เช้าวันที่สองในหมู่บ้านดงเย็น หมอหนุ่มตื่นเช้าเหมือนที่เคยตื่นปกติ ตื่นเช้าอาบน้ำแปรงฟัน แล้วโทรศัพท์หาคุณหญิงแม่ เหมือนทุกครั้งที่เขาทำเป็นประจำก่อนจะออกไปทำงาน และเช้าวันนี้คุณหญิงปวีณาก็พูดเหมือนเดิม ๆ กี่ครั้ง ๆ ก็พูดแต่เรื่องลาออกจากข้าราชการ
“เขือว่าเราคุยเรื่องนี้กันบ่อยแล้วนะครับแม่ปลิว” น้ำเสียงทุ้มโต้กลับคนในสาย
“เพราะคุยบ่อยไงเขือ แม่ถึงอยากได้คำตอบที่แม่ต้องการ” คุณหญิงส่งเสียงอำนาจกรอกกลับมา
“เขือก็ว่าเขือชัดเจนกับจุดยืนของเขือแล้วนะครับแม่ปลิว”
“แต่แม่ไม่ต้องการคำตอบแบบนี้เขือ แม่ต้องการให้เขือลาออกมาช่วยน้องดูแลโรงพยาบาลของเรากับตาฟัก”
“ฟักดูแลไหวครับแม่ปลิว ให้เขือได้ทำหน้าที่ตรงนี้เถอะครับ เขืออยากตอบแทนในหลวงรัชกาลที่ ๙ ให้เขือ...”
“เขือลูก ไม่ว่าจะยังไงลูกก็ได้รับใช้ท่านเหมือนเดิม ลูกเป็นหมอ มาดูแลรักษาคนในโรงพยาบาลเราก็เท่ากับว่าได้ช่วยดูแลประชาชนช่วยท่านแล้ว” นางไม่สนใจจะฟังคำของลูกชายให้จบความ
“ทำไมแม่ปลิวไม่เข้าใจเขือ ที่เขือเลือกเป็นหมอประจำอนามัยเพราะเขืออยากช่วยชาวบ้านตาดำ ๆ ที่เขาไม่มีกำลังเงินพอจะไปหาหมอในโรงพยาบาลที่มีค่าใช้จ่ายสูง ๆ เขือเลือกทำตรงนี้เพื่อบรรเทาทุกข์สุขให้กับชาวบ้านที่เขาเดือดร้อน เขืออยากทำตรงนี้มากกว่าครับ”
“ถ้าเขือยังยืนยันแบบนี้ เขือคิดว่าแม่ไม่กล้า...”
“ตัดแม่ตัดลูก แม่ปลิวพูดแบบนี้ทุกครั้งแหละครับ ไม่เบื่อจะขู่เขือบ้างเหรอครับ”
“ไม่! ครั้งนี้แม่จะให้เขือแต่งงาน และเขือก็ห้ามปฏิเสธ ถ้าเขือจะอยู่ตรงนั้น เขือต้องแต่งงานด้วย และมีหลานให้แม่ เพื่อสืบทอดตระกูล”
“แม่! แล้วฟักล่ะแม่ ทำไมแม่ปลิวไม่ไปบังคับฟัก” อยากจะบ้าตาย ทำไมเขาต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ในเช้าที่สดใสด้วย
“ฟักเป็นคนเอาการเอางาน และที่สำคัญไม่ขัดใจแม่ ฉะนั้นฟักจะแต่งงานตอนไหนก็ได้ ส่วนเราเป็นพี่ที่นอกลู่นอกทางไม่อยากกลับมาช่วยกิจการของครอบครัวก็ควรจะรีบแต่งงานมีทายาทมาช่วยตาฟักบริหารงาน” คุณหญิงปวีณายื่นคำขาด ก่อนจะกดวางสายไป โดยไม่สนใจจะฟังคำคัดค้านของลูกชายคนโตต่อ
“แม่ปลิว...แม่ปลิว....” รู้ว่าเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะท่านได้กดสายของเขาทิ้งไปแล้ว
“ทำไมแม่ปลิวไม่เข้าใจเขือบ้าง ทำไมเขือ...”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นรบกวนเสียก่อนเขาจึงหยุดพึมพำแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูห้องดูว่าใครมาเคาะแต่เช้า
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ครับผม มาแล้วครับ” ขานรับพร้อมกับถอดกลอนเปิดประตูห้อง
“แม่ให้ป่วงมาตามคุณหมอไปกินข้าวเช้าด้วยกันจ้ะ” พอประตูห้องเปิดออกเธอก็รีบบอกสิ่งที่ได้รับความมาทันที
“ครับ เดี๋ยวพี่เขือตามไป” เขาอยากสนิทกับหญิงอ้วนตรงหน้า ไม่รู้ทำไมถึงอยากสนิทกับหล่อน
