ตีหนึ่ง!
"เราเผลอหลับไปได้ยังไงเนี่ยตั้งแต่เย็นเลย..." ภาวนาประคองร่างระหงงัวเงียตื่นขึ้นมาสำรวจรอบๆ ก็พบว่าสรรพสิ่งได้มืดมิดไปหมดแล้วนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวบอกเวลาตีหนึ่งเศษๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหล่อนหลับลึกไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว
หล่อนใช้มือนวดทาบใบหน้าเบาๆ เพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะเยื้องเดินโงนเงนไปเปิดสวิทไฟ และเลยไปหยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ
ไม่บ่อยนักหรอกที่ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจะสามารถขับกล่อนให้หล่อนหลงหลับไปได้อย่างลึกล้ำผิดเวลาเช่นนี้
ชุดนักศึกษาถูกถอดแขวนทีละชิ้นจนเหลือแต่ชุดชั้นใน...หล่อนเดินเข้าไปใกล้อ่างอาบน้ำแล้วเปิดน้ำปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมก่อนจะหันกลับมาจัดการกับอาภรณ์ชิ้นน้อยที่เหลือ
ติ๊งๆ!! ติ๊ง! เสียงแอพแชทแอพหนึ่งดังรัวทำให้หล่อนหันไปมองตามสัญชาตญาณแม้ตนเองจะอยู่ในห้องน้ำและประตูก็ปิดอยู่ คงเป็นกันตกานต์อีกตามเคย ชายหนุ่มไม่เคยลดละที่จะสานสัมพันธ์กับหล่อน เขาอ่อนโยน ช่างเอาใจ และแสนดีทุกอย่าง
แต่ก็นั่นแหละ...เรื่องของหัวใจมันไม่สามารถบงการกันได้ และสำหรับหล่อนปรารถนานั้นมันได้ถูกล็อกกลอนปิดตายไปนานแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังพยายามไม่ขัดใจบิดาและคนในครอบครัว หล่อนทำร้ายคนอื่นมามากพอแล้ว หากครั้งนี้จะต้องทำร้ายตัวเองเพื่อให้ครอบครัวได้เป็นสุขขึ้นมาบ้างหล่อนก็จะยอม...
ติ๊ง! ติ๊ง! เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในอ่างน้ำวนเริ่มหงุดหงิดใจ หากดูจากเวลากันตกานต์น่าจะคิดว่าหล่อนอาจจะหลับไปแล้วเขาไม่ควรถือวิสาสะรบกวน นอกเสียจากมีเรื่องสำคัญจำเป็นจริงๆ
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
"พี่ตาร์เป็นบ้าอะไรเนี่ย..." หญิงสาวก่นบ่นกับตัวเอง นิ่วหน้าเริ่มเป็นกังวลว่าอาจมีเหตุเร่งด่วนอะไรหรือเปล่า
เพราะโดยปกติกันตกานต์เองก็เป็นคนรู้มารยาทรู้กาละเทสะ ไม่เคยส่งข้อความรัวขนาดนี้หากหล่อนไม่ตอบกลับ แต่หล่อนก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ แหงนศีรษะพิงกับขอบอ่างแล้วหลับตาพริ้มผ่อนคลายร่างกาย
เสียงข้อความแชทยังดังต่อเนื่องเป็นระยะกระทั่งหยุดไปเองโดยปริยาย...
ร่างเปลือยเปล่าได้สัดส่วนลุกจากอ่างเมื่อทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยดีแล้ว หยิบผ้าขนหนูสีขาวที่แขวนเอาไว้มาพันกายก้าวออกจากห้องอาบน้ำนั้น พร้อมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กคอยเช็ดซับหยาดน้ำตามร่างกาย
"ทำไมไฟดับ..." ความมืดปกคลุมไปทั่วห้องยังความแปลกใจให้หล่อนไม่น้อย เพราะจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ปิดไฟก่อนเข้าไปอาบน้ำ หลอดไฟอาจจะเสีย หล่อนมองเห็นแสงจากมือถือบนเตียงที่ส่องวูบวาบเพราะมีแอพบางตัวกำลังดำเนินการอยู่ แต่ไม่มีเสียงเตือน... "เกิดอะไรขึ้น..." ภาวนาข่มความหวาดผวาเดินงมไปกดสวิทไฟจนห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง หล่อนแลบลิ้นเลียริมฝีปาก กลอกสายตาไปมาด้วยความฉงน อะไรเล่นตลกกับหล่อน
คน...หรือไม่ใช่คน...
