“พาคินณ์...” ร่างหนาของบุตรชายคนกลางโผล่หัวออกมาในที่สุด พาคินณ์ได้ยินทุกเรื่องที่ผู้เป็นพ่อพูดกับน้องชายของเขา ซึ่งชายหนุ่มได้ยินจากเลขาฯส่วนตัวแล้วว่าพี่ชายคนโตหายตัวไป หลังจากตื่นนอนเขาก็ปรี่มาที่นี่ทันที
“พาทิศอยู่ไหน” ร่างหนาของคนเป็นพ่อเดินมาหา ซึ่งคำถามนี้ทำให้พาคินณ์ขมวดคิ้ว บิดาคิดว่าเป็นฝีมือของเขาอย่างนั้นหรือ...
“หมายความว่าไง หึ พ่อคิดว่าผมเป็นคนทำงั้นเหรอ...” คนเป็นพ่อชะงักฝ่าเท้า เขาไม่ได้อยากว่ากล่าวคนเป็นลูก แต่พาคินณ์เคยพูดไว้จริง ๆ “หึ จะว่าไปก็เสียดายอยู่นะ...น่าจะเป็นผมที่ทำแบบนั้นจริง ๆ”
“คินณ์...”
“รู้งี้ลอบฆ่าแม่งไปนานแล้ว” พาวินท์เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้าไปขวางหน้า ดูเหมือนว่าคนเป็นพ่อจะกระโจนหมัดใส่แล้วเมื่อครู่แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าระรื่นอยู่
“ไม่รู้ก็แค่ตอบว่าไม่รู้ พี่ทำตัวแบบนี้ไงเขาเลยสงสัย”
“เหรอวะ หน้ามึงเปลี่ยนไปนะเนี่ย...ไม่เหมือนกูแล้วเหรอวะ” พาคินณ์ยกมือขึ้นแนบใบหน้าของน้องชายฝาแฝดก่อนจะตบเบา ๆ เพื่อยียวนกวนประสาท
“เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้วน่า พี่หายไปทั้งคนทำไมยังทำตัวแบบนี้อีก” อิทธิกรส่ายหน้าอย่างลืมระอา ก่อนที่คนเป็นลูกจะผลักน้องชายออกเพื่อประจันหน้าผู้เป็นพ่อ
“ถ้าผมเป็นคนทำ พ่อจะจับผมเข้าคุกป่ะ”
“คินณ์...”
“พ่อเคยบอกนี่ว่าถ้าไม่มีลูกแบบผมก็คงจะดี”
“พอเถอะน่า มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงเรื่องเก่า” พาวินท์เอ่ยแทรกพร้อมกับดึงไหล่หนาของพี่ชายให้ขยับออก แม้นว่าจะเกิดห่างกันไม่กี่นาทีแต่ทั้งคู่ก็มีนิสัยต่างกันมาก
“ตลกไหม ผมทำทุกอย่าง ทำงานหนักทุกอย่างที่พ่อให้ทำ อึก...ไม่ได้ไปเรียนนอกเหมือนคนอื่น แต่สุดท้ายพ่อก็ให้พาทิศทุกอย่าง รวมถึงฟ้า...” พาคินณ์ว่าพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ ก่อนน้ำตาจะค่อย ๆ ไหลออกมาอย่างช้า ๆ
“_”
“ถ้าพ่อคิดว่าผมทำแล้วล่ะก็...หึ หึ” ชายหนุ่มใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เขาแค่นหัวเราะอย่างคนนึกสมเพชตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังออกจากห้องรับแขกไปด้วยความรู้สึกเสียใจระคนน้อยใจ
ก่อนที่พาวินท์จะเดินตามหลังมา
“เฮ้...ไม่มีใครคิดว่าพี่ทำหรอก” ชายหนุ่มดึงไหล่หนาของพี่ชายไว้ ก่อนที่อีกฝ่าจะสะบัดทิ้งอย่างแรง
“มึงเห็นแววตาพ่อไหม ถ้ามึงเห็น...มึงจะรู้ว่าพ่อคิดอย่างนั้นจริง ๆ” พาวินท์กลืนน้ำลายลงคอ แม้นจะจริงอย่างที่พาคินณ์ว่าแต่คนเป็นพ่อกำลังเสียใจ ท่านกำลังตามหาพี่ชายคนโต ไม่แปลกที่บิดาจะคิดไปเรื่อย
“ตอนนี้พ่อกำลังคิดหาพี่พาทิศอยู่ เขาก็คิดไปเรื่อยนั่นแหละ”
“...ช่างแม่งเถอะ ไม่เชื่อกูอยู่ดี...แล้วที่มึงบอกพ่อ”
“หืม...”
“มึงจะแต่งงานกับฟ้าแทนไอ้ทิศเหรอ”
“_”
“มึงก็รู้ว่ากูชอบฟ้า” พาวินท์เม้มริมฝีปาก เขาตกที่นั่งลำบาก ไม่ได้อยากตอบรับพ่อไปอย่างนั้น แต่เขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก
“ผมขอโทษ แต่พ่อขอแบบนั้น”
“_”
“ฟ้าไม่ได้เลือกพี่ พี่ก็ต้องยอมรับความจริง” พาคินณ์เหยียดยิ้ม ชายหนุ่มผลักอกแกร่งของน้องชายแรง ๆ อย่างเอาเรื่อง
“ทำไมไม่มีใครเลือกกูเลยวะ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ไปโดยมีเลขาฯส่วนตัวเดินตามหลังไป ปล่อยให้พาวินท์จมกับความคิดของตัวเอง
...ไม่แปลกที่พาคินณ์จะรู้สึกอย่างนั้น พี่ชายคนกลางเรียนจบก็ทำงานให้กับบริษัทเลย อีกฝ่ายทำงานหนักแต่สุดท้ายคนเป็นพ่อกลับให้พี่ชายคนโตนั่งตำแหน่งประธานบริษัทแทน แถมยังให้แต่งงานกับคนที่พาคินณ์รักอีกด้วย...
...ใบหน้าเล็กของบุตรสาวงอง้ำ พาขวัญไม่พูดไม่จาตั้งแต่มาถึงคลินิกนอกเวลาราชการแห่งนี้กับคนเป็นแม่
“เขาอาจจะไม่ว่างหรือติดธุระ”
“มาร์ชไม่ใช่คนแบบนั้นแม่ เขาจะโทรมาบอกหนูก่อน” พาขวัญหันขวับไปมองคนเป็นแม่ เธอรู้สึกน้อยใจที่แฟนหนุ่มไม่มาตามนัด “เขาบอกจะมาหาแม่”
“ไม่เป็นไร วันหลังค่อยเจอกันก็ได้”
“...ทำไม ทำไมหนูรู้สึกว่ามันจะไม่มีวันหลังก็ไม่รู้” เด็กสาวว่าเสียงเศร้า เมื่อเช้าเขายังมารับเธอไปส่งที่โรงเรียน แต่ตอนเย็นกลับบอกว่ามาไม่ได้แล้ว แถมตอนนี้ยังปิดเครื่องหนีเธอไปอีก
...ขณะที่คนเป็นแม่นึกสงสารจับใจ พาขวัญเพ้อฝันไปไกลเกินจะกู่กลับ เธอยังเด็กมากมีโอกาสเจอใครอีกหลายคนในชีวิต แต่ก็คิดเป็นตุเป็นตะว่าจะได้แต่งงานกับอีกฝ่าย
“เขาคงไม่หลอกฟันหนูใช่ไหมแม่”
“_”
“อึก ใช่ไหมแม่” ฝ่ามือเล็กเขย่าต้นแขนของคนเป็นแม่ น้ำตาที่ไหลออกมาทำให้มารดานึกเอ็นดู เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กสาวเบา ๆ
“จะยังไงก็ช่าง...ลูกแม่สวยที่สุด อย่าสนใจเลยนะลูก เราตั้งใจเรียนก่อนดีกว่าไหม” ปานวาดรู้สึกดีเสียอีกที่อีกฝ่ายจะทิ้งลูกสาวของเธอไป เพราะพาขวัญจะได้เอาเวลาไปตั้งใจเรียน ทว่า
“หนูรักเขาอ่ะแม่”
“_”
“อึก หนูอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีเขา” ไหล่บางของคนเป็นลูกสั่นเทา ปานวาดก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเช่นกัน ลูกสาวของเธอยังเด็กมาก ทว่า
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของคนเป็นลูกกลับดังขึ้น พาขวัญรีบคว้าไปดูในทันที
[เค้าขอโทษนะ เจอกันพรุ่งนี้นะ]
พาขวัญมองข้อความอยู่อย่างนั้น เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะคลี่ยิ้มพร้อมกับชูหน้าจอโทรศัพท์ให้คนเป็นแม่ดู
“มาร์ชทักมาง้อแล้ว”
“หึ...” ปานวาดทำได้เพียงแค่หัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับใบหน้ายิ้มแย้มของลูกสาว
“แม่ ถ้าหนูฝังยาคุมแล้วก็ทำแบบนั้นแบบไม่ต้องใส่ถุงยางได้น่ะสิ”
“ไม่ได้ ไม่ได้เลย...ไม่ท้องก็จริงแค่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นะ”
“โรคไรอ่ะ มันมาไงอ่ะแม่ มาร์ชไม่ได้สกปรกสักหน่อย” ปานวาดกุมฝ่ามือของคนเป็นลูกมาวางที่หน้าตักของเธอ ก่อนจะค่อย ๆ พูดอย่างช้า ๆ
“เชื้อไวรัสน่ะมันชื่อเอชไอวี แล้วก็มีแบคทีเรียที่ก่อโรคซิฟิลิส...” หญิงสาวไม่ได้มีความรู้มากนัก อาศัยอ่านตามป้ายประกาศข้างถนนที่เขาติดไว้ “มีอีกหลายโรค...ต้องป้องกันนะลูก มันทำให้เราเป็นโรคติดเชื้ออาจถึงตายได้”
“เหรอ...เอางั้นก็ได้” พาขวัญตอบรับแบบส่งเดช ขณะที่นิ้วมือก็รัวแป้นพิมพ์คุยกับคนเป็นแฟน
“พาขวัญสัญญากับแม่นะว่าจะป้องกัน”
“อ่า สัญญา” ปานวาดมองใบหน้าเล็กที่ไม่ได้สนใจคำพูดของเธอแม้แต่น้อย แต่ก็วางใจได้ในระดับหนึ่งเพราะพาขวัญเป็นเด็กดื้อ ถ้าไม่เธอจะบอกว่าไม่อย่างตรงไปตรงมา หากว่าตอบรับแบบนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีแล้ว...
ขณะเดียวกันบ้านเดี่ยวสองชั้นย่านคนมีกะตังค์ เด็กหนุ่มกำลังพิมพ์ข้อความหาแฟนสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจหลังจากคนเป็นแม่ห้ามออกจากบ้าน
“คบไปได้ไงผู้หญิงจน ๆ แบบนั้น”
“แม่...” เขาลดโทรศัพท์ลงเมื่อมารดายังไม่หยุดพูดเรื่องของพาขวัญ “ถ้าแม่ยังยุ่งวุ่นวายอีกละก็ผมจะหนีออกจากบ้าน!”
