หลายวันต่อมา...
ภายในตึกสำนักงานใหญ่บริษัทเดอะเกรทฟีเจอร์กรุปกว่าสี่สิบชั้น อักษรตัวใหญ่ Gf เป็นเครื่องหมายการค้าที่เห็นโดยทั่วไปตามข้าวของเครื่องใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือนแม้แต่อาหารสำเร็จรูป...
พาวินท์ยกมือขึ้นกุมขมับกับงานหลายอย่างที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน เพราะอย่างนี้บิดาของเขาถึงอยากแบ่งงานให้ทั้งสามคน ส่วนเขาก็ดื้อดึงไม่อยากกลับมาทำงานที่ไทยด้วยเหตุผลส่วนตัว ขณะที่พาคินณ์ต้องการขึ้นเป็นประธานบริษัท ทว่าเขากลับไม่ถูกเลือกทำให้เจ้าตัวเกิดอาการน้อยใจไม่มาทำงานอีกเลย แม้นจะอยู่ในตำแหน่งรองประธานก็ตามแต่
“ตอนนี้ยังไม่พบบอสพาทิศเลยครับ”
“เฮ้อ ได้ยินแล้วแข้งขาอ่อนแรง...” เป็นห่วงก็เป็นห่วง อยากให้กลับมาใจจะขาด บอกตามตรงว่าเขาทำงานคนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ
“วันพรุ่งนี้มีออกไปดูไลน์ผลิตที่โรงงานด้วยครับ”
“เท่าไร....”
“ยี่สิบ”
“ห้ะ...”
“ยี่สิบที่ครับ” เปลือกตาหนาข่มลงอย่างคนใกล้หมดแรง หลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่เขาเข้ามารับตำแหน่งรักษาการแทนคนเป็นพี่ พาวินท์ต้องอ่านข้อมูลของบริษัทในเครือเดอะเกรทฯพร้อมกับออกไปดูงานที่บริษัทในเครือทุกที่ ส่วนใหญ่จะเป็นออฟฟิศ ยังไม่เคยไปที่โรงงานเลยสักที่ ดูเหมือนว่าจะเป็นอาทิตย์นี้ที่เขาจะได้ไปดูงานที่ไลน์ผลิตสินค้า
“เอ่อ เดี๋ยวคุณม่านฟ้าจะพาไปนะครับ...”
“หืม...”
“เธอเป็นเลขาคุณพาทิศ”
“อ้อ...จริงด้วย” พาวินท์ยกปลายนิ้วมือขึ้นลูบริมฝีปากอย่างคนใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะกระตุกยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
“ม่านฟ้าอยู่ไหน”
“เห็นบอกว่าจะมาทำงานได้วันพรุ่งนี้ครับ” พาวินท์พยักหน้ารับ เหตุที่เธอไม่มาทำงานได้ยินว่าเพราะพี่ชายฝาแฝดคนกลางของเขาตามราวี ไม่รู้ว่าจะรับข้อเสนอที่เขาเพิ่งนึกออกหรือไม่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นการดีที่จะลองดูก่อน
“โทรไปนัดเธอมาคุยด้วยหน่อย...เย็นนี้”
“ครับ...”
“อ้อ...แล้วดาราที่บอกให้นัดมาเจอล่ะ”
“คืนนี้ครับ บอสอยากให้นัดไปที่ไหนครับ”
“ที่บ้านกูมั้ง”
“ที่บ้าน? มันจะดีเหรอครับ”
“กูประชด มึงนี่มันคิดไม่ได้จริง ๆ ก็นัดไปคอนโดสิวะ” ไรอัลพยักหน้ารับ เขาไม่ได้อยากยียวนเจ้านายแต่พาวินท์ชอบพูดประชดประชันอยู่แล้ว ก็เลยตอบไปแบบนั้น
“งั้นผมไปทำงานก่อน”
“อย่าลืมซะละ” ไรอัลพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะโทรไปหาม่านฟ้าที่ตอนนี้กลายเป็นคู่หมั้นของพาวินท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
...เวลาบ่ายแก่ ๆ ของวันที่สิบหกคงหนีไม่พ้นความหวังเดียวอย่างลอตเตอรี่ ปานวาดมองลอตเตอรี่ในมือด้วยใบหน้ามีความหวัง เช่นเดียวกับเพื่อนชายที่กำลังกัดฟันลุ้นอยู่ข้างกาย
“หมายเลขที่ออก 5 9 9 3 1 2...”
“กรี๊ดด!!” ทันทีเสียงประกาศเลขที่ออกรอบแรกสิ้นสุดลง ปานวาดก็ส่งเสียงกรีดร้องทันที
“ถูกเหรอ...”
“ใช่! สามตัวท้ายน่ะ หึ...” ใบหน้าเล็กยิ้มแย้ม เธอล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาคนเป็นลูกทันที
“แม่ถูกลอตเตอรี่...”
ติ๊ง!
[จริงอ่อแม่ หนูอยากกินชาบูพอดี] ปานวาดมองข้อความจากลูกสาวด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ หากว่าไม่มีลอตเตอรี่ก็คงไม่มีโอกาสได้กินของดี ๆ
“เก็บไว้ให้ดีล่ะ พวกนั้นมองกันใหญ่” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากปากของแมนทำให้หญิงสาวละความสนใจจากโทรศัพท์มือถือ ปานวาดเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่มองเธออยู่ ฝ่ามือบางรีบเก็บลอตเตอรี่ไวในกระเป๋ากางเกงทันที
“ไม่รู้ว่าโกรธเกลียดอะไรนักหนา ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” หญิงสาวพึมพำออกมา ซึ่งเวลานี้ก็เป็นเวลาพักของคนงาน
“นี่แหละปัญหาของมนุษย์ ไม่มีใครอยากเห็นใครได้ดีกว่าหรอก”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นน่ะสิ แตงโมคงกลัวเรื่องผัวเธอ ฉันเหนื่อยกับเรื่องนี้มาก ๆ”
“ใครบอกให้เกิดมาสวยล่ะ” แมนสบตากับหญิงสาวตรงหน้า ปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้เลยว่าปานวาดสวยมากตั้งแต่ทำงานด้วยกันมากว่าสิบปีนี้ แม้นว่าอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปานวาดก็ไม่ได้แก่ตามอายุเลยสักนิด แถมเจ้าตัวยังมีลูกอีกแล้วด้วย
“หึ เว่อร์แล้ว”
“จริง เธอเหมือนกับลูกผู้ดีประมาณนั้น” ปานวาดส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าภายในอกไม่ได้คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย หากเลือกได้เธอไม่ได้อยากเกิดมาในครอบครัวผู้ดีอะไรทั้งนั้น เธออยากเกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อเข้าใจเธอมากกว่านี้
“ถ้าไม่ทำแท้งก็ออกจากบ้านหลังนี้ไป”
ประโยคนี้ยังคงวิ่งเข้ามาในหัวไม่หยุด หากเชื่อคำพ่อก็คงไม่ต้องทนทุกข์ขนาดนี้ ขณะเดียวกันหากเชื่อก็คงไม่มีแก้วตาดวงใจของเธออย่างพาขวัญเกิดมา ปานวาดกระตุกยิ้มบาง ๆ ที่จะได้พาบุตรสาวไปกินชาบู อย่างน้อยก็สองสามเดือนครั้งหนึ่ง...
เวลาเย็นที่ภัตตาคารหรู อาหารชั้นเลิศที่ถูกวางตรงหน้าไม่ได้รับการรับประทานสักคำเดียวจากคนสองคน ม่านฟ้ามองใบหน้าของผู้ชายที่กำลังจะมาเป็นสามีของเธอในอนาคต
“พี่จะบอกให้ฉันไปทำงานเป็นเลขาฯของพี่คินณ์?”
