“มึง!” ไอ้แก่เจ้าหนี้ผละออกจากฉัน จากนั้นก็เดินดุ่มไปเผชิญหน้ากับโฮคิอย่างไม่กลัวตาย สองตาของมันส่อแววแค้นเคืองอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันโฮคิเพียงแค่จ้องหน้ามันอย่างไม่รู้สึกอะไรมากนัก
“ทำไม” โฮคิเอ่ยถามเสียงเรียบแล้วก้าวเท้าเข้าใกล้มัน เชื่อไหมว่า...ไอ้แก่นั่นชะงักฉับพลัน ก่อนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ก็ยืนหยุดตรงเดิมเมื่อโฮคิเปลี่ยนทิศมาทางฉันซึ่งยืนตัวสั่นอยู่ไม่ไกลนัก นัยน์ตาสีสนิมอันทรงเสน่ห์จ้องฉันนิ่งในขณะที่ระยะห่างของเราลดลงเรื่อยๆ
“โฮคิ” ฉันเรียกชื่อเขาทั้งน้ำตา ทั้งดีใจทั้งเสียใจ ตอนนี้ความรู้สึกทุกอย่างมันตีรวนไปหมด ถึงแม้โฮคิจะเข้ามาช่วย แต่ยังไงซะ...บ้านหลังนี้ก็เป็นของไอ้แก่นั่น มันไม่สามารถเรียกร้องสิทธิ์ทางกฎหมายได้
“ออกไปข้างนอก” โฮคิหยุดอยู่ตรงหน้าในระยะที่ห่างกันเพียงหนึ่งก้าว เขาพูดเบาๆ ซึ่งฉันต้องมองเขาอย่างงุนงง
“??”
“ไปข้างนอก...” เขาพูดอีกครั้งซึ่งครั้งนี้เนื้อเสียงถูกกดต่ำลงเล็กน้อยทำให้ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังดุ ฉันจึงพยักหน้าเล็กๆ แล้วรีบเดินออกจากมาจากพื้นที่ตรงนั้น
ฉันชะโงกหน้าดูเหตุการณ์ในบ้านเงียบๆ ซึ่งตอนนี้โฮคิก้าวเท้าเข้าไปใกล้ไอ้แก่นั่นด้วยใบหน้าเฉยชาเช่นเคย ไอ้แก่เจ้าหนี้ทำท่าจะพุ่งกำปั้นใส่แต่คงช้าไปสำหรับโฮคิล่ะมั้ง โฮคิจึงสามารถรับกำปั้นได้เพียงมือเดียวก่อนที่เขาจะ...
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!! ผลัวะ!! ผลัวะ!!
ฉันยืนมองโฮคิกระหน่ำหมัดใส่หน้าไอ้แก่นั่นด้วยความความตกตะลึง แต่ละหมัดของเขามันรุนแรงมากจนเลือดจากบาดแผลของอีกฝ่ายกระเซ็นเปื้อนใบหน้าของโฮคิเล็กน้อย และเพียงเสี้ยววินาที โฮคิจัดการใช้สเก็ตบอร์ดในมืออีกข้างกระแทกเต็มดั้งไอ้แก่นั่นจนล้มลงไปนอนหมอบกับพื้น และฉันมั่นใจว่า...ไอ้แก่นั่นสลบไปแล้วเรียบร้อย เพราะเห็นร่างของมันนอนแน่นิ่งไร้ปฏิกิริยาใดๆ ทว่าโฮคิไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหมดสติก่อนจะยกเท้าเหยียบหน้าพร้อมบิดขยี้อย่างแรงโดยไร้ซึ่งความปรานีปราศรัย...
เขาเอียงคออีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าคนเสียเปรียบหมดสติไปแล้วจริงๆ แม้จะเห็นว่าทุกอย่างมันเงียบงันไปแล้ว กระนั้นโฮคิก็ยังใช้เท้าของตัวเองกระแทกลงที่หน้าอาบเลือดของไอ้แก่นั่นซ้ำๆ จนสภาพดูไม่ได้อีกต่อไป
จนหนำใจ เขาจึงหยุดการกระทำอันแสนน่ากลัวลง...
เมื่อเห็นแบบนั้นฉันจึงค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปด้านใน สองตามองร่างที่นอนนิ่งอย่างหวาดๆ ฉันเลื่อนสายตามองร่างสูงของโฮคิ เขาปาบุหรี่ที่ยังมอดไม่ถึงก้นทิ้งบริเวณนั้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็ใช้หลังมือเช็ดเลือดของไอ้แก่นั่นที่เลอะบนใบหน้าแรงๆ หลังจากนั้นเขาก็ลากสายตามองมายังฉัน...ซึ่งจ้องเขาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ตึกตักๆ ตึกตักๆ
เป็นแบบนี้ทุกทีเลยจริงๆ...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน โฮคิก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงเสมอ และอีกครั้ง...ที่เขาเป็นผู้มีพระคุณกับฉัน ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ...
