝากอยู่แล้ว ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นในการดำรงชีวิต ไม่แน่ว่าการที่มันเลื้อยเข้ากางเกงเขาและซอนแซะไปถึงซอกหลืบนั้นอาจจะเป็นการหาที่พึ่งพิงก็ได้
เพียงแต่... มันผิดที่ไปหน่อยก็เท่านั้น
ไม่หน่อยล่ะ มากเลยทีเดียว
คิดว่าง่ามก้นเรามีอะไรให้ดูดซึมได้หรือไง แค่คิดว่ามันจะดูดซึมอะไรเป็นสารอาหารก็สยองแล้ว!
เจ้าอรุณใช้เวลาทั้งวันในการศึกษาเถาวัลย์ประหลาดนั่น และเช่นเดียวกัน เขาใช้เวลาทั้งวันในการลบความคิดอกุศลว่าเถาวัลย์นั่นซอกซอนชอนไชเข้ามาในกางเกงเขาเพราะเรื่องอย่างว่า ในใจคิดเตือนตัวเองไปมาว่านั่นมันพืชๆ ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่สามารถคิดอะไรอุบาทว์อย่างที่เขาคิดได้
พอสะกดจิตตัวเองให้คิดอย่างนั้นได้ สุดท้ายประโยคที่เขียนไปก่อนหน้าและทำเขาชะงักก็ไม่ได้ลบ เขาคิดว่ามันคงจะต้องการหาที่พึ่งพิงจริงๆ ถึงได้เลื้อยไปมั่วซั่วสะเปะสะปะ
และความคิดบ้าๆ นั่นก็ถูกลบเลือนไปหมดเมื่อเขาพบว่าดอกไม้ตูมๆ สีแดงบนเถาวัลย์เถาที่แก่นั้นมีดอกหนึ่งผลิบานออกโดยไม่รู้สาเหตุในระหว่างการศึกษา นั่นทำให้เจ้าอรุณใช้เวลาทั้งวันในการสำรวจพรรณไม้นั้น แม้กระทั่งเลิกงานแล้ว องค์กรปิดทำการ เขาก็ยังไม่ยอมกลับไปพัก ซึ่งก็ไม่มีใครว่าด้วยเป็นอภิสิทธิ์ของนักพฤกษศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำงานวิจัย และเจ้าอรุณทำอย่างนี้ค่อนข้างบ่อย เสร็จงานเมื่อไหร่ก็ค่อยออกทางด้านหลังของอาคาร บางวันถึงขั้นนอนค้างที่นี่เลยด้วยซ้ำ หนักกว่านั้นก็ไม่กลับบ้านกลับช่องเลย กินนอนอยู่ในเรือนกระจกแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง และครั้งนี้ก็ดูท่าว่าเจ้าอรุณคงจะทำอย่างนั้นเพราะตอนนี้มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้เป็นอย่างดีมากกว่าการพักผ่อนเสียแล้ว
ไม่เพียงบานแค่ดอกเดียว ดอกอื่นๆ ก็ค่อยๆ บานออกทีละดอกสองดอก เจ้าอรุณนั่งจับเวลาในการผลิบานของดอกตูมอย่างใจจดใจจ่อจนกระทั่งดึกดื่น ไฟด้านนอกถูกปิดหมดแล้ว เหลือแค่ไฟทางเดินบางดวงที่ยังเปิดและแสงไฟสลัวๆ ในเรือนกระจกเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาถามเขาก่อนหน้านั้นว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับ
อีกนิด... เดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว รอให้ดอกสุดท้ายที่ตูมอยู่บานออก แล้วเดี๋ยวเขาจะจดบันทึกพร้อมกับสำรวจอีกนิดหน่อยก็จะกลับ
เจ้าอรุณบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปอย่างนั้น ทางนั้นจึงไม่รบกวนอะไรด้วยเห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ
“บานเร็วๆ เข้าซี่”
ถึงจะรออย่างตั้งใจแต่เจ้าอรุณก็อดไม่ได้ที่จะร้องเร่งด้วยร่างกายเขาอ่อนล้าเต็มที มองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้วก็หาวหวอด
ดอกสุดท้ายบานเมื่อไหร่คงต้องกลับไปนอน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ
คิดไว้อย่างนั้นแล้วก็นั่งเฝ้าต่อไป เขาไม่ได้ง่วงหรอก ปกติเขาไม่ได้นอนเวลานี้ แต่น่าแปลกที่จู่ๆ เขาก็อยากนอนขึ้นมาเต็มแก่เสียอย่างนั้น
อาจเป็นเพราะเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันก็เป็นได้
หาวแล้วหาวอีกจนกระทั่งเริ่มบังคับเปลือกตาให้เปิดขึ้นไม่ไหว เปลือกตาค่อยๆ ปรือลงมาจนเกือบปิด หากมันเป็นอาการง่วงงุนธรรมดา เขาเชื่อว่าตัวเองสามารถบังคับร่างกายให้ฝืนตาสว่างอยู่ได้ แต่นี่ไม่ใช่ เขาไม่ได้เพียงง่วงนอนโดยไม่รู้สาเหตุอย่างเดียว สมองก็มึนเบลออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่สิ... เคยเป็น มันเป็นอาการคล้ายกับตอนที่เขาเมาเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ตอนช่วงรับน้องมีการเลี้ยงน้องปีหนึ่งด้วยเครื่องดื่มมึนเมากันแล้วเขาถูกรุ่นพี่มอมเหล้าเสียจนเมามาย
เจ้าอรุณรู้สึกว่าอาการนี้ไม่ปกติสำหรับตัวเอง เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน คิดไปแล้วว่าร่างกายเขาคงมีอะไรบางอย่างผิดปกติไปแน่ อาจจะเป็นเพราะทำงานหนักเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว
เท่านั้นเขาก็ละทิ้งทุกอย่างทันที ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตเขาแล้ว เขากลัวอย่างเดียวคือเส้นเลือดในสมองแตกแล้วต้องมาตายอย่างเดียวดายในเรือนกระจก ซ้ำยังเป็นแผ่นดินที่ไม่ใช่แผ่นดินบ้านเกิด เขาค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้น ตั้งใจจะออกมาข้างนอกแล้วร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าทุกอย่างไม่ง่ายดั่งใจนัก เพราะทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน ร่างกายก็พลันไร้เรี่ยวแรงไปหมดก่อนที่จะทรุดฮวบลงบนพื้น
เจ้าอรุณพยายามผงกศีรษะขึ้นสูง ดันตัวจะลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายหนักอึ้งเกินกว่าจะขยับทำให้เขานอนราบไปกับพื้นอย่างหมดแรง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือภาพของเถาวัลย์ตรงหน้าค่อยๆ เลื้อยเข้ามาหาทีละน้อยก่อนทุกอย่างจะตัดไป
รู้สึกตัวในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ทุกอย่างเงียบสงัดจนชายหนุ่มได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง สติสัมปชัญญะเขากลับคืนมาแล้ว แต่ร่างกายยังขยับไม่ได้ดั่งใจนึก ถึงอย่างนั้น เจ้าอรุณก็ไม่สนใจ เขาต้องการไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ออกไปสูดอากาศปลอดโปร่งภายนอก ในเรือนกระจกมันร้อนอบอ้าวจนทำเขาหายใจไม่ออก
ชะ...ช่วยด้วย...
ใครก็ได้...ช่วยด้วย...
ในเมื่อขยับไม่ได้คล่องแคล่วนักก็ร้องขอความช่วยเหลือ
ริมฝีปากแห้งผากพยายามขยับเพื่อเอื้อนเอ่ยประโยคนี้ หากทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงลมหายใจกระหืดหอบจากการกระเสือกกระสนหนีให้พ้นจากหายนะที่กำลังบังเกิดกับตน หันสมองคิดทบทวนไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเผื่อว่าตอนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลจะได้เล่าอาการให้แพทย์ฟังได้ หากแต่จำไม่ได้ดีนักว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาจำได้เพียงตัวเองกำลังเก็บข้อมูลพรรณไม้ประหลาดที่ได้รับหน้าที่มาวันนี้ หลังจากนั้นก็รู้สึกหัวสมองมึนเบลอคล้ายกับดื่มเหล้ามาอย่างหนักหน่วงแล้วเกิดอาการเมา ความรู้สึกถัดมาคือร่างกายไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งยังชาวาบไปทั้งตัวราวกับโดนยาชาขนานแรง
เท่านี้...
เท่านี้เท่านั้นที่จำได้
รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองนอนแบ็บอยู่ที่พื้นภายในเรือนกระจกแล้ว ก่อนจะตระหนกสุดขีดเมื่อเห็นว่าบนขาทั้งสองข้างของตนถูกพันธนาการด้วยอะไรบางอย่าง...
เถาวัลย์...
ใช่! เถาวัลย์ไม่ผิดแน่ และมาจากพืชพรรณประหลาดที่เขาศึกษาอยู่เสียด้วย!
ก่อนหน้าที่ภาพจะตัดไปก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเถาวัลย์ขยับอยู่เหมือนกัน และไม่เพียงแต่ขาเท่านั้น เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าช่วงลำตัวและแขนก็ถูกรัดแน่นไปหมด การถูกตรึงประกอบกับอาการชาหนึบทำให้เขาขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในเมื่อขยับไม่ได้ก็ได้แต่อ้าปากร้อง แต่ก็อย่างที่บอกไปในตอนแรก ร่างกายมันชา... ชายันริมฝีปาก มีเพียงแต่เปลือกตาเท่านั้นแหละที่พอจะขยับได้อย่างอิสระโดยไม่ติดขัดอะไร
บัดซบ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ!?
ชายหนุ่มพรึงเพริด เขาไม่เคยรู้สึกกลัวสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
หรือว่าไอ้พืชนี่มันจะเป็นตระกูลเดียวกับพวกต้นไม้กินคน?
คิดดูดีๆ นั่นมันมีแค่ในนิทานหลอกเด็ก ทว่ามันก็เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นการค้นพบครั้งใหม่
ถึงจะเป็นการค้นพบครั้งใหม่ แต่ทำไมเราจะต้องเสียสละเป็นเหยื่อให้ไอ้พืชบ้านี่ด้วย!
เขาตะเกียกตะกายสุดชีวิต หาทางเอาตัวรอดทุกวิถีทาง นึกหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันที่บ้างาน ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง อยู่เก็บข้อมูลจนดึกดื่นจนเกิดเรื่องบ้าๆ อย่างนี้
และเขาก็ต้องพรึงเพริดมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกเมื่อขณะที่เขาพยายามเอาตัวรอด หางตาก็เหลือบเห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนโผล่มาจากพรรณไม้นั้น
ผู้ชาย...
โผล่มาจากไหน โผล่มาอย่างไร และโผล่มาตอนไหน เขาไม่รู้หรอก รู้อย่างเดียวว่าเป็นผู้ชาย
อีกอย่างคือ...
ไอ้บ้านี่เปลือยทั้งตัว!
ไม่เห็นเต็มตาก็พอจะเดาได้ และไม่ทันที่เขาจะได้รู้ว่าคนมาใหม่นั้นเป็นใคร แผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงแรงกดทับจากบางสิ่ง ความอุ่นร้อนที่ส่งผ่านมายังผิวเนื้อใต้เสื้อกาวน์บอกให้รู้ว่ามันเป็นไอความร้อนจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์เหมือนกับเขา
สิ่งมีชีวิตที่ทาบทับอยู่บนตัวเขานั้นไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าคือผู้ชายคนนั้น เขาดิ้นรนสุดชีวิต หลบหนีเท่าที่จะทำได้หากแต่ร่างแทบไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอดังหึ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น แล้วกระซิบแผ่วเบา
“ที่รักครับ...”
“...”
“ขอรัดหน่อย”
ระ...รัดอะไร?
“รัด...หน่อยนะครับ”
ไม่เพียงแค่ถูกทาบทับแล้ว ปลายนิ้วมือของอีกฝ่ายก็ลากไล้ไปตามแนวน่องขาทางด้านหลังก่อนมาหยุดเอาที่บั้นท้าย ชวนให้เจ้าอรุณสะดุ้งเฮือก เสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว
ระ…รัดป้านายเถอะ! แค่นี้ยังโดนรัดไม่พออีกใช่ไหม!
ที่สำคัญ...
ไอ้หมอนี่มันเป็นใครเนี่ย!?