“จ้ะ” บุญป่วงตอบสั้น ๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยความเขินอาย ใบหน้าคล้ำแดงปื้นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่เสียดายหมอหนุ่มไม่มีโอกาสได้เห็นมัน เพราะหล่อนเดินบิดตัวตุ้ยนุ้ยออกมาไกลสายตาแล้ว
มะเขือยิ้มกริ่มมองแผ่นหลังหนาของบุญป่วงจนลับสายตา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อไปเอาโทรศัพท์ที่วางไว้เมื่อกี้มายัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง พอมาถึงชั้นล่าง เขาก็เจอบุญป่วง แม่จำปี ผู้ใหญ่สนองกำลังช่วยกันเตรียมอาหารเช้าขึ้นโต๊ะทานข้าว ภาพของสามคนพ่อแม่ลูกทำให้เขาอดยิ้มตามอย่างมีความสุขไม่ได้ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน เป็นเพียงครอบครัวเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แบบนี้สิถึงเรียกว่าครอบครัวที่แท้จริง
“เอ้า! คุณหมอมาแล้วเหรอจ๊ะ” แม่จำปีทักทันทีเมื่อเห็นหมอหนุ่มเดินมาถึงโต๊ะทานข้าวเล็ก ๆ ของบ้านตน
“ครับแม่จำปี ให้เขือช่วยนะครับ” หมอหนุ่มรีบเดินไปยื่นมือรอรับถ้วยแกงในมือของแม่จำปี
“คุณหมอน่ารักจังเลยนะจ๊ะ เหมือนแม่จำปีมีลูกชายอีกคนเลย เอาจ้ะ!" แล้วนางก็ส่งยื่นถ้วยแกงเขียวหวานเนื้อให้ชายหนุ่มถือไปวางบนโต๊ะ ก่อนตัวนางจะเดินกลับไปยังครัวเพื่อมาเอาจานข้าวช่วยลูกสาวในครัว
“ผู้ใหญ่นั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมช่วยแม่จำปีกับน้องเองครับ”
คำพูดเรียกสนิทสนมของหมอหนุ่มทำให้ผู้ใหญ่สนองขมวดคิ้วย่นชนกันอย่างขบคิด ก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกคุณหมอ มานั่งด้วยกัน เดี๋ยวแม่จำปีกับป่วงทำกันเองได้ ว่าแต่หมอเป็นคนไม่ถือตัวเลยนะครับ”
ผู้ใหญ่สนองเอ่ยพลางมองสังเกตสีหน้าแววตาท่าทางของอีกฝ่าย และก็ไม่มีอะไรให้เขาได้เห็นเป็นพิรุธ นอกจากยิ้มละมุนและใบหน้าหล่อเหล่าของอีกฝ่ายที่ส่งแย้มยิ้มมาให้
“ถือตัวแล้วหนักน่ะครับ ปล่อยสบาย ๆ ดีกว่าครับ อีกอย่างผมมาอาศัยบ้านผู้ใหญ่ด้วย ผมจะนิ่งเฉยได้ยังไงครับ ช่วยหยิบจับอะไรได้ผมก็อยากช่วยครับ”
มะเขือพูดเสียงใสสุภาพนุ่ม แล้วช่วยรับจานในมือของแม่จำปีมาถือไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อตักข้าวช่วยบุญป่วง ภาพของหมอหนุ่มที่ยืนเคียงข้างลูกสาวทำให้แม่จำปีกับผู้ใหญ่สนองมองแล้วหันมาสบตากัน ทั้งสองคงไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้กำลังทำตัวเหมือนสามีภรรยาที่กำลังช่วยกันตักข้าวให้พ่อกับแม่ที่มาเยี่ยมบ้านไม่มีผิด
“ของผู้ใหญ่ครับ” หมอหนุ่มส่งจานข้าวที่บุญป่วงตักส่งให้ยื่นไปให้พ่อผู้ใหญ่ ตามด้วยจานของแม่จำปี และของเขาเอง ก่อนเขาจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ลุกมา และไม่ลืมหยิบช้อนส้อมใส่จานติดมาด้วย
