บทที่ 10
มูเตลู
วันนี้ฉันตื่นเช้ากว่าปกติเพราะมีนัดกับพี่นัทที่เขาบอกว่าจะพาฉันไปมู ทุกเช้านอกเหนือจากวันที่ต้องทำงานฉันมักจะตื่นประมาณสิบหรือสิบเอ็ดโมงแต่วันนี้กลับเจอฉันหน้าโต๊ะอาหารตั้งแต่แปดโมงเช้า หากฉันอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่และน้องสาวต้องเอ่ยปากแซวไม่หยุดแน่
ฉันจัดการกับร่างกายของตัวเองเรียบร้อยและไม่นานก็ถึงเวลานัดหมายซึ่งพี่นัทมารอฉันอยู่ด้านล่างคอนโดฯ ตรงเวลาเป๊ะ ฉันจึงรีบออกไปหาเขาที่ตอนนี้ยืนพิงรถยนต์คันหรูทั้งยังสวมแว่นตาสีดำที่ดูแล้วมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันเทคะแนนให้กับพี่นัทคนเดียว เพราะคนอื่นแทบจะไม่มีคะแนนหรืออาจจะติดลบเลยก็ว่าได้
พี่นัทขับเคลื่อนรถยนต์ไปตามทางซึ่งระหว่างนั้นบทสนทนาของฉันกับพี่นัทก็ยังคงคลอเคล้ากันอยู่ตลอด ส่วนเรื่องที่คุยกันก็คงไม่พ้นเรื่องมู ๆ พวกนี้นั่นแหละ ซึ่งพี่นัทไม่ได้มีท่าทางเบื่อหน่ายเลยสักนิด กลับกันเขายังดูสนใจจนฉันแทบไม่อยากเชื่อ
ใช้เวลาบนท้องถนนประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงจุดหมาย ไม่รอช้าฉันกับพี่นัทก็เข้ามาด้านในและเลือกซื้อดอกไม้และของบูชาทันที
“สองชุดค่ะ” ฉันเอ่ยบอกกับคนขายก่อนจะหยิบดอกไม้มาสองชุดพร้อมกับใส่เงินในตู้ไม้ที่ตั้งวางอยู่ตรงหน้า “นี่ค่ะพี่นัท”
“แล้วต้องทำยังไงต่อครับ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้เลยน่ะ” พี่นัทมองดอกไม้ในมือ ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากจุดไหนเพราะมีองค์เทพหลายองค์ทั้งผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปไหว้แต่ละมุมจนจับจุดไม่ถูก
“ตามวามาค่ะ เดี๋ยววาพาไปเอง” ฉันบอกยิ้ม ๆ และเดินตรงไปยัง*องค์พระพิฆเนศองค์ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
“ทำไมเราถึงไม่ไหว้องค์ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ก่อนล่ะครับ”
“เวลาจะไหว้หรือทำพิธีอะไรต้องไหว้องค์พระพิฆเนศก่อนค่ะพี่นัท”
ฉันอธิบายออกไปแค่นั้นก่อนจะเดินไปจุดธูปทำให้พี่นัทเองก็เดินตามมาติด ๆ เขามองตามฉันด้วยความสงสัยแต่ก็ยอมทำตามเงียบ ๆ พอถึงตอนที่กำลังกล่าวบทสวดคนตัวโตก็ทำอย่างตั้งอกตั้งใจจนฉันอดที่จะขำไม่ได้
พอไหว้องค์พระพิฆเนศเสร็จเรียบร้อยฉันก็เดินไปที่องค์หนูซึ่งความตามเชื่อว่ากันว่าหนูเป็นสัตว์บริวารขององค์พระพิฆเนศ
“พอเราไหว้องค์พระพิฆเนศเสร็จก็จะมาขอพรกับหนูค่ะ พี่นัททำตามวานะ” ฉันเอ่ยก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหนูสีทองก่อนจะโน้มตัวลงและเอ่ยคำขอพรข้างหูของรูปปั้นส่วนมือก็ปิดหูอีกข้างไว้เพื่อให้คำขอเป็นดั่งใจหวัง
อันนี้คือต้องบอกก่อนว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะ ฉันเองก็นับถือพุทธและยังนับถือสายพราหมณ์ด้วยเช่นกัน ส่วนมากก็จะขอพรให้ชีวิตราบรื่นและปราศจากอันตรายใด ๆ ทั้งปวง
อ้อ! แล้วก็มี**องค์พระตรีมูรติด้วยที่ฉันมักจะไปไหว้ขอพรในเรื่องความรักจากพระองค์ท่าน ถึงจะเห็นว่าฉันเป็นคนไม่ค่อยแคร์ใครหรือเป็นคนที่ไม่เปิดใจให้ใครแต่ฉันเองก็อยากมีความรักดี ๆ เหมือนกัน
แต่คิด ๆ ดูแล้วไม่รู้ว่าตอนนี้พี่นัทจะโอเครึเปล่า เขาจะรำคาญหรือคิดว่าฉันเป็นคนงมงายรึเปล่านะ
แต่ไม่ใช่...