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว หล่อนรีบปรี่ไปหยิบมือถือขึ้นมาสำรวจดูความผิดปกติเนื่องจากจำได้ว่าไม่ได้ปิดเสียงเอาไว้ ซ้ำตอนอาบน้ำอยู่ก็ยังได้ยินข้อความแชทเด้งไม่ขาดระยะ
"ใครเล่นตลกอะไร..." มือเล็กสั่นเทา ตัวชาเย็นเฉียบด้วยความพิศวงยิ่งกว่าเมื่อเปิดแอพไลน์แล้วพบว่ามีข้อความตอบโต้สนทนาระหว่างหล่อนกับกันตกานต์นับไม่ถ้วน!
ในช่วงเวลาที่หล่อนยังอาบน้ำอยู่...
"อาเป็นคนช่วยตอบเขาเองแหละ แต่หมอนั่นพร่ำไม่หยุดเลยปิดเสียงซะ รำคาญ..."
"..." หล่อนหันหลังไปตามเสียงแหบทุ้มที่ดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากบางเผยออ้าอย่างลืมตัว ใจของหล่อน...หล่นสูญลงแทบเท้า
"อาดีใจ...ที่หลานของอายังอยู่สุขสบายดี..."
"อา...ไทม์..."
"มีผัวหล่อเสียด้วย ชีวิต...มีสุขีจนน่าอิจฉา..."
"..." การได้พบคนตรงหน้าในห้องนอนของหล่อนยามวิกาลถือเป็นเรื่องน่าตกใจ แต่สิ่งที่น่าสั่นระทึกมากกว่าก็คือรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงราวกับคนละคนของเขา
ไม่ได้ยินเสียง หากแต่เดินผ่านสวนกันไปมาหล่อนคงไม่มีทางจำได้ว่าผู้ชายร่างใหญ่ที่เดินมายืนหยุดแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้าของหล่อนยามนี้คือทัพไท
จากหนุ่มใหญ่ร่างกายกำยำดูสะอาดตา บัดนี้ผิวพรรณของเขากร้านจนกลายเป็นสีแทนเข้ม ซูบลง...แต่ดูแข็งแรงล่ำสันขึ้น ผมเผ้าที่เคยเซ็ตตกแต่งเป็นทรงกลับยาวปรกเป็นรากไซน่ารำคาญตา
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เคยได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแลดูแปลกไปจนแทบจำเค้าโครงไม่ได้ หนวดเคราที่ปรกครึ้มไปตามโครงกรามและรอยแผลเป็นเฉียงตรงเบ้าตามันทำให้หล่อนขนลุกโดยไม่ตั้งใจ
รอยยิ้มของเขา...แววตาที่เคยเห็น เปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เหลือความเป็นอาไทม์คนเดิมอยู่อีกเลย...
" คิดถึงอามากเลยสินะ หืม...ทำหน้าดีใจจนอาเป็นปลื้ม..." มือใหญ่หยาบกร้านแตะตบแก้มขาวเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงจูบหน้าผากมนของหล่อนหนักๆ จนอีกฝ่ายอึ้งเหวอตัวแข็งทื่อ มือข้างหนึ่งจับชายผ้าขนหนูที่กำไว้เป็นปมตรงหน้าอกเอาไว้แน่น เนื้อตัวสั่นเทาเกร็งเครียดไปหมด
รับรู้...รับทราบถึงเพศภัยที่แฝงเร้นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มอันตรายของเขา...
"อาไทม์...ทำไม...ว้าย!" ในขณะที่ยังตกอยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น ร่างเล็กก็ถูกตวัดพลิกให้หันหลังข้อมือถูกรวบมัดเอาไว้ จังหวะนั้นหัวใจเต้นระรัวสติตะโกนบอกให้หล่อนรีบหาทางเอาตัวรอดให้เร็วที่สุด
"อื้อ!" แต่ก็สายไปแล้ว อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ทันความคิดใช้มืออีกข้างที่เหลือเอื้อมมาปิดปากเอาไว้แน่น รวมถึงกดรัดหล่อนเข้าหาตัวยากต่อการดิ้นรน ผ้าขนหนูที่พันรัดร่างอยู่ที่จวนจินจะหลุดลุ่ยในไม่ช้า หญิงสาวเบิกตาโพลงพยายามขัดขืนถึงที่สุด
"จุ๊ๆ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ คืนนี้ทั้งคืน...ก็คงไม่จบ เอยอย่าดิ้นดีกว่าเดี๋ยวมันจะไม่งาม..." ใบหน้าคมสากโน้มลงมากระซิบริมกกหู ภาวนาชะงักงันด้วยรู้ถึงสภาพของตัวเองดี กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากปากของหล่อน
"ดีมาก...ทีนี้เราก็ไปหาที่ที่มันมีอะไรสนุกๆ ทำกันเถอะ"
"อื้อ! อือ..." หล่อนส่ายหน้า ส่งสัญญาณให้เขาปล่อยมือ หล่อนมองเห็นเขาผ่านกระจกเงาตรงโต๊ะเครื่องแป้ง รอยยิ้มแสยะมุมปากนั้นช่างดูร้ายกาจยิ่งนัก
ยิ่งหล่อนแสดงอาการต่อต้านก็เหมือนกระตุ้นให้เขายิ่งใช้กำลังในการรัดหล่อนแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออก ซ้ำร้ายยังดึงลากเดินไปเปิดประตูตรงด้านหลังของห้องซึ่งเป็นระเบียงโดยไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงใดๆ อีก
ตรงราวระเบียง...มีผ้าผืนยาวผูกเอาไว้แล้วห้อยชายลงด้านล่างแทนเชือก ทำให้ภาวนารู้วิธีการที่ทัพไทใช้ขึ้นมาหาหล่อนได้ทันที
บ้านหลังนี้ทุกซอกทุกมุมไม่ได้เป็นความลับแก่ชายหนุ่ม ไม่ใช่เรื่องยากหากเขาต้องการจะเดินลอยชายเข้ามาได้ง่ายๆ แม้หล่อนจะ ล็อกประตูตรงระเบียงห้องเอาไว้แล้วก็ตาม
"อาไทม์...อาไทม์จะทำอะไรเอย ปล่อยเอยนะคะ เราต้องคุยกัน..." เสียงหอบโหยสั่นเครือวอนขอทันทีเมื่อชายหนุ่มปล่อยมือออกจากปากเพื่อที่จะก้มลงใบจับเชือกผ้านั้น ความสูงระหว่างห้องจนถึงด้านล่างคงประมาณสี่เมตร หล่อนไม่อยากคาดเดาเลยว่าเขาจะทำอย่างไรเพื่อจะพาหล่อนลงไปด้วยหลังจากนี้
"หุบปากซะถ้าไม่อยากถูกหักคอแล้วโยนลงไป...ถ้าคิดว่าฉันไม่กล้าก็พิสูจน์ได้นะ หลานรัก..." ทัพไทกัดฟันพูดกรอดในขณะที่ใช้มืออีกข้างรัดตรงลำคอของหล่อนแน่นจนรู้สึกเจ็บและหายติดขัด "อ๊ะ!!!" หล่อนไม่มีทางเลือกก็จำต้องเงียบเฉย ทัพไทยิ่งยอมคลายวงแขนออกให้ เด็กสาวหายใจหอบตัวโยนกลืนน้ำลายบรรเทาความเจ็บปวดที่ถูกกระทำก่อนหน้า หล่อนได้แต่มองดูเขา และภาวนาให้มีใครสักคนมาเห็นเหตุการณ์นี้เสียก่อนที่อะไรจะสาย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ...