“เอาไง” เขาถามเสียงเรียบพลางหันกลับไปมองเสื้อผ้าของฉันที่ถูกกองกับพื้นเหมือนของไร้ค่า มันทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ให้ตาย...ฉันคงไม่หน้าด้านอยู่ที่นี่ได้แล้วล่ะ เพราะถึงโฮคิจะเข้ามาจัดการกับไอ้แก่นั่นได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้แก่นั่นจะไม่เข้ามากระทำแบบนี้กับฉันอีก
นี่ฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย...
“ฮึก ฉันไม่รู้” ว่าแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง ฉันก้มหน้า กอดรูปแม่แน่น รู้สึกเสียใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้
“...” โฮคิไม่พูดอะไร ส่วนฉันก็ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้ แต่ฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อโฮคิเดินเข้าไปที่กองเสื้อผ้าของฉัน
“กระเป๋าอยู่ไหน”
“เห?” ฉันเอียงคอด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจสิ่งที่โฮคิกำลังจะทำ
“กระเป๋า” เขาพูดอีกครั้ง ทว่าฉันไม่ทันได้ตอบอะไร โฮคิก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าใบใหญ่ที่กระเด็นไปอยู่เกือบถึงห้องครัว สงสัยว่าไอ้แก่นั่นคงลื้อของในห้องจนหมดเลยสินะ ขนาดไดอารี่เล่มเล็กๆ ที่ฉันเก็บไว้ในลิ้นชักอย่างดี ยังลงมากองรวมกับกองเสื้อผ้านั่นเลย
โฮคิไม่พูดอะไรแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่ ไม่นานก็เดินกลับมาที่กองเสื้อผ้าดังเดิม เขาย่อตัวนั่งตรงนั้น จากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าของฉันยัดใส่กระเป๋าโดยไม่ยอมปริปากพูดอะไร ขณะเดียวกันฉันก็มองเขาอย่างอึ้งๆ และงุนงงเล็กน้อย และยิ่งกว่านั้น...
อะ...!
หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก ใบหน้าร้อนผะผ่าวเมื่อมือของเขาคว้าเสื้อชั้นในสีฟ้าของฉันแล้วยัดใส่กระเป๋าอย่างไม่นึกรังเกียจ และเชื่อไหมว่าไม่ทันที่ฉันจะเดินเข้าไปหาเขา ทุกอย่างที่กองรวมอยู่ตรงนั้นถูกโฮคิยัดใส่กระเป๋าเรียบร้อยจนกระเป๋ามันตุงออกเล็กน้อย
โฮคิหันหน้ากลับมาในขณะที่ใบหน้าของเขาประดับเพียงความเรียบนิ่งเท่านั้น แต่เขาก็ยังทำให้ฉันตัวสั่นด้วยความขวยเขินอย่างที่เคยเป็นตลอด และยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาหยิบเสื้อชั้นในของฉันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้น เลือดในกายยิ่งฉีดพล่านอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไป” พูดเพียงแค่นั้นก่อนเดินออกจากบ้านไปในขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาหิ้วกระเป๋าของฉันเอาไว้ ทั้งๆ ที่มันดูหนักมาก แต่กลับไม่มีสีหน้าท่าทางว่าหนักเลย ถือมันราวกับถือกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง
“ปะ...ไปไหน?” ฉันถามอย่างงุนงง จนโฮคิต้องหันขวับกลับมามองฉันด้วยแววตาเหนื่อยหน่ายซึ่งทำให้ฉันยิ่งงุนงงกว่าเดิม
“บ้าน”
“บ้านที่ไหน? ฉันไม่มีที่อยู่แล้วนะ...”ฉันพูดเสียงสั่น โฮคิถอนหายใจก่อนจะเอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“บ้านฉัน”
พูดจบ โฮคิก็เดินออกไปโดยไม่หันหน้ากลับมามองฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่อ้าปาก เบิกตาด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน สายลมเย็นๆ ที่พัดไหวมาเข้ามาวินาทีนี้ไม่ได้หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น เพราะในตอนนี้ร่างกายของฉันมันร้อนรุ่มราวกับภายในคือเปลวไฟ
ไปบ้านเขาอย่างนั้นเหรอ…
พระเจ้าคะ ช่วยบอกลูกทีว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้คือคำพูดของคนที่ลูกชอบจริงๆ เรื่องในวันนี้มันเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่...ทำไมในใจของลูกถึงมีความรู้สึกที่ทั้งดีใจและเสียใจปะปนกันหมดแบบนี้
อะ...