“ใช่ แลกกับการที่พี่จะแต่งงานกับเธอ” ม่านฟ้าเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ครอบครัวของเธอเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบสกุลกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่ถือครองที่ดินทำเลทองเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ หญิงสาวรู้จักสามแฝดนี้ตั้งแต่ครั้นเมื่อเยาว์วัย
“หึ...พี่ต้องการอะไรกันแน่”
“ก็ต้องการให้พี่คินณ์กลับมาทำงานไง ถ้าพี่คินณ์รู้ว่าเธอจะไปเป็นเลขาฯให้ เขายอมกลับมาทำงานแน่ ๆ พี่จะได้มีผู้ช่วยด้วย ทำงานคนเดียว นั่งเศียรคนเดียวมันเหนื่อยเหมือนกันนะ”
“_”
“พี่รู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก พ่อแม่เธอบังคับให้แต่งงานกับครอบครัวพี่ ตอนนี้เหลือแค่พี่กับพี่คินณ์แล้ว ถ้าเธอไม่รับข้อตกลงพี่ก็จะไม่แต่งกับเธอ...” พาวินท์ร่ายยาว เขาไม่อยากทำงานเพียงลำพัง การมีอำนาจตัดสินใจสูงสุดนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ชายหนุ่มต้องการรองประธานที่ไว้วางใจได้
“พี่กำลังบังคับฉัน”
“ถ้าเธอคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด”
“พี่วินท์...เรารู้จักกันมานาน พี่ก็รู้ว่าพี่คินณ์บ้าแค่ไหน” พาวินท์ไหวไหล่ขึ้น ตอนนี้งานมันหนักมากจริง ๆ บิดาที่ควรจะมาเป็นที่ปรึกษาให้เขากลับกระวนกระวายตามหาพี่ชายคนโตอยู่ ขณะเดียวกันพาคินณ์มีประสบการณ์ทำงานที่สำนักงานใหญ่มากกว่าเขา คนเป็นพี่น่าจะช่วยเหลือเขาได้บ้าง
“ว่าไง...”
“แล้วฉันเลือกอะไรได้บ้างล่ะ” ม่านฟ้าว่าพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา เธอต้องทนอยู่กับปีศาจร้ายอย่างพาคินณ์อย่างนั้นหรือ แต่ก็ยังดีกว่าแต่งงานกับเขา...
เวลาต่อมา...
นานแล้วที่พาวินท์ไม่ได้นั่งมองสองข้างถนนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครฯ ชายหนุ่มไม่อยากทำงานในประเทศแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเขากับรักแรก
...ไม่รู้ว่าเธออยู่หนใด
พาวินท์ไม่ได้ติดต่อกับเธอคนนั้นหลังจากที่เจ้าหล่อนบอกเลิกเขาไป ชายหนุ่มตามง้ออยู่สองเดือนก็ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ หลังจากวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อเธอคนนั้นอีกเลย
“คุณไข่มุกเป็นดาราที่กำลังถูกพูดถึงเลยล่ะครับ ถ้าบอสได้คบด้วยคงออกข่าวทุกสำนัก”
“หึ..ดี” พาวินท์กระตุกยิ้มมุมปาก จะเรียกว่าเป็นกลไกป้องกันตัวเองก็ว่าได้ ชายหนุ่มอยากทำให้เธอคนนั้นรู้สึกรู้สาว่าเขาเจ้าชู้อย่างที่เธอพูดจริง ๆ หวังว่าเธอจะอ่านข่าวของเขาตลอด เพราะเขาจะได้รู้สึกสะใจที่เอาชนะคำพูดของเธอทั้งหมดนั้นได้ ทว่า
“หืม...ปาน” ขณะที่รถคันหรูกำลังจอดติดไฟแดง อยู่ ๆ สายตาของเขาก็พลันมองเห็นเด็กหนุ่มกับเด็กสาวในชุดนักเรียนข้างถนน
แกร็ก!
“บอส!!” พาวินท์เปิดประตูลงจากรถอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเลขาฯหนุ่มตกใจ จะเปิดประตูวิ่งตามไปก็ไม่ได้เพราะรถกำลังติดไฟแดงอยู่ ถ้าไฟเขียวแล้วใครจะขับรถให้ ซึ่งตอนนี้พาวินท์กำลังวิ่งขึ้นฟุตบาทข้างถนน
“ปานวาด!!” เขาตะโกนเสียงเรียกชื่ออดีตคนรักเสียงดังลั่น ขณะที่เสียงตะโกนเรียกชื่อคนเป็นแม่ทำให้พาขวัญชะงักฝ่าเท้าทันที เธอหมุนตัวหันหลังไปมองตามเสียงเรียกนั้นด้วยความมึนงง
...พาวินท์กำลังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นคนหน้าเหมือนปานวาด ทั้ง ๆ ที่เธอคนนี้ยังคงสวมชุดยูนิฟอร์มนักเรียน ถ้าเป็นปานวาดจริง ๆ เธอไม่โตขึ้นเลยอย่างนั้นหรือ...
“ใครเหรอ…” มาร์ชเอื้อมมือไปคว้าฝ่ามือของแฟนสาวมากุมไว้ เขามองผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้าด้วยความมึนงงระคนสงสัยในคราเดียวกัน ขณะที่พาวินท์เองตัวแข็งทื่อด้วยความรู้สึกบางอย่าง ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ผมยาวสลวยสีดำถูกมัดรวบเป็นหางม้า เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ แพขนตางอนนี้ บอกเขาทีเถอะว่าเธอไม่ใช่ปานวาด ทำไมเหมือนกันอย่างกับแกะอย่างนี้
“อะไรของตาแก่นี่”
“ห้ะ…” พาวินท์เบิกตากว้าง เขาตกใจที่เด็กสาวกล่าวหาว่าเขาแก่ แถมสายตาที่มองขวางแบบนี้…ปานวาดชัด ๆ
“รู้จักเหรอ…”
“ไม่อ่ะ แต่เขาเรียกชื่อแม่…” แม่...แม่อย่างนั้นเหรอ พาวินท์ตกใจดวงตาแทบถลนออกมา เขาทวนคำพูดของเธอคนนี้ในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนของเด็กสาวคนนี้ทันที
“แม่ แม่หนูชื่อปานวาดเหรอ”
“โอ๊ย!! อะไรเนี่ย…”
“ปล่อยแฟนผมนะ! คนบ้าเปล่าวะ” มาร์ชรีบคว้าตัวบางร่างเล็กของแฟนสาวไว้ทันที ทว่าตอนนี้พาวินท์กำลังตกใจ เขาไล่สายตามองกรอบหน้าของเธอคนนี้ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำมองดูจุดสีน้ำเงินสามจุดบนเสื้อนักเรียนของเธอ และชื่อที่ปักอยู่บนอก
“15 ปีงั้นเหรอ…พาขวัญ เกษมานะ”
“เฮ้ย!! ปล่อยขวัญเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!”
ผลั๊ว!!
“โอ๊ย!!”
“กรี๊ด!! มาร์ช!” พาขวัญส่งเสียงกรีดร้องไม่ทันไรฝ่ามือบางก็ถูกมาร์ชคว้าให้วิ่งหนีเมื่อเขาปล่อยหมัดใส่ผู้ชายตัวสูงท่าทางไม่น่าไว้ใจคนนี้ ปล่อยให้พาวินท์มึนหัวกับหมัดของเด็กหนุ่มบนพื้น
“บ้าเอ๊ย! ไอ้เด็กเวรนี่!”
“เกิดอะไรขึ้นครับบอส!!” ไรอัลวิ่งหน้าตื่นมาหลังจากที่หาที่จอดรถอยู่นาน ก่อนที่เขาจะพยุงคนเป็นนายที่ล้มก้นกระแทกพื้นอยู่ พาวินท์เสียหลักล้มเพราะไม่ทันได้ตั้งรับหมัดของเด็กผู้ชายวัยเจริญพันธุ์
“โธ่เว้ย!! ทำไมมึงไม่มาช้ากว่านี้!”
“เหรอครับ…งั้นผมกลับก่อน” พาวินท์มองเลขาฯหนุ่มด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองเด็กสองคนก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่พบเสียแล้ว
“ปานท้องเหรอวะ…” เขาพึมพำออกมาเบา ๆ มีความเป็นไปได้สูงเพราะมีครั้งหนึ่งที่เขาพลาดไป…ครั้งแรกที่เขาและเธอไม่ประสีประสาเรื่องนี้
เวลาต่อมา…
พาขวัญแยกทางกับแฟนหนุ่มหลังจากที่เขามาส่งหน้าอะพาร์ตเมนต์ ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความสงสัย เธอขมวดคิ้วมุ่นระหว่างก้าวขาขึ้นบันได ทว่า
กึก!
ร่างบางชะงักฝ่าเท้าเมื่อมองเห็นมารดากำลังนั่งชันเข่าบนพื้นหน้าประตูห้องเช่า ศีรษะเล็กสัปหงกขึ้นลงด้วยความง่วง เธอยังไม่เข้านอนเพราะต้องรอบุตรสาวกลับห้องเสียก่อน
“เฮ้อ น่าเบื่อ…” พาขวัญพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ไม่อยากให้แม่มานั่งรอแบบนี้หรอก แต่ละวันมารดาของตนได้นอนแค่สามชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
“แม่…แม่!!”
“อ๊ะ อ้อ…มาแล้วเหรอ” ปานวาดลูบผมที่กระเซอะกระเซิงของตัวเอง ใบหน้าของคนเป็นแม่ซีดเซียวยิ่งเพิ่มความโมโหให้กับคนเป็นลูก
“แม่มานั่งรอทำไม! ทำไมไม่ไปนอน!!”
“ก็แม่เป็นห่วง ทำไมกลับดึกอย่างนี้ล่ะลูก…” ปานวาดขยับตัวเข้าใกล้บุตรสาว ลูบแขนของคนตัวเล็กกว่าเกรงว่าจะไปได้รับบาดแผลมา ใจของเธอหวิวทุกครั้งที่กลับบ้านแล้วไม่พบหน้าลูก แล้วจะให้เธอนอนหลับได้อย่างไร
“ทีหลังแม่ไม่ต้องรอหรอกนะ หนูไปกับมาร์ช เดินเล่น ทำการบ้าน มาร์ชช่วยทำการบ้านด้วยนะแม่…”
“มาร์ชก็ไม่ใช่คนโต อยู่ม.4 ไม่ใช่เหรอที่ลูกเคยบอก ทั้งคู่ยังเด็กมาก กลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตรายมาก ถ้ามีคนมาทำร้ายจะทำยังไง” ปานวาดปลงใจเรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวกับแฟนหนุ่มแล้ว หากรู้จักป้องกันไม่พลาดพลั้งเหมือนกับเธอทุกอย่างก็วางใจได้ แต่การกลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ นั้นเสี่ยงที่จะโดนทำร้าย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า โอ๊ะ!…จริงด้วย วันนี้มีผู้ชายมาทักหนูผิดว่าเป็นแม่ด้วย…”
“หืม? …”
“เขาหล่อแล้วก็ดูรวยมากเลยแม่ อ๊ะ!…อะไรของแม่เนี่ย!” อยู่ ๆ ฝ่ามือบางของคนเป็นแม่ก็ยึดไหล่มนไว้แน่นทั้งสองข้าง ปานวาดเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
“เขาว่าไงบ้าง!”
“หืม...เขาถามว่าแม่ชื่อปานวาดหรือเปล่า…โอ๊ย! แม่จะเขย่าทำไมเนี่ย!!”
“แล้วลูกตอบว่ายังไง!!”
“แม่!! หนูเจ็บนะ! เป็นบ้าอะไรของแม่!…” มารดามีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เธอเขย่าร่างบางของคนเป็นลูกอย่างแรงจนศีรษะทุยเล็กสั่นคลอน เกรงว่าพาขวัญจะหลุดปากพูดอะไรเข้า...