ตอนที่ 4 ชีวิตนี้ก็ดีไม่น้อย

2344 Words
หนึ่งเดือนพ้นผ่าน เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงวัยสิบปีกำลังเชิญชวนลูกค้าที่กำลังเดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านขนมของท่านยายให้แวะอุดหนุนขนมของพวก ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูเด็กหญิงที่ขยันขันแข็ง จึงแวะเวียนเข้าไปซื้อขนมของซุนฉีติดไม้ติดมือกลับไป แต่ก็มีลูกค้าประจำอยู่หลายคนที่แวะเวียนมาอุดหนุนเพราะชื่นชอบในรสชาติของขนมร้านซุนฉี “ข้าขอซื้อซาลาเปากับเซาปิงอย่างละห้า” เสียงของลูกค้าประจำดังขึ้นมาทำให้ชิงเหมยหันไปมอง ครั้นได้เห็นว่าเป็นผู้ใดนางจึงคำนับเขา ครั้นคุณชายหนุ่มพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้ นางจึงหันกลับไปสนใจเรียกลูกค้าที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านของท่านยายต่อ คุณชายรองสกุลเฉียวยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนที่น้ำเสียงที่คุ้นเคยจะดังขึ้นเบื้องหน้า “มาแต่เช้าเลยหรือเจ้าค่ะคุณชาย” “วันนี้ขายดีหรือไม่” เด็กหนุ่มถามผู้ที่ทักทายเขาออกมา “วันนี้ขายดียิ่งนักเจ้าค่ะ คงจะเป็นเพราะเหมยเอ๋อร์หนึ่งเดือนมานี้นางขยันขันแข็งเรียกลูกค้าเข้าร้านมาเรื่อยๆ นี่ข้าน้อยกับนางก็ปั้นแป้งทำซาลาเปากันไปสามรอบแล้วเจ้าค่ะ” ซุนฉีมองไปยังร่างเล็กที่อยู่หน้าร้านก่อนที่จะหันมาคีบซาลาเปาและขนมเซาปิงใส่ปิ่นโตไม้ที่บ่าวรับใช้คนสนิทคุณชายสกุลเฉียวนำมา “เหมยเอ๋อร์… นางกลับมาปั้นแป้งช่วยท่านได้แล้วหรือ” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี เพราะหลังจากที่นาหายป่วย เขาก็ได้ยินท่านยายซุนเหมยบ่นว่านางหลงลืมการปั้นแป้งซาลาเปาไปเสียแล้ว “เจ้าค่ะ…. ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีกว่าแต่ก่อนอีกเจ้าค่ะ คุณชายลองดูนี่สิเจ้าคะ มิใช่มีเพียงแค่ก้อนกลมๆ เท่านั้น นางยังสามารถปั้นเป็นรูปสัตว์และผักผลไม้หลายอย่างทำให้ร้านของข้าน้อยมีลูกค้าเป็นพวกเด็กๆ มากยิ่งขึ้น” ซุนฉีตอบลูกค้าประจำของร้านพลางกล่าวชื่นชมหลานสาวของนางด้วยความภูมิใจ เงินที่เคยลดน้อยลงไปยามที่หลานสาวเจ็บป่วยยามนี้ราวกับว่าได้กลับคืนมาหมดแล้ว เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น “นี่ค่าขนม… ถ้าเช่นนั้นข้าลาล่ะ” คุณชายหนุ่มจ่ายเงินให้แก่ซุนฉีแล้วจึงเดินออกจากร้านไป ชิงเหมยกำลังยุ่งๆ นางจึงไม่ได้คำนับลาเขา “ดื่มน้ำก่อนเถิดเหมยเอ๋อร์” ครั้นลูกค้าซาลงชิงเหมยจึงกลับเข้ามาพักภายในร้าน “เหลืออีกเยอะหรือไม่เจ้าคะท่านยาย” ซุนฉียิ้มพลางตอบหลานสาวออกมา “หมดแล้วจ้ะ ครานี้ก็เก็บของกลับเรือนกันเถิด อืม… พรุ่งนี้ที่สำนักศึกษาหวุนซีจะรับสมัครศิษย์ใหม่ เป็นการสอบคัดเลือก ถ้าเจ้าสอบผ่านยายอนุญาตให้เจ้าศึกษาที่นั่นได้” เพราะสำนักศึกษาหวุนซีนั้นคัดเลือกศิษย์เข้าศึกษาโดยใช้การสอบเป็นการตัดสิน ไม่มีแบ่งแยกชนชั้น เน้นความสามารถล้วนๆ ไม่ว่าศิษย์จะมาจากชนชั้นใดก็ตาม หากสอบผ่านก็สามารถเข้าศึกษาที่นั่นได้ ถึงแม้นว่าการศึกษาจะไม่สำคัญสำหรับสตรีที่มิอาจสอบเป็นขุนนางเพราะกฏของบ้านเมือง แต่ซุนฉีก็อยากให้หลานสาวได้มีวิชาความรู้ติดตัว