ฉันต้องดึงสติกลับมาอีกครั้งเมื่อร่างสูงซึ่งเดินไกลออกไปประมาณสิบเมตรหันกลับมามองฉัน ฉันมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยแต่ก็รีบเดินตามเขาไป
อ๊ะ! จริงสิ...
ฉันชะงักเท้า ย้อนกลับเข้าไปในบ้านเมื่อนึกถึงของสำคัญ ซึ่งตอนนี้โล่งแทบไม่มีอะไร เพราะปกติในห้องของฉันก็แทบไม่มีอะไรอยู่แล้วนอกจากเสื้อผ้า ทว่า...
ฉันเดินไปหยุดอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า ซึ่งเป็นของที่ติดบ้านนี้อยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าไอ้แก่นั่นไม่ได้สังเกตว่าบริเวณหลังตู้มีบางอยู่ ฉันเก็บมันเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครเข้ามาเจอ มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้
ฉันดึงเก้าอี้จากโต๊ะเครื่องแป้งมาตั้งใกล้ๆ ก่อนจะเหยียบแล้วเขย่งปลายเท้า เอื้อมมือหยิบของสำคัญที่ฉันเก็บไว้หลังตู้ แล้วไม่นานนักฉันก็ต้องฉีกยิ้มเมื่อมือสัมผัสได้ถึงความลื่นของวัตถุนั้น
มันคือเงินสดจำนวน สี่หมื่น ที่ฉันเก็บใส่กระเป๋าผ้าใบเล็กเอาไว้ยังไงล่ะ...
นี่เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่แม่ยกให้ฉัน ฉันเลือกที่จะไม่ใช้มัน เพราะแม่เคยบอกฉันว่าเอาไว้ใช้ยามจำเป็นจริงๆ เพราะตอนนี้ฉันก็ยังพอมีเงินติดตัวจากการทำงานพาร์ทไทม์ ช่วงแรกๆ ค่าเช่าและค่าน้ำค่าไฟมันไม่แพงฉันเลยเอาเงินจากการทำงานของตนเองจ่ายได้ ทว่า ณ ปัจจุบันทุกๆ อย่างมันราคาสูงขึ้น เงินที่มีอยู่เลยไม่พอจ่าย แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ใช้เงินของแม่...
รู้ไหมเพราะอะไร...
เพราะถ้าฉันไม่ใกล้ตายจริงๆ...ฉันจะไม่แตะเงินของแม่น่ะ
ฉันรีบยัดกระเป๋าเงินรวมถึงรูปของแม่ใส่กระเป๋านักเรียน จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วเมื่อนึกถึงโฮคิ ซึ่งพอออกมานอกบ้านก็เห็นว่าเขายืนพิงกับเสาไฟฟ้าด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่ฉันมั่นใจว่าเขาคงจะอารมณ์เสียนิดๆ ฉันเลยรีบเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้กับเขาซึ่งส่งสายตาเรียบนิ่งมาให้
“ขอบคุณมากๆ นะโฮคิ” ตัดบรรยากาศเงียบๆ นี่ด้วยคำขอบคุณที่ฉันใช้มันประจำเวลาอยู่กับเขา โฮคิไม่ได้ตอบกลับมา เขาเดินนำหน้าไป ฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินตามเขาเงียบๆ มองแผ่นหลังกว้างด้วยความหลงใหล จะว่าอะไรไหมถ้าหากฉันจะบอกว่าแผ่นหลังของเขากว้างน่าซบเหลือเกิน อา...บ้าจริง ฉันกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ฉันสะบัดหัวไปมา ยกมือทึ้งศีรษะตัวเองเบาๆ จนโฮคิต้องหันกลับมามองอีกครั้ง ฉันจึงดึงมือลงแนบลำตัวแล้วส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง
“ถือให้หน่อย”
ทว่าโฮคิต้องทำให้ฉันแปลกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆ เขาก็ยื่นสเก็ตบอร์ดของตนมาตรงหน้า ฉันไม่ได้ถามอะไรมาก ถึงแม้จะมีคำถามมากมายในตอนนี้ แต่ฉันก็รับสเก็ตบอร์ดของเขามามาถือไว้ หลังจากนั้นโฮคิก็เปลี่ยนมือข้างที่เคยถือกระเป๋ามาไว้อีกข้างหนึ่ง มือที่ยังว่างล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วเดินนำหน้าไปอีกครั้ง
ดูๆ แล้ว โฮคิก็เป็นคนสูบบุหรี่จัดเหมือนกันนะ ในวันหนึ่งๆ ฉันเห็นเขาสูบบ่อยมาก แบบนั้นร่างกายเขาจะไม่ย่ำแย่เหรอ
ได้แต่คิดและมองเขาเงียบๆ