ตอนที่ 3 จากมือที่เคยถือดาบต้องมาปั้นแป้ง

2340 Words
หลังจากหลานสาวตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับไปถึงสามคืน ซุนฉีก็ได้ไปตามท่านหมอสวีให้กลับมาช่วยตรวจดูอาการของชิงเหมยอีกครา คำเอื้อยที่เพิ่งได้กลับมาเกิดใหม่ยังคงไม่อาจปรับตนให้เข้ากับชีวิตใหม่ได้ แม้นภาพในอดีตของเด็กหญิงจะวนเวียนเข้ามาภายในห้วงนึกคิดของนาง ราวกับได้รับรู้ทุกเหตุการณ์ที่เจ้าของร่างประสบพบเจอมาตั้งแต่เกิด เหตุใดเด็กหญิงผู้นี้ถึงช่างอาภัพและน่าสงสารยิ่งนัก เทียบกับชีวิตของนางในชาติภพก่อนแล้ว ชีวิตของเด็กหญิงนั้นช่างโชคร้ายกว่านางยิ่งนัก ทั้งสูญเสียบิดาที่เป็นขุนนางไปในสนามรบ และสูญเสียมารดาไปตั้งแต่นางเยาว์วัย ตระกูลของบิดาก็ทอดทิ้งทำให้นางต้องมาอาศัยอยู่กับท่านยายที่เป็นเพียงแม่ค้าขายขนมในตลาด ถูกเด็กๆ วัยเดียวกันที่เป็นลูกหลานของขุนนางกับพวกเศรษฐีกลั่นแกล้งรังแก “เหมยเอ๋อร์… ไหนขอลุงตรวจดูอาการของเจ้าเสียหน่อยเถิด…” เด็กหญิงนอนมองผู้ที่นางรู้มาจากท่านยายว่าเขาเป็นท่านหมอที่รักษาให้แก่นางอีกทั้งยังเป็นสหายเก่าของท่านยาย เรียวแขนเล็กยื่นออกไปให้เขาจับชีพจรที่ข้อมือของนาง ใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัยเผยรอยยิ้มออกมา “อาการของนางเป็นเช่นไรบ้างท่านหมอสวี” ซุนฉีเอ่ยถามอาการของหลานสาวด้วยความร้อนใจ “ยามนี้อาการของนางดีขึ้นแล้วล่ะซุนฉี เพียงแค่เจ้าให้นางได้กินอาหารบำรุงพละกำลังเสียหน่อย และกินยาตามที่ข้าเขียนให้ ร่างกายของนางก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม” ซุนฉียิ้มออกมาทั้งน้ำตายามที่ได้ยินว่าอาการของหลานสาวดีขึ้นแล้ว “ประเดี๋ยวเจ้านำเทียบยานี้ไปที่โรงหมอของข้า ข้าจะลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง” สวีจิ้นจงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยินดียามที่ยื่นใบเทียบยาที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จให้แก่สหายเก่า “ได้เยี่ยงไรกัน เพียงแค่ท่านมาตรวจอาการของนางให้แบบไม่คิดเงินเช่นนี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณแก่ข้าและนางยิ่งนักแล้ว” สวีจิ้นจงรู้ดีว่าถ้าซุนฉีกล่าวเช่นนี้แล้วคงจะไม่ยอมรับน้ำใจที่เขาจะลดค่ายาให้เด็กหญิงเป็นแน่ เขาจึงยินยอมที่จะให้นางจ่ายค่ายาในราคาเต็ม สวีจิ้นจงกล่าวลาสหายเก่าพลางส่งยิ้มให้แก่เด็กหญิง ก่อนที่เขาจะเดินออกจากเรือนของสองยายหลานไป “เหมยเอ๋อร์… เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง หากไม่สบายที่ใดให้บอกยาย อย่าได้เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ผู้เดียว เข้าใจหรือไม่” ซุนฉีหันกลับมาถามไถ่หลานสาวที่ส่งยิ้มมาให้นาง เด็กหญิงพยักหน้าพลางคิดในใจว่า ‘ท่านยายของชิงเหมยนั้นช่างรักหลานสาวของนางยิ่งนัก จากนี้ไปข้าที่มาเกิดใหม่ในร่างของชิงเหมยนั้น คงจะต้องเป็นตัวแทนของเด็กหญิงดูแลท่านยายของนางให้ดี’ “เดี๋ยวยายจะไปซื้อยากับทำอาหารให้เจ้ากิน เจ้าก็นอนพักอีกสักนิดเถิดเหมยเอ๋อร์ เดี๋ยวยายกลับมา” เด็กหญิงพยักหน้าเป็นคำตอบ ยามนี้นางยังไม่กล้าพูดคุยกับสตรีที่เป็นยายของเด็กหญิงมากนัก แม้นจะเข้าใจทุกคำพูดที่นางกล่าวออกมา ซุนฉีห่มผ้าให้หลานสาวก่อนที่จะออกจากห้องนอนของหลานสาวไป ผู้ที่นอนนิ่งอยู่ก่อนหน้าผุดกายลุกขึ้นนั่งพลาวสำรวจรอบๆ ห้อง ดูแปลกตายิ่งนัก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของเจ้าของร่าง แม้จะละร่างนี้ไปแล้วแต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้นางได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมา ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินสำรวจเรือนหลังเล็กหลังนี้ พื้นที่ของเรือนหลังนี้นั้นไม่กว้างขวางแต่ทว่ามีรั้วรายล้อมเอาไว้กั้นเขตแดนของแต่ละเรือนอย่างชัดเจน ต่างจากบ้านเรือนที่คำเอื้อยเคยอยู่อาศัยมาในอดีตชาติ นางเดินสำรวจเรือนหลังเล็กเพียงไม่นานก็ดูจนทั่วทั้งบริเวณ ครั้นนึกถึงหญิงวัยกลางคนที่ออกไปซื้อยาให้นางได้เกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว นางจึงต้องรีบกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อไม่ให้สตรีที่เป็นท่านยายของนางในชาติภพนี้ต้องเป็นกังวล ที่นางลุกขึ้นมาทั้งยังไม่มีเรี่ยวแรง หลังจากกลับมาจากตลาด ซุนฉีก็รีบเข้าครัวไปทำอาหารและต้มยาให้หลานสาวเพียงคนเดียวของนาง กลิ่นหอมของควันไฟปะทะกับกลิ่นของอาหารที่ลอยเข้ามาภายในห้องที่ชิงเหมยนอนทำให้ท้องของเจ้าของร่างเล็กร้องออกมาเพราะความหิวโหย ก็ร่างกายนี้หลับใหลไปนานถึงสามวันสามคืน “เหมยเอ๋อร์… ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนเถิดจะได้กินยา” เสียงของท่านยายดังออกมาจากหน้าประตูพร้อม ชิงเหมยจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วลงจากเตียงนอนไปยังโต๊ะที่อยู่ใจกลางของห้อง ซุนฉีมองหลานด้วยความเป็นห่วง นัยน์ตากลมมองอาหารตรงหน้าก็กลืนน้ำลายลงคอ “ค่อยๆ กินล่ะ เจ้านอนหลับไปถึงสามคืน ยายเกรงว่ากระเพาะของเจ้าจะรับอาหารเหล่านี้มิทัน” เด็กหญิงพยักหน้าพลางหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มในชามขึ้นมากิน ปลาแห้ง กับเกี๊ยวผัก แม้นจะเป็นอาหารที่แปลกตาแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางกินไปเงียบๆ จนหมด ซุนฉีมองหลานด้วยความห่วงใย ก่อนที่จะเดินออกไปรินยาต้มมาให้ “ถึงจะขมหน่อยก็กินให้หมดล่ะเหมยเอ๋อร์ เจ้าจะได้มีเรี่ยวมีแรง ร่างกายก็จะได้กลับมาแข็งแรงเช่นก่อน” ยาต้มกลิ่นฉุนนัก แต่มีหรือผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่จนถึงวัยสิบแปดปีเช่นคำเอื้อยจะกินไม่ลง นางยกถ้วยยาต้มขึ้นมากระดกจนหมดในคราเดียว ซุนฉียิ้มออกมาพลางกล่าวชื่นชม “เก่งมากหลานยาย เอาล่ะ…ครานี้ก็ไปพักผ่อนเสียเถิด อืม… พรุ่งนี้ยามอิ๋นยายต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนมไปขายที่ร้าน เจ้าก็นอนพักผ่อนอยู่ที่เรือนอีกสักสองสามวันแล้วค่อยไปช่วยยายก็ได้” “เจ้าค่ะท่านยาย” เหมือนนี่จะเป็นคราแรกที่นางได้ยินเสียงของหลานสาวตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมา ซุนฉียิ้มพลางเก็บถ้วยชามเพื่อเอาออกไปล้าง สามวันต่อมา ร้านขายขนมของซุนฉีในวันนี้นั้นดูจะมีลูกค้ามาอุดหนุนมากกว่าทุกวัน เป็นเพราะเด็กหญิงที่กำลังป่าวร้องเชิญชวนลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อขนมที่ร้าน ผู้ใดผ่านมาเห็นนางเข้าก็รู้สึกเอ็นดู เด็กที่ขยันขันแข็งเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก ยิ่งหลังจากที่ได้รับรู้เรื่องที่ว่าเด็กหญิงผู้อาภัพต้องล้มป่วยและนอนหลับไปนานถึงสามคืนทุกคนจึงพร้อมใจกันมาอุดหนุนขนมของซุนฉีเพราะอยากช่วยเหลือนาง ซุนฉีเป็นคนดีและมีน้ำใจ ยามที่นางลำบากจึงไม่มีผู้ใดในตลาดเมินเฉยต่อนาง ครั้นเห็นว่าซาลาเปากับเกี๊ยวใกล้จะหมด สองยายหลานจึงช่วยกันลงมือปั้นแป้งอย่างเคย แต่สิ่งที่ทำให้ซุนฉีรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือฝีมือการปั้นแป้งของหลานสาวนั้นเปลี่ยนไป ดูเชื่องช้าลงจากที่เคยและดูเละเทะไม่จับก้อนเช่นก่อนหน้า หรือการล้มป่วยลงจะทำให้หลานสาวของนางลืมเลือนการปั้นแป้งไปเสียแล้ว “เหมยเอ๋อร์… ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะช่วยยายปั้นแป้งได้ไวกว่านี้อีกหนา หากเจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยดีกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนดีหรือไม่ อีกไม่นานก็ยามโหย่วแล้ว" ซุนฉีกล่าวออกมา ชิงเหมยจึงชะงักมือพลางมองก้อนแป้งตรงหน้าของนางกับของท่านยายมันช่างแตกต่างกันยิ่งนัก แต่จะมิให้แตกต่างกันได้เยี่ยงไรกัน ก็สองมือของนางนั้นเคยถือแต่ดาบคอยฟาดฟันข้าศึกศัตรูผู้มารุกรานผืนแผ่นดิน มิใช่มาปั้นแป้งเช่นนี้ แม้นว่าในอดีตที่นางยังเยาว์วัยจะเคยช่วยแม่ทำขนมต้มมาบ้าง แต่ก็มิได้ยุ่งยากเช่นนี้ “ข้าขออภัยท่านยายเจ้าค่ะ ดูเหมือนระหว่างที่ข้าล้มป่วยข้าได้หลงลืมบางสิ่งบางอย่างในชีวิตนี้ไปไม่น้อย” ในเมื่อท่านยายของชิงเหมยเข้าใจว่าผลของการกระทำในยามนี้ของหลานสาวคือการที่นางล้มป่วยและหลับไปถึงสามคืน ผู้ที่มาเกิดใหม่อย่างคำเอื้อยจึงเลือกใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการที่นางอาจจะลืมเลือนการกระทำบางอย่างในอดีตของนางไปบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่คำเอื้อยจะสามารถทำได้เช่นเดียวกับที่ชิงเหมยทำ “มิเป็นอันใดหรอกเหมยเอ๋อร์ เดี๋ยวเจ้าค่อยเรียนรู้เรื่องนี้ใหม่ มันมิใช่เรื่องยากอันใดหรอก แต่ยามนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ประเดี๋ยวยายกลับไปจะทำมื้อเย็นให้กิน” เด็กหญิงจึงละมือจากก้อนแป้งที่เละเทะไม่น่ามอง แล้วลุกขึ้นไปล้างมือก่อนที่จะกลับมาคำนับลาท่านยาย ซุนฉีมองตามร่างเล็กของหลานสาวที่เดินออกจากร้านไปด้วยแววตาเป็นกังวล ตั้งแต่หลานสาวฟื้นมาก็ดูนางจะพูดน้อยกว่าเดิม อีกทั้งยังทำในสิ่งที่เคยทำมาก่อนไม่ได้ หรือนางอาจจะมีปัญหาอันใด เห็นทีก่อนกลับเรือนวันนี้นางคงต้องไปถามหมอสวีเสียหน่อยแล้ว ร่างเล็กในชุดฮั่นฝูสีฟ้าซีดกำลังเยื้องย่างผ่านร้านค้าแผงลอยไปยังเส้นทางกลับเรือนที่นางจดจำได้จากการระลึกภาพในอดีตของชิงเหมย บัดนี้นางต้องกลายมาเป็นชิงเหมยแทนที่ชิงเหมยที่จากไปแล้ว นางจะพยายามระลึกถึงสิ่งที่เด็กหญิงเคยปฏิบัติเนิ่นนานมา แต่นางจะไม่อ่อนแอหรือยอมให้ผู้ใดมารังแกนางเช่นเดียวกับชิงเหมยในอดีตเป็นอันขาด “เหมยเอ๋อร์… เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มของเด็กวัยหนุ่มดังขึ้นขณะที่ชิงเหมยกำลังเดินกลับเรือนของนาง เท้าเล็กหยุดชะงักมองใบหน้าของเด็กหนุ่ม ดูจากหน้าตาและส่วนสูงของเขาแล้วคุณชายน้อยผู้นี้น่าจะแก่กว่านางหลายปี ชิงเหมยหลับตาพลางนึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มเพื่อดูว่าเขาคือผู้ใด “เอ่อ… เจ้าค่ะ แล้วคุณชายกำลังจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” นางตอบกลับเขาอย่างเจียมตน เพราะสถานะของเขาและนางต่างกันลิบลับ เขานั้นคือคุณชายรองสกุลเฉียวที่มีบิดาเป็นถึงขุนนางขั้นสามของเมืองถิงฮวา แต่ทว่าคุณชายหนุ่มผู้นี้มิเคยรังเกียจชิงเหมย ออกจะเอ็นดูเด็กหญิงเสียด้วยซ้ำ “อืม… ข้ากำลังจะไปซื้อขนมท่านยายของเจ้านั่นแหละ แล้วนี่เจ้ากำลังกลับเรือนหรือ” เฉียวจูจ้านกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง “เจ้าค่ะ… ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบาย ท่านยายจึงให้ข้าน้อยกลับเรือนก่อน” นางตอบเขาออกไปตามความจริง เพราะเท่าที่สัมผัสได้จากความรู้สึกของชิงเหมยนั้น นางไว้ใจคุณชายหนุ่มผู้นี้ เช่นนั้นแล้วเขาคงมิใช่พวกที่เคยมารังแกนางในอดีตเป็นแน่ “ถ้าเช่นนั้นแล้ว… เจ้าก็รีบกลับเรือนไปเสียเถิดเหมยเอ๋อร์… ข้ามิรั้งเจ้าเอาไว้แล้ว” เขารีบเอ่ยออกมาครั้นได้ยินว่านางรู้สึกไม่ค่อยสบาย ชิงเหมยจึงคำนับลาเขาแล้วเดินจากไป คุณชายรองสกุลเฉียวมองตามเด็กหญิงไปด้วยแววตาเอ็นดู เขากับนางนั้นวัยห่างกันเพียงแค่สี่ปี ปีนี้วัยของเขาก็ย่างเข้าสิบสี่ปีแล้ว ตัวเขานั้นไม่ได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านฉีซาน เพราะตระกูลของเขามีจวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้กับท่านตาที่เคยเป็นองครักษ์ประจำพระองค์อยู่ในตัวเมืองถิงฮวา ทำให้เขาไม่ค่อยได้พบเจอเด็กหญิงบ่อยเท่าใดนัก แต่เรื่องราวของนางเขานั้นได้ยินมาไม่น้อย เขาชื่นชมและเอ็นดูนางที่นางเป็นเด็กดี ขยันและกตัญญูรู้คุณ “คุณชายรองขอรับ จะแวะเข้าไปในตลาดอีกหรือไม่ขอรับ” ฟงชวน บ่าวรับใช้คนสนิทผู้ติดตามดูแลคุณชายรองสกุลเฉียวเอ่ยถามออกมาหลังจากที่เด็กหญิงเดินจากไปแล้ว คุณชายของเขานั้นมีจิตใจดีมาตั้งแต่เยาว์วัย เช่นนั้นแล้วจึงมิใช่เรื่องแปลกที่คุณชายจะใจดีกับเด็กหญิง หลานสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของร้านขนมในตลาดซานฉีที่คุณชายชอบไปอุดหนุนทุกคราที่มาเยือนหมู่บ้านฉีซาน “แวะไปซื้อขนมที่ร้านยายซุนฉีก่อน แล้วค่อยกลับจวน” เขาตอบแล้วจึงเดินนำหน้าบ่าวรับใช้คนสนิทไปทางตลาด ใบหน้าคมแย้มยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีที่ได้เห็นว่าเด็กหญิงไม่เป็นอันใดมาก เพียงแค่นางนั้นไม่ร่าเริงเช่นคราก่อนๆ ที่เขาเคยพบเจอ แต่เขาก็พอเข้าใจได้ว่านางเพิ่งจะหายเจ็บป่วยคงจะยังรู้สึกไม่ค่อยดี ความสดใสร่าเริงที่เคยมีเลยหายไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD