...ดวงหน้าใสไร้เครื่องสำอาง เธอจ้องมองใบหน้าของเขาแม้นว่าตอนนี้ทั้งตัวจะสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ปานวาดทำใจดีสู้เสือมองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาแข็งกระด้างไร้เยื่อใย ขณะที่สายตาคมกำลังไล่มองใบหน้าจิ้มลิ้มนี้อย่างไม่ลดละ
เธอมีดวงตากลมโตสีน้ำตาล ใบหน้าเล็กนี้ยังมีเคล้าเดิมของเด็กสาวที่เคยคบหากับเขาเมื่อสิบหกปีที่แล้ว จมูกโด่งรั้นเล็ก ๆ ของเธอรับกับริมฝีปากรูปกระจับอย่างลงตัว ปานวาดมองเขาตาขวางเหมือนกับเด็กสาวในวันนั้น
“ปล่อย...” หญิงสาวสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของฝ่ามือหนา เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทำไมพาวินท์มีสายตาเวทนาเธออย่างนี้
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
“แต่ฉันไม่มี”
“ฉันไม่ได้ถามให้เธอปฏิเสธ”
“แล้ว?”
“ฉันบังคับ” เขาว่าเสร็จก็ยื่นฝ่ามือไปคว้าต้นแขนของเธอพร้อมกับออกแรงลากอย่างแรง แต่ปานวาดก็ไม่ขยับตาม เธอทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นทันที
“จะเอายังงี้ใช่ไหม”
“บ้าหรือเปล่า ไม่เห็นหรือไงว่าคนมองอยู่” หญิงสาวกัดฟันพูด คนหลายร้อยคนในโรงงานกำลังหันมามองเขากับเธอเป็นตาเดียว ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปมองรอบกาย เขาตะคอกออกมาเสียงดังลั่นทันที
“ไม่มีงานทำหรือไง!!!” ทำเอาพนักงานโรงงานสะดุ้งโหยงไปตาม ๆ กัน รีบหันกลับไปทำงานของตัวเองแทบไม่ทัน ซึ่งปานวาดก็อาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้นหมายจะเดินหนีคนตัวโตแต่ก็ไม่ทันเมื่อเขาคว้าตัวเธอพร้อมกับอุ้มขึ้นด้วยพละกำลังเหนือสตรี
“กรี๊ดดด! ทำบ้าอะไรของคุณ!!”
“ทำบ้าไง! ถ้าไม่บ้าก็ไม่ทำแล้ว” พาวินท์สาวเท้าเดินเมื่ออุ้มคนตัวเล็กขึ้นพาดบ่าได้สำเร็จ ขณะที่การกระทำของรักษาการประธานบริษัทนั้นทำเอาทีมบริหารยืนอึ้งกิมกี่ทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่
...พาวินท์อุ้มร่างบางเข้ามาในห้องของผู้จัดการโรงงาน ซึ่งตอนนี้ผู้จัดการโรงงานก็ไม่รู้ว่าตนควรทำตัวอย่างไรเช่นกัน เขาไม่ได้ตามหลังคนเป็นนายเข้ามา
พรึ่บ!
“จะตีให้ตายเลยหรือไง” พาวินท์ว่าขึ้นหลังจากปล่อยคนตัวเล็กลงบนโซฟาตัวยาวภายในห้องทำงานนี้ เขาลูบแผ่นหลังของตัวเองปอย ๆ หลังจากถูกปานวาดระดมทุบตีอย่างแรงไปเมื่อครู่
“หึ่ย! ฉันมีงานต้องทำ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ถึงกระนั้นส่วนสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบก็ไม่อาจทำให้สามารถมองใบหน้าของเขาที่สูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบแปดนี้ได้ถนัด
“หึ...ได้ยินว่าจะโดนไล่ออกนี่” พาวินท์เหยียดยิ้ม ขณะที่สิ่งที่ได้ยินทำเอาปานวาดพูดไม่ออก บรรยากาศรอบกายมาคุทันที
...สายตาคมเลื่อนมองคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งสายตาสงสารปนเวทนานั้นทำให้ปานวาดรู้สึกอับอายในสภาพของตัวเอง เธอเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาไป แต่ดูสภาพของคนบอกเลิกอย่างเธอสิ...มันทุเรศทุรังสิ้นดี
“เธอท้อง...ทำไมไม่บอกฉัน”
“_”
“ลูกของฉันทั้งคน” ปานวาดกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แสดงว่าวันนั้นที่พาขวัญพูดถึง...เป็นเขาจริง ๆ ด้วย
“ไม่ใช่ลูกของคุณ”
“หึ...ฉันทำเองกับมือ กับ...”
“...ทะลึ่ง!” ปานวาดตาโตเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลงมองเป้ากางเกงของตัวเอง เพียงแค่นี้ก็รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร ไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนี้ออกมาเสียด้วยซ้ำ
“หึ...ชื่อพาขวัญซะด้วย เข้าใจตั้งชื่อลูกนะ...ไม่เหมือนชื่อฉันเลยสักนิด” พาวินท์ประชด เพียงแค่นี้ก็รู้ว่าเธอจงใจตั้งชื่อลูกให้คล้องจองกับชื่อของเขา
“เพ้อเจ้อ คนในประเทศนี้ชื่อพาขวัญกันหลายร้อยคน” ปานวาดว่าอย่างเลิ่กลั่ก ทำเอาพาวินท์เหยียดยิ้มทันที ปานวาดของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“แต่ไม่มีพาขวัญไหนมีพ่อชื่อพาวินท์ใช่ไหมล่ะ...”
