ผู้ใหญ่สนองเห็นลูกสาวปั่นจักรยานใบหน้าตึงเข้ามาจอดก็อดนึกสงสัยไม่ได้ ก่อนออกไปยิ้มหน้าบาน แต่ขากลับทำไมทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนี้กันล่ะลูกอ้วนของผู้ใหญ่สนอง ไม่สิ ไม่อ้วนสิ บุญป่วงจ้ำม่ำต่างหาก
“หน้าตึงแบบนี้ใครทำอะไรให้ล่ะจ้ำม่ำ”
“ไม่ขำนะพ่อสนอง ป่วงอารมณ์ไม่ดี” เอาขาตั้งจักรยานลงแล้วเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจจะตอบคำถามของพ่อที่นั่งอุ้มไก่ชนอยู่หน้าบ้าน
“ไอ้จ้ำม่ำเป็นอะไร หรือว่าไปเจออะไรขัดใจให้วะ” บ่นให้ลูกสาวที่ใส่อารมณ์ใส่ แล้วหันมาพูดจ๊ะจ๋ากับไอ้ชนะลูกรักต่อ “พี่เขาอารมณ์ไม่ดีเราอย่าไปสนใจเขาเลยลูก”
ด้านบุญป่วงเดินเข้ามาใต้ถุนบ้านเลยไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ของบ้านเพื่อรายงานผลให้กับผู้เป็นแม่ วันนี้แม่ของหล่อนขายผักหมดไวจึงกลับมาทำอาหารเย็นไวกว่าทุกวัน ก็ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเย็นเอง
“แม่จ๋า ป่วงไปบอกให้แล้วนะจ๊ะ เดี๋ยวคุณหมอก็ตามมาจ้ะแม่ หมดธุระแล้วหนูขอไปค้างบ้านไอ้เอมนะจ๊ะแม่ คืนนี้เราจะดูซีรี่ส์ด้วยกัน ไอ้เข้มก็จะมา ยัยนั่นมันกำลังหลงหนุ่ม ๆ อปป้าเลยจ้ะแม่”
“แล้วไม่กินข้าวด้วยกันเหรอลูก”
“ไม่จ้ะ ป่วงจะไปกินกับเพื่อน ๆ พวกนั้นจะพาทำอะไรกินก็ไม่รู้ ป่วงไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะจ๊ะ ขอเอามอเตอร์ไซค์ไปนะแม่”
“อือ! เดี๋ยวจะมืดค่ำรีบไปเถอะ” นางยิ้มให้ลูกอ้วนของตน ก่อนจะหันไปสนใจกับข้าวที่จะทำต่อ เย็นนี้นางทำยำเห็ดฟาง แกงเลียงกุ้งสด น้ำพริกลงเรือ และตอนนี้เหลือแค่ยำเห็ดฟางเท่านั้นที่ยังทำไม่เสร็จ สองเมนูนั้นเสร็จหมดแล้ว
หมอหนุ่มเดินมาถึงบ้านของผู้ใหญ่สนองก็ไหว้สวัสดีเจ้าของบ้านก่อนอันดับแรก หมอหนุ่มยืนยิ้มมองผู้ใหญ่บ้านกำลังร้องเพลงให้ไก่ชนลูกรักฟัง
“มันแข่งกี่ครั้งแล้วครับผู้ใหญ่”
“ก็หลายครั้งแล้วหมอ ไอ้ชนะมันเก่ง ไปตีกับไก่ใครก็ชนะสมชื่อ หาเงินให้ผมได้เยอะเลยแหละหมอ” พูดพลางอุ้มไก่ไปไว้ในสุ่ม แล้วเดินกลับมานั่งแคร่ไม้ไผ่ตัวเดิมที่หมอหนุ่มนั่งด้วยเมื่อกี้
“พ่อ ป่วงไปก่อนนะจ๊ะ” บุญป่วงร้องสั่งพ่อที่นั่งคุยกับหมออยู่หน้าบ้านโดยไม่คิดจะทักเขา แล้วเดินไปติดเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ของตน
“เออ! พรุ่งนี้กลับมากินข้าวเช้าไหมลูก” หันไปถามลูกสาว หมอหนุ่มก็หันไปรอฟังคำตอบด้วย
“ไม่จ้ะ ป่วงจะกลับอีกทีตอนเย็น วันศุกร์ก็ต้องไปกรุงเทพฯ แล้ว ป่วงเลยอยากเล่นกับไอ้เอมไอ้เข้มให้ลืมบ้านหน่อยจ้ะ ไปนะพ่อสนอง”
พูดจบก็ออกตัวเร่งเครื่องรถออกไปทันที โดยไม่คิดจะมองคนนั่งข้างผู้เป็นพ่อ พอคล้อยหลังบุญป่วงไปแล้ว มะเขือก็เลยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่าสาวอ้วนจะไปไหน
“น้องจะไปค้างไหนเหรอพ่อผู้ใหญ่”
“อ้อ! ไปค้างกับเพื่อน ๆ น่ะ เป็นปกติของป่วงมันแหละเวลากลับมาบ้าน”
“แล้วไปกรุงเทพฯ ไปทำอะไรเหรอครับ”
“หมออยากรู้เยอะจังเลยนะครับ แต่ช่างเถอะอยากรู้ก็จะบอก ไอ้ป่วงมันจะเข้าไปทำธุระที่มหา'ลัยน่ะ วันศุกร์เย็น วันเสาร์เห็นบอกว่าอาจารย์ที่คณะนัดไปคุยเรื่องโครงการอะไรของมันนี่แหละ ผมก็ไม่รู้ ไม่ได้เรียนกับมันน่ะนะ”
หมอหนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้และเข้าใจ พอรู้มาบ้างว่าสาวอ้วนเรียนคณะอะไร และเรียนที่ไหน ถ้างั้นแสดงว่าเธอไปวันศุกร์เย็นก็วันเดียวกับที่เขาจะกลับบ้านพอดี จากจะกลับวันเสาร์เช้ากลับตอนเย็นศุกร์เลยดีกว่า จะได้มีเพื่อนนั่งรถเป็นเพื่อนคุยด้วย
“ผมก็ว่าจะกลับบ้านวันศุกร์เย็น ให้น้องนั่งรถไปกับผมก็ได้นะครับผู้ใหญ่”
“คุยกันเอาเองเลย ไปกันเถอะ ป่านนี้แม่จำปีคงเตรียมกับข้าวเสร็จแล้วแหละ”
ผู้ใหญ่สนองเห็นด้วย เพราะไปกับคนรู้จักน่าจะปลอดภัยและสะดวกสบายกว่า แม้จะเพิ่งรู้จักกับหมอหนุ่มได้สองวัน แต่สายตาของผู้ใหญ่บ้านวัย 57 ปีมองคนไม่ผิดแน่ ยังไงมะเขือก็ไม่มีทางล่วงเกินหรือทำอะไรลูกสาวจ้ำม่ำของเขาหรอก
“มาแล้วเหรอคุณหมอ” พอเห็นหมอหนุ่มเดินเข้ามากับสามี จำปีก็เอ่ยทักชายหนุ่มทันที
“ครับแม่จำปี สวัสดีครับ วันนี้ขอฝากท้องไว้อีกวันนะครับ”
“แค่หมอคนเดียวไม่ทำให้แม่จำปีเดือดร้อนหรอกจ้ะ มากินด้วยกันทุกวันก็ได้ ตอนนี้หมอก็เหมือนลูกชายแม่กับพ่อผู้ใหญ่แล้วนะ มาเป็นลูกบ้านดงเย็นก็เหมือนเป็นลูกของแม่และพ่อสนอง” นางพูดเสียงร่าเริงเดินยกถาดอาหารมาจัดโต๊ะ หมอหนุ่มเลยเดินเข้าไปช่วยถือ
“ขอบคุณนะครับที่เอ็นดูผม”
“มาทุกวันก็ได้หมอ บ้านเราก็มีกันสามคนพ่อแม่ลูก มีหมอมาเพิ่มเป็นแขกก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเพื่อนคุยบ้าง อยู่บ้านมีแต่ผู้หญิง โดนรุมตลอดเลย ฮ่า ๆ ๆ"
“ได้ทีเอาใหญ่เลยนะพี่สนอง แหม! เอาเลยจ้ะ มีพวกแล้ว” ผู้เป็นภรรยาอดพูดให้สามีไม่ได้ แต่ก็ไม่จริงจังนัก
"ฮ่า ๆ ๆ"
“เดี๋ยวผมตักข้าวให้ครับ แม่จำปีนั่งเลยครับ วันนี้ลูกชายคนนี้บริการเองครับ” เขาประคองร่างท้วมแม่จำปีไปนั่งลงเก้าอี้ที่ท่านนั่งประจำ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องครัวเพื่อเอาจาน ช้อนส้อมออกมาตักข้าว เป็นอีกมื้อที่บ้านของผู้ใหญ่สนองทานข้าวมีเสียงหัวเราะดังแผ่วแว่วตลอดการทานข้าวในค่ำนี้