“หวังว่ากับข้าวจะถูกปากนะจ๊ะคุณหมอ” แม่จำปีเอ่ย
“ถูกปากมาก ๆ ครับ ผมชอบเลยแกงเขียวหวาน และผัดถั่วงอกหมูกรอบ”
เขาตักแกงเขียวหวานและผัดถั่วงอกหมูกรอบใส่จานข้าว แล้วตักเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ผู้ใหญ่กับภรรยาเห็นเป็นแบบนั้นก็พากันยิ้มแล้วเริ่มลงมือทานบ้าง ส่วนบุญป่วงก็ได้แต่หันไปเบะปากให้กับความประจบของหมอหนุ่ม ก่อนจะเริ่มทานข้าวบ้าง วันนี้แม่ของเธอทำน้ำพริกปลาทู แกงเขียวหวานเนื้อ ผัดถั่วงอกหมูกรอบ และตามด้วยไข่เจียว
“ทานเยอะ ๆ นะจ๊ะคุณหมอ”
“ครับแม่จำปี แม่จำปีกับผู้ใหญ่ก็ทานเยอะ ๆ นะครับ น้องด้วยนะ”
พูดพร้อมกับตักแกงเขียวหวานให้สามคนพ่อลูกด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข แล้วภาพของครอบครัวเขาก็ซ้อนทับเข้ามา เขาคิดถึงคุณหญิงแม่ที่กรุงเทพฯ แม้ว่าเมื่อเช้าจะพูดไม่เข้าใจกัน แต่เขาก็ยังคงคิดถึงท่าน เห็นทีวันเสาร์นี้ต้องไปกรุงเทพฯ เสียแล้วสิ
“คุณหมอ วันนี้ไฟกับน้ำน่าจะเรียบร้อยแล้วนะครับ” พ่อผู้ใหญ่บอกขณะทานข้าวกันอยู่
“ขอบคุณครับพ่อผู้ใหญ่ ผมจะได้เอากระเป๋าไปไว้ที่อนามัยด้วยเลย เลิกงานจะได้กลับที่พักเลยครับ ขอบคุณมาก ๆ นะครับสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นในครั้งนี้” เขาวางช้อนส้อมในมือลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพ่อผู้ใหญ่กับภรรยาโดยไม่ลืมหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้สาวอ้วนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตน
“ทางเรายินดีครับ พวกเราต่างหากต้องขอบคุณหมอที่มาช่วยเป็นหมอประจำอนามัยให้หมู่บ้านเรา ซึ่งใครที่ย้ายมาส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่ถึงเดือน เพราะทนความทุรกันดารของหมู่บ้านเราไม่ไหว ผมก็หวังว่าหมอเขือจะอยู่กับพวกเรานาน ๆ นะครับ” ผู้ใหญ่สนองพูดถึงหมอที่ย้ายมาประจำที่สถานีอนามัยของหมู่บ้านแทบจะเดือนละสองคน ไม่มีใครทนอยู่หมู่บ้านที่กันดารและบ้านนอกแบบดงเย็นได้ เข้ามาก็ลึก แถมถนนหนทางก็ไม่ดี จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก
“อันนี้ก็ต้องคอยดูกันต่อไปครับว่าผมจะอยู่ได้กี่เดือน กี่ปี หรืออาจจะตลอดไปก็ได้ ใครจะไปรู้ครับ” หมอหนุ่มตอบยิ้ม ๆ
“แหม! คุณหมอผิวขาวเนียนผู้ดีแบบนี้ แม่จำปีกลัวแต่ว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงเดือนน่ะสิจ๊ะ” แม่จำปีเอ่ย เมื่อสังเกตผิวพรรณของหมอหนุ่ม
มะเขือขำในลำคอไม่โต้ตอบ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่กับภรรยาใช้อะไรวัดความอดทนของเขา แต่ที่แน่ ๆ หนึ่งในโต๊ะทานข้าวเอาแต่กินข้าวไม่สนใจจะโต้ตอบหรือพูดคุยอะไรเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบุญป่วงถึงมีร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ราวกับเด็กสมบูรณ์แบบนี้