มือใหญ่ใช้เชือกพันมือสองสามครั้งเพื่อความมั่นใจ ความสูงของระเบียงแค่สะเอวของเขาจึงไม่ได้ยากลำบากนักเพราะมีความแข็งแรงของร่างกายเป็นต้นทุนอยู่แล้ว ร่างเล็กของภาวนาถูกเหวี่ยงให้นั่งบนขอบระเบียงก่อนที่เขาจะก้าวปีนขึ้นมานั่งข้างๆ โดยใช้มือหนึ่งรั้งสะเอวคอดของหล่อนกอดรัดเข้ามาแนบกาย อีกมือหนึ่ง...จับผ้าเอาไว้มั่น
"ระวังเสียงของเธอเอาไว้ให้ดีภาวนา...ไม่อย่างนั้นฉันปล่อยมือแน่..." เสียงทุ้มก่นขู่ในขณะที่เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงมายังด้านล่าง
แรงโน้มถ่วงดึงพวกเขาให้ลอยลิ่วอยู่ในอากาศโดยมีเชือกเพียงเส้นเดียวรั้งเอาไว้ ภาวนากัดฟันกลั้นหายใจด้วยความกลัว สองมือกอดร่างใหญ่เอาไว้โดยอัตโนมัติหลับตาปี๋ไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนลมหายใจ
ความเย็นยะเยือกจากสายลมแผ่วที่พัดผ่านกระทบร่างกึ่งเปลือยในยามที่เขานำพาหล่อนโหนตัวลงมาเป็นจังหวะยิ่งบีบคั้นหัวให้หวาดกลัว รู้สึกวูบวาบหวิวไหวไปหมดจนกระทั้งตกลงมาสองขากระแทกพื้นไม่เบานัก เหมือนเขาพาหล่อนกระโดดลงมาเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่ไม่มากแล้ว
หล่อนได้สติในขณะที่ยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดแกร่งกร้านของเขา "อาไทม์จะพาเอยไปไหน"
"เดี๋ยวก็รู้ ไม่ต้องตื่นเต้น...ยังมีอะไรที่ทำให้เธอตื่นเต้นอีกเยอะ รับรองว่าชาตินี้จะลืมไม่ลง..."
"อาไทม์กำลังทำผิด อย่าทำแบบนี้นะคะ" หล่อนพยายามโน้มน้าวในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจัดการดึงฉีกผ้าที่ใช้แทนเชือกผูกกับระเบียงหยาบๆ จนขาดวิ่นเป็นชิ้นติดมือ
"คนอย่างเธอ...รู้อะไรเกี่ยวกับความผิดชอบชั่วดีด้วยเหรอ...ภาวนา..."
"อาไทม์!" หล่อนคงพูดและดิ้นขัดขืนได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเมื่อเขาใช้ผ้าผืนที่ฉีกมายัดอัดปิดเสียงเอาไว้ด้วยความหยาบคายรีบร้อน ใช้เศษผ้าชิ้นเล็กกว่ามัดรวบข้อมือทั้งสองเอาไว้ด้านหลังแล้วแบกหล่อนขึ้นบ่าไม่ยี่หระ
ภาวนาอับจนหนทาง ยิ่งดิ้น ยิ่งพยายามขวนขวายหล่อนก็ยิ่งบั่นทอนกำลังกายของตัวเอง ทัพไทไม่ได้แยแสเขายังคงเดินดุ่มไปยังทางด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นกำแพงสูง
แต่มีจุดหนึ่งที่มันชำรุดเป็นโพรงโดยมีพุ่มไม้บดบังสายตาอยู่จึงไม่ค่อยมีใครไปสนใจ นอกเสียจากหล่อนกับเขาที่เคยเล่นซ่อนแอบด้วยกันบ่อยๆ ในวันวาน...
ช่องทางสร้างความสุขและเสียงหัวเราะในอดีต บัดนี้มันกลายเป็นเส้นทางนำพาหล่อนไปสู่ความมืดมิดสักแค่ไหนก็ไม่รู้ หล่อนไม่ได้อยากยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง แต่ก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกเลย