บทที่ 7
พันห้าพี่ว่าไง?
“ทำไมวาถึงพามาร้านนี้ล่ะ พี่นึกว่าวาอยากไปทานร้านอาหารที่โรงแรมพี่ซะอีก ร้านนั้นวิวสวยมากเลยนะวา”
“โรงแรม? ฮึ” ฉันเค้นหัวเราะออกมาพลางเหยียดยิ้มขณะที่สายตาก็จดจ้องมองคนตรงหน้าอย่างนึกสมเพช
ฉันพาพี่คีย์รุ่นพี่ที่รู้จักมาที่ร้านข้าวต้มริมทางแทนที่จะเป็นร้านอาหารสุดหรูซึ่งปฏิกิริยาแรกของพี่คีย์หลังจากเดินลงมาจากรถก็แทบอาเจียนออกมาในทันทีที่เห็นบรรยากาศโดยรอบ
“ไม่วา พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ คือพี่หมายถึงว่าโรงแรมของพี่น่ะมีร้านอาหารมาเปิด แล้วร้านนั้นอาหารอร่อยมาก พี่ว่าวาต้องชอบแน่ ๆ”
“อย่างนั้นเหรอคะ วานึกว่าพี่คีย์จะชวนวาเข้าโรงแรมซะอีก” ฉันเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก พลันเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกขยะแขยงเข้าไปใหญ่
ความจริงแล้วพี่คีย์มารับฉันที่บ้าน เขาบอกว่าอยากพาฉันไปทานข้าวเพราะเห็นว่าฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ฉันก็ดูออกแหละว่าเขากำลังจีบ แต่ท่าทางของเขาทำให้ฉันรู้สึกไม่อยากเฉียดกายเข้าไปใกล้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
สิ่งแรกที่เห็นเลยก็คือกล่องถุงยางอนามัยที่อยู่บนรถของเขา อาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะต้องพกถุงเวลาฉุกเฉิน แต่ฉันรู้ดีว่าหมอนี่ตั้งใจจะเคลมฉันชัด ๆ!
ส่วนอีกอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกยี้ที่สุดก็คือรอยลิปสติกที่คอเสื้อ รวมไปถึงกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงที่ติดเสื้อผ้าของเขา มันทำให้ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่าเขาต้องไปนัวกับผู้หญิงมาก่อนเจอหน้าฉันเป็นแน่
เหอะ!
“ใครจะบ้าทำเรื่องแบบนั้นล่ะวา พี่จริงจังกับวานะ วาเองก็คงดูออกใช่ไหมว่าพี่จีบวาอยู่”
“ค่ะ ดูออกสิคะ” ฉันบอกออกไปตามตรงทั้งที่สายตายังเหยียดมองคนตรงหน้าไม่วางตา
ทำไมจะดูไม่ออกล่ะว่าเขาน่ะอยากได้ฉันจนตัวสั่นไปหมดแล้ว ในตอนแรกฉันก็คิดว่าจะเปิดใจนั่นแหละแต่พอเห็นแบบนี้ก็ต้องขอบายเลยทันที
“แต่ก่อนที่จะจีบวารบกวนพี่คีย์ช่วยลบคราบลิปสติกออกก่อนได้ไหมคะ วาเห็นแล้วก็เชื่อไม่ลงน่ะค่ะว่าพี่คีย์จะจริงจังกับวาอย่างที่พูด”
“วา...!” คราวนี้พี่คีย์ดูตกใจกับคำพูดของฉันเป็นอย่างมากก่อนที่รีบยกมือปิดรอยลิปสติกที่คอเสื้อของตัวเองในทันที
ซึ่งน้ำเสียงที่ฉันเอ่ยออกไปนั้นค่อนข้างดังพอสมควร แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะประจานเขาหรอกนะ ฉันแค่โกรธน่ะเลยทำให้เผลอขึ้นเสียงและพูดออกไปแบบนั้น
โชคดีที่ภายในร้านไม่ได้มีลูกค้าเยอะ ก่อนเดินเข้ามาก็เห็นว่ามีเพียงลูกค้าหนึ่งโต๊ะเท่านั้นเลยทำให้ฉันกล้าที่จะพูดแบบนั้นออกไป
“วาคือพี่...”
“พี่คีย์กลับไปก่อนเถอะนะคะ รู้สึกว่าวันนี้วาจะกินข้าวไม่ลงแล้ว”
“วาฟังพี่ก่อนนะ...”
“อย่ามาแตะต้องตัววานะ!” ฉันรีบตวาดเสียงดังเมื่อคนตรงหน้าถือวิสาสะจับที่มือของฉันเอาไว้ทำให้ฉันต้องรีบสะบัดออกอย่างนึกรังเกียจ
ที่จริงฉันค่อนข้างมีปมน่ะ ฉันเคยถูกทิ้งมาก่อนเลยทำให้ฉันเจ็บปวดและฝังใจจนถึงทุกวันนี้
ฉันไม่ชอบเลยคนที่พูดอย่างลับหลังอย่าง กลับกลอก ปลิ้นปล้อน ถ้าหากจริงใจกับฉันอย่างที่พูดก็คงไม่ทำตัวแบบนี้ให้ฉันรู้สึกแย่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมามันกลายเป็นบทเรียนที่สอนให้ฉันเข้มแข็งขึ้น ฉันเลยไม่คิดจะเรียกร้องหรือตามหาความรักจากใครอีก มีแต่คนอื่นนั่นแหละที่จะต้องมาอ้อนวอนขอความรักจากฉัน!
“โธ่เว้ย! จะอะไรนักหนา หยิ่งแบบนี้พี่ก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอกนะ!” ทว่าพี่คีย์กลับตะคอกกลับมาทำให้ฉันชะงักไปในทันที
ฮึ นี่สินะธาตุแท้ของไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่ขับรถหรูและสวมเสื้อผ้าราคาแพงน่ะ
พลันเมื่อพี่คีย์พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกจากร้านก่อนจะออกตัวรถยนต์คันหรูของเขาไปอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงฉันที่กำลังนั่งนิ่งช็อกความตกใจกับการกระทำของเขาเมื่อครู่
“เอ่อ...หนูจ้ะ ให้ป้ายกเลิกกับข้าวไหม”
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติฉันก็ได้ยินเสียงของป้าที่ทำอาหารตะโกนถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไรค่ะป้า แต่หนูขอเปลี่ยนเป็นใส่ถุงแทนนะคะ” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่คิดใส่ใจ ที่จริงร้านนี้ฉันมาทานอยู่บ่อย ๆ กับน้องสาวน่ะ ป้าที่ร้านก็คงคุ้นหน้าฉันเป็นอย่างดีเลยไม่ได้เอ่ยถามอะไรนัก อีกทั้งยังรู้สึกเสียดายกับข้าวที่สั่งไป สู้เก็บกลับไปกินที่บ้านต่อยังดีกว่า
ใช้เวลาราว ๆ สิบห้านาทีอาหารที่สั่งก็ได้รับจนครบ ฉันจึงตัดสินใจเดินออกจากร้านเพื่อหารถแท็กซี่กลับบ้านขณะที่มือก็หิ้วถุงกับข้าวเต็มสองข้าง ใจจริงฉันก็อยากจะโทรเรียกเพื่อนหรือน้องสาวมารับอยู่หรอกนะแต่ก็เกรงใจอะ นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วยฉันไม่อยากโทรไปรบกวนใคร
ฉันเดินไปตามทางฟุตบาทก็เห็นป้ายรถเมล์ที่อยู่ไกล ๆ จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเพราะเริ่มรู้สึกว่าหนทางรอบข้างมืดมัวและน่ากลัวแปลก ๆ
แต่ทว่า...
ปรี๊ด!!!
เสียงแตรรถของรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นทำให้ฉันหยุดชะงักและรีบหันขวับไปยังต้นเสียงก็พบว่ามีผู้ชายสองคนขับเข้ามาจอดเทียบอยู่ใกล้ ๆ หลังจากนั้นก็ถอดหมวกกันน็อกออกเผยให้เห็นใบหน้าคมคร้ามที่เต็มไปด้วยแผลเป็นจนฉันรู้สึกหวาดหวั่น
“น้องสาว เท่าไหร่จ้ะ”
เท่าไหร่? หมายความว่าไง?
ฉันทำหน้าแปลกใจเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้คิดจะต่อบทสนทนาก่อนจะฉันรีบหมุนตัวและเดินจ้ำอ้าวอย่างเร่งรีบเพื่อหลีกเลี่ยงคนพวกนั้น
“เดี๋ยวสิน้อง พี่ถามว่าเท่าไหร่ พันห้าได้ไหม แต่ถ้าสองพันพี่ก็ไม่ติดนะ”
สองพัน? อะไรคือสองพันฉันไม่เข้าใจกับคำพูดของคนพวกนี้จริง ๆ
“อะไรของพวกคุณ ฉันไม่เข้าใจ”
“ก็น้องขายตัวไม่ใช่เหรอ เท่าไหร่ล่ะสวย ๆ แบบนี้พี่จ่ายไม่อั้นนะ”
“ว่าไงนะ! ไอ้บ้า ฉันไม่ได้ขายตัวนะ!” ฉันเบิกตากว้างและตะคอกกลับไปในทันทีที่รู้ความหมายของไอ้คนพวกนั้น
จะบ้าไปกันใหญ่ มองยังไงเนี่ยว่าฉันขายตัว!
“เอ้า ไม่ได้ขายแล้วมายืนทำอะไรแถวนี้ล่ะน้อง แถมยังแต่งตัวอ่อยคนอื่นอีก”
“ไอ้บ้า! ฉันไม่ได้แต่งตัวเพื่ออ่อยใคร หยุดความคิดสกปรกของพวกแกเลยนะ” ฉันเถียงกลับอย่างไม่ลดละ กล้าดียังไงถึงมาว่าฉันว่าแต่งตัวอ่อยคนอื่น ฉันอยากแต่งตัวแบบนี้แล้วมันไปหนักหัวใครถึงจะต้องมาเดือดร้อนด้วยเนี่ย!
“หน็อยนังนี่ เดี๋ยวเถอะมึง!”
คนตรงหน้าลงจากรถมอเตอร์ไซค์และก้าวเท้าเข้ามาหาฉันทำให้ฉันรีบถอยหลังหนีและรีบหาทางเพื่อให้รอดพ้นจากคนพวกนี้ให้เร็วที่สุด
จนกระทั่ง...
ปรี๊ด!!!
เสียงแตรรถยนต์พร้อมทั้งแสงไฟหน้ารถสาดส่องมาทางฉันทำให้คนพวกนั้นชะงักไปในทันที ส่วนตัวฉันก็พยายามหรี่สายตาลงเพื่อมองคนบนรถนั้นให้ชัดเจนแต่ด้วยแสงไฟดวงใหญ่กลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจนัก
แต่ฉันก็รับรู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาและไม่นานเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
“ขึ้นรถ” เสียงทุ้มเอ่ยซึ่งเป็นจังหวะที่ฉันเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนตัวโตกว่า
“เฮ้ย! นี่...!” ฉันร้องขึ้นด้วยความตกใจเพราะคนตรงหน้าคือพี่พยัคฆ์!
ใช่! เขาคือพี่พยัคฆ์จริง ๆ!
“ขึ้นรถซะ หรือจะอยากไปกับไอ้พวกนั้น” เสียงเข้มเอ่ยย้ำอีกครั้งพลางหันไปมองยังผู้ชายสองคนที่ยืนมองสถานการณ์อยู่ไม่ไกล
“จะบ้าเหรอ ใครจะไปกับพวกนั้นกันเล่า!” ฉันไม่มีทางไปกับพวกนั้นแน่นอน และก็ไม่ยอมไปกับไอ้พี่พยัคฆ์คนนี้ด้วย!
“งั้นก็ขึ้นรถ”
“ไม่ขึ้น”
“ถ้าไม่ขึ้นหลังจากนี้เธอโดยมันลากไปทำไม่ดีไม่ร้ายแน่!” น้ำเสียงของพี่พยัคฆ์เข้มขึ้นทำให้ฉันเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความยากลำบาก ขณะที่สายตาก็เบี่ยงไปมองคนอีกกลุ่มที่ตอนนี้กำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาน่าขยะแขยงเป็นที่สุด!
“ฉัน...”
“ขึ้นรถซะ”
“ปะ...ไปก็ได้” ฉันยอมตอบรับแต่โดยดีก่อนจะเดินขึ้นรถที่จอดอยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงของไอ้คนพวกนั้นที่ตะโกนไล่หลังตามมา
“โห้ไรวะ ไหนบอกไม่ขายไง ที่แท้ก็ไปกับไอ้หน้าหล่อ”
“ไอ้บ้า! ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขาย!”
ปัง!
ทันทีที่ฉันตะคอกกลับไปยังผู้ชายสองคนนั้นประตูรถก็ปิดลงอย่างแรงต่อหน้าต่อตาทำให้ฉันชะงักทันควันและรีบหันมองกับบุคคลตรงหน้า
สายตาของฉันกวาดมองคนภายในรถซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด พวกเขากำลังมองหน้าฉันด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มเหล่านั้นจะเป็นมิตรกับฉันรึเปล่านี่สิ!
“สวัสดีครับน้องวา จำพี่ได้ไหม”
ทันทีที่ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเสียงของคนคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทักทายทั้งยังเรียกชื่อของฉันถูกอีก
ทำไมเขาถึงรู้จักฉันได้ล่ะ!?
“น้องจำพวกเราไม่ได้หรอกมึง”
อีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นทำให้ฉันหันขวับไปมองเจ้าของเสียงนั้นอย่างรวดเร็วแต่ก็กลับเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของไอ้พี่พยัคฆ์ที่น่าหมั่นไส้โคตร ๆ เลย!
ว่าแต่พวกเขาเป็นใครล่ะ ทำไมถึงรู้จักฉันด้วย
แต่เอ๊ะ...จะว่าไปพวกเขาก็น่าคุ้น ๆ เหมือนกันนะเนี่ย
“พี่ชื่อภีม ส่วนนั้นไอ้พยัคฆ์น้องคงจำมันได้แล้วล่ะ ถัดไปก็ไอ้ออกัส พวกพี่เป็นเพื่อนไอ้นอร์ทมันน่ะ พอจำได้เปล่า”
ฉันนึกคิดอยู่ชั่วครู่แต่ไม่นานก็จำคนตรงหน้าได้ทันที พวกเขาคือรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ดุริยางค์อีกทั้งยังเป็นเพื่อนกับไอ้พี่นอร์ทไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้น!
“อ๋อ! จำได้แล้ว พวกพี่คือเพื่อนของไอ้ผู้ชายเฮงซวย วาจำได้แล้ว!”
ทว่าประโยคนั้นกลับทำให้พวกพี่ ๆ ต่างก็ยิ้มเจื่อนและหัวเราะแห้ง ๆ ส่งมาให้กับฉัน
เอ่อ...คือฉันไม่ได้ตั้งใจนะ มันหลุดปากไปน่ะ
“แหะ...ขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก น้องคงเจ็บปวดมากล่ะสิพี่เข้าใจ” พี่ภีมเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถือโทษก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“นี่พวกพี่ยังคบกันอยู่เหรอคะ”
“คำถามนี้พี่ว่ามันแปลก ๆ นะน้องวา”
“คือวาไม่คิดว่าพวกพี่จะยังอยู่กับครบน่ะค่ะ” ที่จริงแล้วบนรถคันนี้ไม่มีพี่นอร์ทอยู่หรอกนะ อ้อ! แล้วก็ขาดอีกคนหนึ่งด้วยแต่ฉันจำชื่อไม่ได้ จำได้แค่ว่าพวกเขามีอยู่กันห้าคนแถมยังเป็นต้องท็อปของมออีก
“พวกพี่ตั้งวงดนตรีกันน่ะ รู้จักวงพวกพี่ไหม ดังโคตร ๆ เลยนะน้องวา ชื่อวงว่าโฟร์ดรีม รู้จักไหม ๆ”
“เอ่อ...” ฉันมองคนตรงหน้าเมื่อไม่รู้ว่าจะตอบออกไปยังไง คือฉันไม่ค่อยรู้จักใครน่ะ เพราะเรียนต่างประเทศมาเลยทำให้ไม่ได้ตามข่าวสารจากประเทศไทยเลย
“วงพี่มีสี่คนนะ ขาดไอ้ครามคนหนึ่งมันขอตัวกลับไปก่อนอะ ส่วนไอ้นอร์ทรายนั้นก็ไม่ได้อยู่ตั้งวงด้วยกันหรอก มันย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้วน่ะ”
จริงสิคนที่ฉันลืมชื่อไปก็คือพี่ครามสินะ ก็ว่าอยู่เพราะรู้สึกคุ้น ๆ ชื่อแต่มันก็นึกไม่ออกสักที
“คือวาไม่ได้ตามข่าวเลยน่ะค่ะ แหะ”
“ไม่เป็นไร ๆ แต่ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สวยขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย”
“จะให้ไปส่งที่ไหน”
ไม่ทันที่ฉันจะตอบอะไรเสียงของพี่พยัคฆ์ก็แทรกขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบแต่กลับน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้
คนบ้าอะไรขี้เก๊กชะมัด!
“เอ่อ...จอดข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่...”
“บอกทางมา อยากโดนแบบเมื่อกี้อีกรึไง”
“อึก...” ฉันลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่รู้ทำไมถึงกลัวคนตรงหน้าทั้งที่เขาก็เป็นแบบนี้ปกติอยู่แล้ว
ฉันตัดสินใจบอกทางไปคอนโดฯ กับพวกเขาเพราะไม่อยากต่อปากอะไรอีก ถือซะว่าวันนี้มีเพื่อนร่วมทางไปส่งถึงที่หมายอย่างปลอดภัยแล้วกัน