“อย่านะ! อย่าไปไหนทั้งนั้น แล้วก็อย่าเอารถพ่อไปขับด้วย”
“รถพ่อไม่ใช่รถแม่”
“เอ๊ะ! ฉันเป็นแม่แกนะ อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงพันนั้นอีก ดูก็รู้ว่ามันต้องการเกาะเรากิน หน็อยแน่...หน้าตาก็ดีไม่คิดว่าจะจนขนาดนั้น นี่อะไร...มีแม่เป็นสาวโรงงานแถมพ่อก็ไม่มี!”
“เหอะ...พาขวัญจะเป็นใคร เป็นลูกใคร ผมก็ชอบเธอแล้วก็รักเธอด้วย!”
“นี่แกกล้าขึ้นเสียงใส่แม่งั้นเหรอ มาร์ช!”
“เอ้อ!...”
เพี๊ยะ!!
ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มสะบัดอย่างแรงตามแรงตบของคนเป็นแม่ ทำให้โทรศัพท์เครื่องหรูในมือร่วงลงพื้นทันที
“ฉันเลี้ยงดูแกมาอย่างดี แต่แกกลับไปคว้าเอาผู้หญิงต่ำ ๆ ไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาคบหา แล้วโทรศัพท์ที่บอกจะซื้อใหม่ก็เอาไปให้มันใช่ไหม!!”
“_” มาร์ชไม่ตอบคนเป็นแม่ น้ำตาของเขาหลั่งรินมองโทรศัพท์ที่อยู่บนพื้น
“ไปบอกเลิกมัน ถ้าไม่เลิกแม่จะจัดการมันเอง”
“ไม่เลิก แล้วก็อย่ายุ่งกับขวัญ!!”
“หึ...ยุ่งแน่ แม่ยุ่งแน่!” พิณนภาว่าด้วยน้ำเสียงเดือดดาลในใจ รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายไปคว้าเอาผู้หญิงประเภทนั้นมาคบหา แม้จะเป็นการคบหาฉบับวัยรุ่น แต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็จริงจังเสียเหลือเกิน ทว่าขณะนั้นเอง
“เอะอะโวยวายอะไรกัน ผมคุยงานอยู่...” เสียงของคนเป็นพ่อดังลงมาจากชั้นสองของบ้าน ก่อนจะค่อย ๆ เดินลงบันไดทีละขั้น
“ขอโทษค่ะคุณ...ก็ลูกน่ะสิไปคว้าเอาเด็กไร้หัวนอนปลายเท้ามาคบหา...” มาร์ชไม่อยากอยู่ฟัง เขาเดินหนีขึ้นบ้านไปโดยไม่ลืมคว้าเอาโทรศัพท์บนพื้นไปด้วย
“เฮ้อ...ก็ลูกยังเด็ก โตขึ้นค่อยจัดการก็ได้”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ขืนไปทำมันท้องเปิดโอกาสให้มันมาเรียกร้องจากเราจะแย่เอาได้...ว่าแต่ มีงานด่วนเหรอคะ”
“ก็เรื่องที่พูดไปเมื่อเช้าไง ท่านประธานหายตัวไปก็เลยเรียกประชุมด่วนพรุ่งนี้เช้า”
“หืม...งั้นก็เป็นโอกาสของคุณแล้วสิ หึ ไอ้เด็กพาทิศมันไม่เห็นหัวคุณไม่ใช่เหรอ...”
“เฮ่...แต่ได้ยินว่าจะให้ลูกคนที่สามมาแทนน่ะ...ไม่รู้ว่าจะเหมือนพี่ชายทั้งสองไหม ทำงานด้วยยากชิปเป๋ง...” สมชาติว่าอย่างคนนึกหงุดหงิด เขาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตสินค้าเกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภคหลายชนิดในเครือบริษัทเดอะเกรทฯ
“งั้นก็เริ่มใหม่เลยค่ะ ประจบเอาใจคนใหม่ก็ได้ ส่วนพวกนั้นก็ทิ้ง ๆ ไป”
“หึ หวังว่าจะไม่กลับมานะ ตายไปเลยก็ดี”
“หึ เรื่องราวดี ๆ เว่อร์...” สองผัวเมียหัวเราะเริงร่ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ โดยไม่รู้ว่าได้สร้างบาดแผลไว้ในใจคนเป็นลูก
ติ๊ง!