หากนางเติบโตขึ้นแล้วต้องออกเรือนไปกับผู้ใดสักคน นางก็อยากให้หลานสาวไม่ต้องอับอาย “จะ…จริง หรือเจ้าคะท่านยาย” ชิงเหมยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้น เพราะนี่คือหนึ่งในความต้องการของชิงเหมย เจ้าของร่างที่แท้จริง “จริงสิ.. เจ้ากลับไปที่เรือนก่อนยายเถิดลูก กลับไปอ่านตำรา เดี๋ยวยายเก็บกวาดร้านเอง” ซุนฉีบอกหลานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชิงเหมยสวมกอดนางด้วยความปลื้มใจก่อนที่ร่างเล็กจะผละออกแล้วคำนับลานาง ชิงเหมยเดินออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาของซุนฉีที่มองหลานสาวด้วยความเอ็นดู ร่างเล็กเยื้องย่างไปตามเส้นทางจากตลาดซานฉีสู่เรือนของท่านยาย ระหว่างทางมีชาวบ้านทักทายนางเช่นเคย ทุกคนเอ็นดูเด็กหญิงที่เป็นเด็กขยัน คงจะมีเพียงเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่รังเกียจที่นางเป็นเด็กกำพร้า ไร้พ่อขาดแม่ต้องอาศัยอยู่กับยายตามลำพัง “โอ๊ะ!!! ดูสิ ผู้ใดกำลังจะเดินผ่านไปกัน” เสียงเล็กของเด็กหญิงแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยมดังขึ้นมาจากกลุ่มเด็กทั้งชายและหญิงวัยเดียวกับชิงเหมยที่จับกลุ่มนั่งเล่นกัน “เหตุใดพักนี้ไม่เห็นเจ้าแวะมาเล่นกับพวกข้าเลยหนาชิงเหมย” ผู้ถูกขานนามหยุดชะงักพลางมองไปยังเด็กกลุ่มนั้น เด็กเหล่านี้มิใช่มิตรสหายของชิงเหมย เป็นเด็กกลุ่มที่คอยกลั่นแกล้งรังแกนางในอดีต ในกลุ่มนี้มีทั้งบุตรชายและบุตรีของขุนนาง บุตรชายและบุตรีของเศรษฐี ‘เล่นเยี่ยงนั้นหรือ รังแกข้าล่ะสิไม่ว่า’ เด็กหญิงคิดในใจก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พลางมองไปรอบๆ ที่มีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าหลายคนมองมาที่นางเช่นกัน “โอ้… คุณชาย…คุณหนู ข้าน้อยต้องขออภัยยิ่งนักเจ้าค่ะที่มิได้มองพวกท่าน" ชิงเหมยแสร้งตอบกลับออกมา “จิ๊!!! กล้าดีเยี่ยงไรที่ทำเป็นมองไม่เห็นพวกข้า พวกข้าหาใช่มีเพียงหนึ่งคนเสียอย่างไรกัน” หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ “เป็นเพราะข้าน้อยมิได้มองซ้ายมองขวา ข้าน้อยเอาแต่มองหนทางข้างหน้าจึงทำให้ไม่เห็นว่าพวกท่านนั่งเล่นอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” ผู้ที่ไม่เคยตอบกลับด้วยประโยคที่ยืดยาวกลับตอบออกมาจนพวกคุณชายคุณหนูเหล่านี้รู้สึกงุนงง "แล้วก็…. หนึ่งเดือนมานี้ที่ข้าน้อยมิได้มาเล่นด้วยเป็นเพราะข้าน้อยต้องช่วยท่านยายทำขนมขาย หากข้าน้อยมิทำเช่นนั้นแล้วเอาแต่มาเล่นอยู่กับพวกท่าน ท่านยายของข้าน้อยคงจะเหน็ดเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นข้าน้อยจะกลายเป็นเด็กที่อกตัญญูมิใช่หรือเจ้าคะ” คำพูดคำจาที่เกินวัยของชิงเหมยทำให้คุณชายคุณหนูเหล่านี้ยิ่งรู้สึกงุนงงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกคราชิงเหมยนั้นมักจะสงบเงียบ ไร้ปากเสียงใดๆ ยามนี้กลับกล้ามองหน้าสบตาพวกตน พวกพ่อค้าแม่ค้าที่มองเหตุการณ์อยู่ก็พากันนึกชื่นชมชิงเหมยที่เห็นความเหน็ดเหนื่อยของท่านยายของนางสำคัญกว่าการมาเล่นสนุก “ที่เขาบอกว่าเจ้าสลบไปสามคืนแล้วตื่นมาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนี่คงไม่ใช่เรื่องโป้ปดสินะ” คุณหนูสกุลชิวเอ่ยถามออกมา “ข้าน้อยมิได้เปลี่ยนไปหรอกเจ้าค่ะคุณหนู เพียงแต่ข้าน้อยได้เติบโตขึ้นเท่านั้นเอง” คำตอบของชิงเหมยเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี “คิกๆๆ เติบโตอันใดกัน เจ้าก็วัยเดียวกับพวกข้าที่ต้องเล่นสนุกสิ โอ้…ใช่สิ เจ้าดูอวบอ้วนขึ้นนะชิงเหมย หรือว่าเจ้ากินเยอะจนยายของเจ้าต้องบังคับให้เจ้าทำงานตอบแทนนาง” “ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ นี่ก็ถึงยามที่ข้าน้อยต้องถึงเรือนแล้ว แต่ว่าข้าน้อยยังคงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ ข้าน้อยยังมีงานที่ต้องทำ” ชิงเหมยคร้านจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กๆ เหล่านี้ นางคำนับลาบรรดาคุณชายและคุณหนูผู้สูงศักดิ์ก่อนที่นางจะรีบสาวเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทางกลับเรือนของท่านยายโดยที่ไม่ได้รั้งรอฟังคำอนุญาตจากเด็กๆ เหล่านี้อีก เด็กทุกคนมองตามนางไปด้วยสายตางุนงงและรู้สึกไม่สนุกด้วยที่เด็กหญิงที่เคยเป็นเด็กอ่อนแอยอมให้พวกตนรังแก วันนี้กลับไม่เกรงกลัวพวกตนเช่นทุกครา “ไม่สนุกเลย หาคนใหม่มาเล่นด้วยเถิด” คุณชายสกุลเฟยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “นั่นสิ!! มิจำเป็นต้องไปเล่นกับนางหรอก ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นยังมิรู้จักเจียมตน” คุณหนูรองสกุลจุนแสดงความคิดเห็นก่อนที่จะมองหาเด็กวัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาด แม้จะมีสาวรับใช้และบ่าวรับใช้คอยติดตามดูแล แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าตำหนิคุณชายและคุณหนูของพวกตน เรือนของซุนฉีเดินจากตลาดซานฉีไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถึง ชิงเหมยเดินไปยังโรงครัวแล้วหยิบจานชามที่ยังไม่ได้ล้างนำมาล้างจนสะอาด จากนั้นจึงเก็บเข้าที่แล้วออกจากโรงครัวมาอาบน้ำ นางรู้สึกเบื่อหน่านกับชีวิตวัยเยาว์เช่นนี้ เพราะหากนางตัวโตกว่านี้นางก็จะสามารถดูแลท่านยายได้ อีกทั้งเด็กเหล่านั้นไม่รู้ว่าจะกลับมาหาเรื่องแกล้งนางอีกคราใด “เหมยเอ๋อร์… น้าหลิงเอาปลามาให้” เสียงเคาะประตูหน้าเรือนดังขึ้น เด็กหญิงที่อาบน้ำแต่งกายเสร็จแล้วกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นไม้ใกล้ประตูเรือนจึงได้ยินเสียงของผู้มาเยือน นางจึงรีบลุกไปเปิดประตูให้คนที่อยู่ด้านนอกครั้นได้รู้ว่าคือเสียงของผู้ใด “ขอบน้ำใจท่านน้าหลิงยิ่งนักเจ้าค่ะ” ชิงเหมยรับปลาที่ท่านน้าจินหลิงที่เป็นเพื่อนบ้านกันส่งให้นาง “ขอบน้ำใจอันใดกัน ท่านยายของเจ้าก็แบ่งปันขนมให้หริ่งเอ๋อร์อยู่บ่อยครา” จินหลิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “แล้วนี่ท่านยายของเจ้ายังมิกลับมาจากตลาดอีกหรือ” “ยังเจ้าค่ะ นางให้ข้ากลับมาก่อน เพราะพรุ่งนี้ข้าจะต้องไปสอบเข้าสำนักศึกษาหวุนซีเจ้าค่ะ นางเลยให้ข้ามาอ่านตำรา” นางตอบหลิ่วจินหลิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ครั้นได้นึกว่าจะได้มีวิชาความรู้จากการได้ไปสำนักศึกษาภายในใจนางก็รู้สึกมีแต่ความยินดี “น่าเสียดายที่หริ่งเอ๋อร์เยาว์วัยกว่าเจ้า มิเช่นนั้นน้าจะให้นางไปสอบเข้าสำนักศึกษาพร้อมกับเจ้าแล้ว” หลิ่วหริ่งยามนี้วัยเพียงแปดปีซึ่งห่างจากชิงเหมยถึงสองปี ชิงเหมยยิ้มจางๆ ออกมา น้องหริ่งเอ๋อร์นั้นเป็นน้องสาวข้างเรือนที่นางเอ็นดู ตั้งแต่นางฟื้นมาในชีวิตนี้ดูเหมือนจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นมิตรที่ดีของชิงเหมยอย่างแท้จริง แม้นชีวิตนี้จะมีญาติมิตร คนใกล้ชิดหรือสหายเพียงน้อยนิด แต่ชีวิตการเป็นชิงเหมยนี้ก็ดีไม่น้อย เพราะที่นี่นั้นสงบปราศจากศึกสงครามต่างจากแผ่นดินที่นางจากมายิ่งนัก หลังจากท่านน้าหลิ่วจิงหลิงกลับไปได้ไม่นาน ท่านยายของชิงเหมยก็เดินทางกลับมาจากขายของที่ตลาดซานฉี ชิงเหมยอ่านตำราจนจดจำได้ทุกอย่าง ชาตินี้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีสติปัญญาดียิ่งนัก อ่านสิ่งใดหรือเรียนรู้อันใดก็จดจำได้หมด หรืออาจจะเป็นเพราะชิงเหมยคนเก่าเป็นเด็กที่มีสติปัญญาดีมาตั้งแต่เกิดแต่ขาดการสนับสนุนก็เป็นได้ “หนึ่งก้านธูปก่อนที่ท่านยายจะกลับมาถึงเรือน ท่านน้าหลิงนำปลามาฝากเจ้าค่ะ” เสียงเล็กบอกซุนฉีขณะที่นางเข้ามาในเรือนแล้วเห็นหลานสาวกำลังรดน้ำดอกไม้ที่นางปลูกไว้อยู่ “งั้นหรือ… แล้วนี่เจ้าอ่านตำราเข้าใจแล้วหรือถึงได้มารดน้ำดอกไม้ให้ยายอยู่นี่” “ข้าจดจำทุกอย่างในตำราได้แล้วเจ้าค่ะท่านยาย” ถึงแม้จะรู้สึกไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหลานสาวแต่ซุนฉีก็ไม่อยากบังคับหลานสาว วัยนี้เป็นวัยที่กำลังเล่นสนุกแต่ทว่าชิงเหมยกลับดูเติบโตเกินวัย “ถ้าเช่นนั้นเย็นนี้ยายทำปลาเปรี้ยวหวานให้กินเป็นมื้อเย็นดีหรือไม่” ชิงเหมยพยักหน้า ท่านยายนั้นทำอาหารได้รสเลิศยิ่งนัก หากเปิดร้านอาหารนางก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อย แต่ด้วยทรัพย์สมบัติของพวกนางจึงทำได้แค่เปิดร้านขายขนมเล็กเพียงเท่านั้น ซุนฉียิ้มให้หลานสาวก่อนที่นางจะเดินไปยังโรงครัว ชิงเหมยเข้าไปช่วยท่านยายของนางก่อไฟเพราะนางทำได้เพียงเท่านี้ แม้นางจะได้มาเกิดใหม่แต่ฝีมือการทำอาหารของนางนั้นก็ยังไม่ได้เรื่องเช่นชาติภพก่อน และชิงเหมยที่จากไปตั้งแต่เยาว์วัยก็คงจะทำอาหารไม่เป็นเช่นกัน หลังจากทำอาหารเสร็จสองยายหลานก็นั่งกินมื้อเย็นร่วมกัน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากซุนฉีที่เป็นยายของนางทำให้ชิงเหมยรู้สึกมีความสุข ชาติภพก่อนของนางนั้นต้องคอยหวาดระแวงกับการบุกมาของข้าศึก ทำให้ไม่อาจมานั่งกินข้าวอย่างสบายใจได้ ยามที่นางสิ้นใจนั้นนางไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นคนที่ร่ำรวยหรือเป็นลูกหลานของพวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ นางเพียงหวังว่าชีวิตใหม่ของนางจะมีคนที่รักนาง เอ็นดูนาง นั่งกินข้าว พูดคุย หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกัน เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว… ชีวิตใหม่นี้ก็ดีไม่น้อย แม้ต่อไปจะมีอุปสรรค นางก็จะฝ่าฟันไปให้ได้ เพื่อรักษารอยยิ้มของสตรีตรงหน้า จนกว่าจะสิ้นวาสนาต่อกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD