“ไอ้สินธุ์ไปยืนทำอะไรนอกบ้านวะ เข้ามาซิวะ”
เสียงหนาเอ่ยทักทายผู้เป็นเพื่อนอย่างเป็นกันเองเพื่อต้อนรับ พร้อมกับเชื้อเชิญให้เดินเข้ามาภายในบ้านพักของเขา
ภากรมักทำแบบนี้เสมอกับคนที่รู้จักสนิทสนมด้วย โดยไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองเป็นมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่และโหดเหี้ยมอะไรเลยแม้แต่น้อย
เขาแทบจะไม่เหลือคราบความยิ่งใหญ่นั้นเลย มีแต่เพียงรอยยิ้มดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทแสดงออกมา
“ทำไมต้องนัดกูมาที่นี่ด้วย”
แต่คนถูกทักทายอย่างชลธรกลับไม่ได้รู้สึกยินดีหรือดีใจอะไรมากนัก ใบหน้าเขาบึ้งตึงราวกับจะมาเพื่อพังบ้านของภากรให้มันรู้แล้วรู้รอดไปมากกว่า
เพราะเขานั้นไม่ชอบการนัดมาพบเจอกันแบบนี้ เขาไม่ชอบมีธุระกับใครหน้าไหนทั้งนั้นแม้แต่คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างภากรก็ตาม
มันก็จริงอยู่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องมีการนัดมาพบปะกันบ้างตามประสา แต่ข้อนี้เขาไม่ชอบและไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
เขาไม่ใช่สัตว์สังคม แต่เขาชอบเป็นเสือที่อยู่ท่ามกลางลูกสมุนและออกล่าอย่างโดดเดี่ยวเพื่อเอาเหยื่อมากินเสียมากกว่า
ใครอยากติดต่อเขาให้วิทยุเข้าไปที่เกาะส่วนตัวของเขาหรือไม่ก็ส่งข้อความไปก็ดูจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องอยากเห็นหน้าเขาเพราะเขาไม่ชอบ
นี่ถ้าภากรไม่บอกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายเขาไม่มีทางมาเหยียบที่บ้านของมันเป็นอันขาด และอีกอย่างเขาได้ข่าวไม่ดีมาเลยนึกห่วงจึงจำเป็นที่จะต้องมาอย่างคนเสียอารมณ์
“กูอยากจะเจอเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง”
ภากรยังคงต้อนรับขับสู้เพื่อนรักของเขาเป็นอย่างดี ด้วยความเข้าใจที่ว่าเพื่อนคนนี้ไม่ชอบการเข้าสังคมเป็นอย่างมาก
เขาพาเดินเข้าบ้านมาอย่างใจเย็นทั้งทีปกติเป็นคนนิสัยใจร้อนอย่างที่มาเฟียเขาเป็นๆ กัน แต่เพื่อนอารมณ์ร้อนกว่าเขาก็จำต้องอารมณ์เย็นลง
อีกไม่นานชลธรก็จะหายอาการไม่พอใจไปเองเขาเชื่อแบบนั้น หรือถ้าไม่หายก็ช่างหัวมันเถอะ เพราะยังไงเขาก็ต้องคุยกับมันอยู่ดี
“กูไม่ชอบที่นี่”
ชลธรก้าวขาเดินอย่างเชื่องช้าบนความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้หันหลังกลับไปเพราะเขาตัดสินใจมาที่นี่เองก็ต้องทนอยู่จนกว่าการพูดคุยจะจบลง
เขาไม่เคยสนใจเรื่องคอขาดบาดตายอะไรของใครทั้งนั้น เพราะใครจะตายก็ตายไปจะได้ไม่ต้องมาอยู่แย่งอากาศหายใจบนโลกนี้กับเขา
แต่กับภากรเขาจำต้องสนใจสักเล็กน้อยด้วยภากรเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากกันมานานแสนนาน
ทั้งคอยช่วยเหลือและสนับสนุน คอยสั่งคอยสอนด้วยความเป็นรุ่นพี่ จนกระทั่งเขามีวันนี้ได้
ถึงเขาจะไม่ได้เป็นมาเฟียเหมือนอย่างภากร แต่เขาก็เป็นถึงเจ้าของเกาะที่มีลูกน้องให้ต้องดูแลนับร้อยๆ ชีวิต และกิจการหลายอย่างบนเกาะที่มีมูลค่านับไม่ถ้วนอีกด้วย
“เข้าไปคุยกันข้างใน กูมีเรื่องสำคัญ”
ภากรพาแขกของเขาเดินทอดน่องชมบ้านได้ไม่นานก็รีบพาแขกนั้นเข้าไปในห้องทำงานในทันที
ด้วยลูกสาวเพียงคนเดียวของเขานั้นเดินทางกลับเข้าบ้านมาพอดี เขาไม่อยากให้เธอเห็นว่าใครมาหาเขาในวันนี้
อยากให้ทุกอย่างในวันนี้เป็นความลับกับเธอ รวมไปถึงเรื่องที่เขาจะคุยกับชลธรด้วยก็เพื่อตัวเธอเอง
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา”
ชลธรยอมทำตัวมีความลับไปกับภากรด้วยก็ไม่อยากจะเจอใครเพิ่มโดยเฉพาะหญิงสาวที่ลงจากรถมา
เธอคนนั้นคงเป็นลูกสาวของภากร เด็กสาวที่เขาไม่ค่อยอยากเจอหน้าเท่าไหร่
เพราะเมื่อสิบห้าปีก่อนที่เขามางานวันเกิดครบห้าขวบของเธอ การเจอกันครั้งแรกทุกอย่างไม่สวยหรูสักเท่าไหร่
เด็กหญิงห้าขวบคนนั้น ในงานวันเกิดที่ถูกจัดขึ้นราวกับงานของเจ้าหญิง ใช้ปืนบีบีกันยิงเข้าที่ใบหน้าของเขา
เขาที่ไม่ทันระวังตัวโดนกระสุนของปืนบีบีกันนั้นอัดเข้าใบหน้าไปเต็ม ทำให้ขายขี้หน้าคนทั้งงานไม่น้อย
การหลีกเลี่ยงไม่เจอกันอีกน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เขาจะได้ไม่ต้องนึกถึงวันที่ต้องอายนั้นอีก
“ช่วยลักพาตัวลูกสาวกูไปที”
เมื่อเข้ามายังห้องทำงานของเขาแล้ว ภากรก็จัดการปิดล็อกห้องเป็นอย่างดีในทันที
แล้วเขาก็เอ่ยเรื่องที่อยากจะให้นายหัวชลธรช่วยเหลือเขาออกมาอย่างไม่มีปิดบังเลยแม้แต่นิด
“สมองมึงคงไม่มีแล้วซินะ ถึงได้พูดออกมาแบบนี้”
ชลธรฟังคำพูดของผู้เป็นเพื่อนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นพี่เขาด้วยจนจบก็โวยวายออกมาเสียงดัง
เพราะคำพูดของภากรมันส่อถึงความไม่ได้คิดเลยที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมา
คนที่มันกำลังพูดถึงคือลูกสาวอันเป็นที่รักของมันเลยนะ แล้วจะมาให้เขาพาไปจากอกมันได้ยังไงกัน
“มึงก็รู้ว่ากูกำลังถูกตามล่า กูจะปล่อยให้ลูกสาวเป็นอะไรไปไม่ได้”
ภากรถอนหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้งเพื่อระบายความหนักอกหนักใจออกไปบ้างก่อนจะพูดอะไรต่อ
เขาไม่ได้ไม่มีสมองที่จะคิดอะไรแบบนั้น แต่เขาคิดมาดีแล้วตั้งหาก
ด้วยถ้าไม่ให้ลูกสาวออกไปให้ไกลจากตัวเขา นับทรายต้องโดนลูกหลงจากการที่เขากำลังมีปัญหาทางธุรกิจของมาเฟียอยู่แน่ๆ
เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ถึงจะสอนเธอให้เป็นมาเฟียตามที่เขาเป็นมาโดยตลอดก็ตาม
เพราะยังไงเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักๆ และเขาในฐานะพ่อก็อยากให้เธอปลอดภัย
“เดี๋ยวกูส่งคนมาช่วย”
ชลธรรู้ดีว่าเพื่อนของเขานั้นกำลังจะถูกโค่นโดยมาเฟียที่ใหญ่กว่า เพราะเรื่องการค้าที่ไม่ลงรอยกัน
ถึงเขาจะช่วยเพื่อนในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ส่งคนมาปกป้องคุ้มครองภากรและครอบครัวของมันได้
คนของเขามีฝีมือมากพอ ยังไงเสียทุกคนในบ้านนี้ก็ต้องปลอดภัยเป็นอย่างดีแน่นอน
“มึงทำแบบนั้นไม่ได้ ไอ้พวกนั้นมันก็จะไปตามล่ามึงด้วย”
ภากรรู้ดีว่าคนของนายหัวชลธรเก่งด้านการต่อสู้และปกป้องมากแค่ไหน แต่ทว่าเขาดึงเพื่อนมายุ่งในเรื่องนี้ไม่ได้ เขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเขาเองแม้จะต้องตายก็ตาม
เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนหรือสูญเสียอะไรเพราะเขาอีก แค่ที่กำลังสูญเสียลูกน้องรายวันมันก็มากพอแล้ว
“ก็ให้มันมา กูว่างอยู่พอดีเลย”
คนอย่างชลธรไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น พอได้ยินคำพูดของเพื่อนเขาก็ยิ่งฮึกเหิมอย่างจะฆ่าคนขึ้นมาเลย
อยากจะรู้นักว่าไอ้พวกที่มันเรียกตัวเองว่าเก่งนักเก่งหนามันจะแน่แค่ไหนกันเชียวเมื่อเจอลูกกระสุนปืนของเขาเข้าไป
“กูจะให้มึงเดือดร้อนไปกับกูไม่ได้”
ภากรจำต้องห้ามเพื่อนเอาไว้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนไปกับเขาอีก
เขาอยากให้มันจบแค่ตรงนี้ที่เขา จะแพ้ก็ให้เขาแพ้ไป ไม่ต้องให้ใครมาร่วมสู้ด้วย เพราะคนที่เขากำลังต่อกรอยู่ด้วยมันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“แล้วที่มึงให้กูลักพาตัวลูกสาวมึงมันไม่เดือดร้อนว่างั้นเถอะ”
จบเรื่องที่ไม่ให้เขาไปวุ่นวายกับเรื่องธุรกิจมาเฟียของมันไปแล้ว เขาก็ย้อนกลับมาที่เรื่องของลูกสาวมันต่อ
การลักพาตัวผู้หญิงสำหรับเขาที่เรียกได้ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยแม้แต่นิด
แต่ว่าลูกสาวของภากรเธอไม่ใช่ผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอมีเลือดมาเฟียอยู่เต็มตัว และเธอคงไม่ได้ยอมง่ายๆ
ไม่ใช่แค่เอาปืนจ่อหัวแล้วจะกลัว เพราะเธอถูกสอนมาให้สู้ยิบตาจนกว่าจะตาย หรือฆ่าเขาให้ตายเพื่อให้ตัวเธอนั้นรอดไป
เขาไม่ได้กลัวตายอะไรหรอก แต่กลัวจะปวดหัวเพราะลูกสาวของเขาที่ดูจะฤทธิ์เยอะไม่จบไม่สิ้นนั้นนะซิ
“ทีแรกกูก็กะจะส่งลูกสาวกูไปพักร้อนที่เกาะของมึงสักระยะ แต่ว่าน้องทรายเขารู้เรื่องของกูทุกอย่าง คงไม่ยอมแน่ๆ ที่จะไปพักร้อน”
ภากรวางแผนเอาไว้แล้วสำหรับเรื่องที่จะให้ลูกสาวของเขาไปอยู่บนเกาะกับนายหัวชลธรสักระยะระหว่างรอให้ปัญหาของเขามันจบลง
แต่ทว่าเธอคงไม่ยอมไปง่ายๆ แน่นอน เพราะเธอรู้เรื่องปัญหาที่เขากำลังมีทั้งหมดด้วยเธอนั้นช่วยเขาบริหารธุรกิจมืดอยู่
เขาก็เลยจำต้องคิดแผนที่ดูจะไม่ได้ใช้สมองคิดนั้นออกมา เพราะแผนแรกมันดูท่าจะล่มตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มที่จะพูดแล้ว