[แล้วพรุ่งนี้มาร์ชจะมารับเค้าหรือเปล่า]
“เดี๋ยวนั่งรถเมล์สายเดียวกันไปนะ”
ติ๊ง!
[โอเค เค้าไปฝังยาคุมมาแล้วนะ]
“เจ็บหรือเปล่า”
ติ๊ง!
[ไม่เจ็บเลย]
ติ๊ง!
[แต่แม่บอกว่ามาร์ชต้องใส่ถุงยางเหมือนเดิมนะ จะติดโรคน่ะ] เด็กหนุ่มยกยิ้มให้กับข้อความของคนเป็นแฟน เขาพิมพ์ตอบกลับด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
“ครับ ฝากขอโทษแม่ด้วยนะ” มาร์ชนอนพิมพ์ข้อความหาแฟนสาว แม้นว่าคนเป็นแม่จะไม่ชอบ แต่เขาก็ชอบเธอไปแล้ว เด็กหนุ่มไม่สนใจหรอกว่าแม่จะว่าอย่างไร...
บ้านไม้โบราณย่านชุมชนใจกลางกรุง แสงไฟสีส้มท่ามกลางความมืดทำให้รอบบ้านไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ควรจะเป็น สายตาคมนั่งมองบ้านหลังนี้ภายในรถคันหรูราวกับกำลังรอให้ใครสักคนเปิดประตูออกมา ซึ่งบนรั้วบ้านมีป้ายสี่เหลี่ยมห้อยไว้ว่า
‘พลตรี ยศพล เกษมานะ’
พาวินท์นั่งมองอยู่อย่างนั้นพร้อมกับความทรงจำในวัยเยาว์ค่อย ๆ ไหลเข้ามาในหัว เขากระตุกยิ้มบาง ๆ
“ถ้าพ่อเห็น พ่อยิงวินท์แน่...”
“โดนยิงไม่กลัว กลัวปานจะไม่หายงอนวินท์”
“ชิ๊! ก็ใครบอกให้วินท์ไม่มาตามนัดอ่ะ...เค้ารอนานมากเลยนะ”
“ก็มาแล้วนี่ไง ช่วยวินท์ด้วย...จะตกแล้ว”
“หึ...” พาวินท์หัวเราะออกมาเบา ๆ ยามนึกถึงอดีตในวันวานที่เขาปีนหน้าต่างขึ้นบ้านของปานวาด ขณะที่พ่อของเธอเป็นนายทหารยศสูง
“คงมีความสุขดีสินะ...ทำไมมีแค่ฉันที่คิดถึงเธอ” เขาว่าออกมาราวกับคนละเมอ พาวินท์มองเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของผู้ชายภายในบ้านหลังนี้ราวกับว่ากำลังจะเดินมาเปิดประตูบ้าน ทำให้เขารีบขับรถออกไปในทันที
“อะไรคะคุณ”
“ไม่รู้ ใครมาจอดรถหน้าบ้านนานสองนาน พอจะไปดูก็ขับหนี”
“หรือว่า...ปานหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนหน้าตื่นทันที เธอเอ่ยพูดขึ้นด้วยความตกใจ ทว่า
“จะพูดถึงมันทำไม คงไปเสวยสุขกับผัวอยู่ที่ไหนสักที่!” ยศพลตวาดเสียงดังลั่นอย่างคนไม่พอใจ ทำเอาร่างบางของคนเป็นเมียสะดุ้งเฮือกอย่างแรง เธอยกไหล่ขึ้นด้วยความตกใจระคนหวาดกลัวเสียงตวาดนี้...