“_”
“ยอมรับมาซะเถอะ พาขวัญเป็นลูกสาวของฉัน” เขาว่าเสียงเข้ม ไม่ว่าจะให้ทำอย่างไรตนก็จะเอาลูกมาเลี้ยงเองให้ได้
“ก็แล้วแต่จะคิด คุณไม่มีสิทธิ์อะไร”
“ไม่มีงั้นเหรอ...ฉันเป็นผัวเธอไง” พาวินท์ยังคงถือตนเป็นสามีของเธอแม้นว่าจะเลิกรากันไปแล้ว ทว่า
“เราเลิกแล้วกันไปแล้ว...” คำพูดของเธอทำเอาชายหนุ่มของขึ้นทันที
“ใช่!! ฉันไม่เคยลืมว่าเธอบอกเลิกฉันยังไง เธอทำฉันเจ็บมากแค่ไหนปานวาด! ฉันไม่เคยลืม...” เขาเค้นเสียงใส่ใบหน้าของเธอ แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นทำให้ปานวาดเสมองไปทางอื่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะข่มเปลือกตาปิดลงระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้
“แต่ลูกฉัน...ไม่ควรอยู่กับผู้หญิงแบบเธอ”
“แบบฉัน? แบบฉันมันยังไง มันเป็นยังไง!” ปานวาดหายใจฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจให้กับคำพูดดูถูกดูแคลนจากเขา
“_” ชายหนุ่มไม่ตอบ เพียงแค่ไล่สายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนานี้ทำให้เจ้าของร่างบางยกมือทั้งสองข้างขึ้นผลักอกของเขาอย่างแรง
ผลั่ก!!
“ถึงฉันจะไม่มีปัญญาเลี้ยงเขา อึก...ถึงฉันจะไม่มีปัญญาเลี้ยงเขาให้อยู่ดีกินดีได้ แต่ฉัน...อึก ไม่มีทางทิ้งเขาแน่” น้ำตาไหลอาบแก้มใสทันทีที่พูดจบ หญิงสาวรู้ตัวดีมาโดยตลอดว่าไม่มีปัญญาเลี้ยงดูให้พาขวัญอยู่สุขสบายได้เท่าเขา แต่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะมองเธอด้วยสายตาเวทนาเช่นนี้
“เธอพูดอย่างกับฉันเป็นฝ่ายทิ้งเธอไป”
“_”
“ปานวาด...อย่างน้อยเธอน่าจะบอกฉัน” พาวินท์รับรู้จากสภาพของเธอตอนนี้แล้วล่ะว่าเจ้าตัวปากกัดตีนถีบมากแค่ไหน ใบหน้าที่ผอมซูบไร้สีสัน เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอบเย็บที่ไม่รู้ว่าขาดมาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาไม่อยากคิดสภาพเลยว่าลูกสาวของเขาจะเป็นอยู่อย่างไร
“ฮึก สะใจใช่ไหม คุณคงสะใจน่าดู...มีความสุขดีนี่...หึ กับผู้หญิงพวกนั้น”
“_”
“คุณมันดีมากหรือไง! คนแบบคุณ...มันดีมากเลยเหรอ”
“ไม่ใช่...ไม่ได้หมายความแบบนั้น” พาวินท์ก้าวขาเข้าหาเธอ แต่ร่างบางก็ขยับถอยหนี เธอมองเขาผ่านม่านน้ำตา
“ในบางครั้งฉันก็รู้สึกว่าพาวินท์ที่ฉันรู้จักมันไม่มีอยู่จริง จนวันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า อึก...ฉันคิดถูกจริง ๆ”
“_”
“ไม่ว่าคุณจะมองยังไง ฉันคนนี้ ฮึก...ก็จะทำทุกอย่างเพื่อลูก ไม่ทิ้งไปไหน” ปานวาดว่าพร้อมกับน้ำตาหลั่งริน เขามองเธอแบบนี้มันไม่ผิดหรอก เธอไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกได้เท่าเขา แค่นี้ก็รู้สึกแย่มากพอแล้วยังมาเจอสายตาดูแคลนจากเขาอีก
“ไม่ใช่ ฉันแค่คิดว่าถ้าพาขวัญ...” พาวินท์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรมันก็ดูเป็นการแก้ตัวที่เขาเพิ่งพูดดูถูกเธอไป ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องเพื่อระงับอารมณ์ความรู้สึก ขณะที่ร่างบางก็ได้ก้าวขาเดินออกจากห้องนี้ไปโดยไม่ได้เหลียวหลังมองเขาอีก ซึ่งชายหนุ่มไม่ได้เดินตามอย่างที่อยากทำ...เขาคิดว่าตัวเองควรพักแล้วคิดทบทวนตัวเองเสียก่อน
น้ำตาของเธอ...
มันยังคงทำให้เขาเจ็บปวดตามไปด้วยเสมอ แม้นมันจะนานมาแล้วก็ตาม...