ฉันหันไปมองคนข้างกายที่ตอนนี้กำลังหลับตาราวกับว่าตั้งจิตอธิษฐานอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ยกมือไหว้เหนือหัวและลืมตาขึ้นมองหน้าฉัน
“ที่นี่เขาจัดการเป็นระเบียบมากเลยนะวา ถึงว่าสิเพื่อนพี่ถึงชอบมาที่นี่ เห็นว่าด้านนอกมีโซนให้บูชากลับบ้านด้วย เราไปดูกันไหมพี่เองก็อยากได้สักองค์เหมือนกัน”
อย่างที่เห็น พี่นัทดูท่าทางจะสนใจจริง ๆ แบบไม่จกตาเลยล่ะ
ครืด...ครืด...
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นทำให้ฉันหยิบมันออกมาซึ่งหน้าจอก็ขึ้นโชว์ว่าเป็นเบอร์ของ ‘จ๋า’ เพื่อนสนิทของฉัน
“พี่นัทคะ วาขอไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ รอตรงนี้ก่อนน้า”
“ได้ครับ” พี่นัทยิ้มบาง ๆ ตอบรับซึ่งทำให้ฉันเดินออกมาจากตรงไหนเพื่อรับสายของเพื่อนสนิทที่โทรเข้ามา
จะว่าไปฉันก็ไม่ได้คุยกับจ๋ามาหลายวันแล้วนะ คือพวกฉันยังคบหากันอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะแยกย้ายกันไปแต่ก็ยังติดต่อกับกลุ่มเพื่อนอยู่ตลอดน่ะ
“ว่าไงจ๊ะแม่สาวออแกไนซ์” ทันทีที่ฉันกดรับสายก็ไม่วายที่จะอดแซวเพื่อนตัวดีไม่ได้
(แหม เสียงมึงนี่นะน่าหมั่นไส้สุด ๆ)
“ตอนนี้วาคนสวยงดพูดคำหยาบนะคะ เพราะกำลังอิ่มบุญอยู่ค่ะ”
(นี่มึงอยู่วัดเหรอ ไปกับใครอะ)
“พี่นัท” ฉันบอกออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง ซึ่งเพื่อนของฉันก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ฉันกำลังคุยกับใครอยู่
(โอ้ว พ่อหนุ่มคนนี้สงสัยได้พิชิตใจมึงแน่ ๆ เลยอะ คะแนนนำโด่งสุด)
“แล้วที่โทรมามีอะไรเนี่ย คงไม่ได้โทรมาถามว่ากูอยู่ไหนแค่นั้นใช่ไหม” ฉันถามเข้าประเด็นเพราะรู้ว่าจ๋าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ หากไม่เร่งด่วนก็มักจะส่งข้อความกลุ่มมาแต่นี่ถึงขั้นโทรมาก็คงหางานให้ฉันอีกแน่
(เพื่อนรัก เพื่อนรักของจ๋า มึงรู้ไหมว่ามึงเป็นคนที่สวยมาก มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกูมากนะวา)
“มึงเข้าประเด็นมาเลย อย่ามาอ้อมค้อม” ฉันกลอกตาไปมาอย่างรู้ทัน พอเปิดด้วยคำชมแบบนี้ก็ทำให้รู้ทันทีว่ายัยจ๋าจะต้องให้ฉันทำอะไรอีกเป็นแน่
(คืองี้มึง มึงรู้จักไฮโซเพชรใช่ไหมที่เป็นลูกเจ้าของกิจการอสังหาฯ อะ คือเขามาจ้างงานบริษัทกูให้งานจัดวันเกิดให้ในธีมหมอดู แล้วทีนี้...)
“ไม่ กูไม่ทำ” ฉันตอบปฏิเสธไปในทันทีทั้งที่จ๋ายังพูดไม่จบ แต่ฉันก็รู้ว่ายัยจ๋าจะให้ฉันทำอะไร
(โธ่เพื่อนรัก งานนี้มันด่วนจริง ๆ อะมึง แม่หมอแม่งโดนรถชนเลยทำให้มางานไม่ได้ ทีมงานกูก็วุ่นหากันใหญ่เลยเนี่ย กูไร้ที่พึ่งแล้วจริง ๆ มึง ช่วยกูเถอะนะ)
“มึงก็รู้ว่ากูไม่เปิดไพ่ให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า” ฉันถอนหายใจออกมาหนัก ๆ รู้อยู่หรอกว่าเพื่อนกำลังลำบากแต่ฉันก็ต้องเซฟตัวเองเหมือนกัน
เวลาฉันเปิดไพ่แล้วจะรู้สึกอ่อนเพลียน่ะ เหมือนกับว่าใช้พลังงานและจิตสารมากเกินไป และยิ่งไปเปิดไพ่ในงานวันเกิดที่มีคนเยอะอีกด้วย ฉันว่าร่างกายของฉันอาจจะไม่ไหวแล้วเกิดการน็อคก็เป็นได้
(กูเข้าใจมึงเว้ยไอ้วา แต่มึงไม่ต้องห่วง กูแค่ให้มึงมาเป็นตัวประกอบภายในงานเฉย ๆ ที่จริงมีแม่หมออีกหลายคนอะ แต่ไอ้คุณไฮโซเพชรดันอยากได้ให้ครบห้าคน คนในงานเขาก็ทยอยไปดูดวงกับคนอื่นอยู่แล้ว งานนี้มึงไม่เหนื่อยแน่วา)
“กูไม่ใช่ตัวประกอบนะยัยจ๋า!”
(เอ้า คนจะได้ไม่ต้องมารุมดูไพ่กับมึงคนเดียวไง เพราะยังมีหมอดูอีกตั้งหลายคน)
“กูมึงพูดว่ากูเป็นตัวประกอบอะ คนอย่างกูต้องเป็นนางเอกเท่านั้นย่ะ!”
(จ้า แม่นางเอก แล้วสรุปตอบตกลงไหมคะ)
“กู...”
(นะมึงนะ กูมีค่าตัวให้ด้วย เอาชาแนลสักใบไหม หรือจะเป็น...)
“พอ ๆ พอเลยมึง นี่ค่าตัวกูแพงถึงขนาดได้ชาแนลเลยเหรอ”
(เรื่องเงินกูไม่ติดค่ะ ขอแค่มึงตอบตกลงพอ พ่อกูกำลังเพ่งเล็งการทำงานของกูอยู่อะมึง กูเลยไม่อยากทำอะไรให้ผิดพลาด)
“เออ ๆ กูตกลง นี่กูเห็นแก่งานของมึงนะไม่ใช่เพราะกระเป๋ารู้ไว้ด้วย” ฉันเอ่ยออกไปปนเสียงหัวเราะ ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้จะเอาค่าตัวอะไรหรอกถือซะว่าช่วยงานเพื่อนแล้วกัน เพราะตอนนี้จ๋ากำลังทำงานกับที่บ้านน่ะเลยต้องทำผลงานสักหน่อย และฉันเองก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องเดือดร้อนด้วยก็เลยตอบตกลงไป
ฉันพูดคุยกับจ๋าอยู่สักพักก่อนจะวางสายและรีบเดินกลับไปหาพี่นัทที่ตอนนี้กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินให้ต้นไม้
พอได้คุยกับเพื่อนมันก็เลยเพลินจนลืมนึกถึงคนที่รออยู่ที่นี่ แย่จริง ๆ เลยตัวฉัน!
“มาแล้วค่ะพี่นัท วาขอโทษที่ให้รอนะคะพอดีคุยกับจ๋าเพลินน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่รอได้”
“เอ่อ...พี่นัทคะ เรากลับกันเลยได้ไหมคะ คือพอดีว่าวามีธุระสำคัญที่จะต้องไปกับจ๋าน่ะค่ะ มันเป็นธุระด่วนมาก ๆ วาเลยต้องรีบกลับไปเตรียมตัว” ฉันบอกอย่างรู้สึกผิดกับคนตรงหน้าพร้อมกับก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าพี่นัทจะโกรธหรือเปล่าที่อยู่ ๆ ฉันก็ต้องรีบกลับเพราะมีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกน่ะ
“ธุระอะไรเหรอครับ น่าเสียดายจังเย็นนี้พี่ว่าจะพาวาไปทานข้าวสักหน่อย” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงอ่อนแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ทำให้ฉันลำบากใจเท่าไหร่นัก
“เป็นงานของบริษัทจ๋าน่ะค่ะ จ๋าขอให้วาช่วยแล้ววาเองก็ตอบตกลงไปแล้ว วาขอโทษนะคะพี่นัท ไว้วันหลังวาจะเป็นเจ้ามือเองนะคะถือว่าเป็นการไถ่โทษน้า”
“ไม่เป็นไรครับน้องวา อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ไม่ได้โกรธวาเลยนะ พี่เข้าใจครับ”
“ฮือขอบคุณพี่นัทมากนะคะที่เข้าใจวา วาสัญญาค่ะว่าครั้งต่อไปจะไม่ผิดนัดแน่นอน ไว้เราไปดินเนอร์กันนะคะ” ฉันส่งสายตาหวานไปให้กับคนตรงหน้าที่ไม่คิดถือโทษโกรธฉันเลยสักนิด
ต้องแบบนี้สิถึงจะเข้ากับฉันได้ บวกไปอีกสิบแต้มเลยค่ะ!
“ได้ครับ ถ้างั้นนั้นเรารีบกลับกันเถอะ”
ฉันพยักหน้ารับหงึก ๆ และเดินตามคนตัวโตออกไปแต่ทว่ากลับต้องหยุดชะงัก
“เอ๊ะ...” ฉันร้องออกมาเบา ๆ เมื่อรู้สึกว่าตาข้างขวาของตัวเองกระตุกรัว ๆ ซึ่งมันผิดปกติเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่เป็นอาการธรรมชาติของร่างกายน่ะเพราะครั้งนี้มันกระตุกแรงและนานพอสมควรทั้งที่จริงแล้วมันควรเป็นไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“มีอะไรเหรอครับน้องวา”
“ตากระตุกน่ะค่ะพี่นัท กระตุกแรงมากเลยด้วยวาเลยตกใจ”
“จริงเหรอครับ แล้วตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม”
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ แต่คงไม่มีอะไรหรอก เรากลับกันเถอะค่ะ” ฉันสลัดความสงสัยออกไปในทันทีและส่งยิ้มร่าให้กับคนตรงหน้าแทน ถึงแม้ว่าลึก ๆ จะรู้สึกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม
ก็เขาว่ากันว่าขวาร้ายซ้ายดีไม่ใช่เหรอ แล้วตาของฉันมันกระตุกข้างขวานี่สิ แถมยังกระตุกแรงอีกด้วย!
หวังว่าคงจะไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นหรอกนะ...
_____________________________
*องค์พระพิฆเนศ “พระพิฆเนศ” เป็นองค์เทพที่ได้รับการเคารพสูงที่สุดองค์หนึ่งตามคติพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากเชื่อว่าพระพิฆเนศ เป็นเทพเจ้าที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง [ข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์]
**พระตรีมูรติ มีความหมายว่า รูปสาม ซึ่งหมายถึง การรวมมหาเทพทั้ง 3 ที่ได้รับการนับถือ ทั้งศาสนาฮินดู และศาสนาพราหมณ์ คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ทั้งนี้คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า หากบูชา พระตรีมูรติ จะทำให้ประสบความสำเร็จ และความเจริญในชีวิต ทั้งในเรื่องของหน้าที่การงาน การเงิน สุขภาพ โชคลาภ รวมถึงเรื่องโด่งดังอย่าง ‘เรื่องความรัก’ [ข้อมูลจาก ไทยรัฐออนไลน์]