กว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็นานพอตัว นิรดามาถึงบริษัทก็มุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงานและรีบนั่งลงอย่างแรง เหนื่อยหอบหายใจไม่ทันเพราะวิ่งมาตลอดทาง และยังไม่ทันที่ลมหายใจจะเป็นปกติ เสียงนิ่ง ๆ ของรสาก็ดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด
“นิรดา วันนี้เธอมาสายตั้งสองชั่วโมง มาหาฉันที่ห้องทำงานด้วย”
นิรดารีบเงยหน้าขึ้นมองรเจ้าของเสียงก่อนจะตอบกลับไป
“ค่ะ” จากนั้นลุกขึ้นเดินตามหลังรสาเข้าไปในห้องทำงานของเธอทันที
ข้าวสวยเห็นเพื่อนร่วมงานเจอฤทธิ์รสาเข้าแบบนี้ก็ได้แต่ส่งสายตาให้กำลังใจ ไม่มีใครชอบโดนใครพูดจาไม่ดีใส่ทั้งนั้น เธอหวังเพียงแต่นิรดาจะไม่โดนดุมากนัก
“นิรดา เธอลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้มีนัดสำคัญที่ต้องเสนองานกับลูกค้าน่ะ”
“ขอโทษค่ะคุณรสา” นิรดาได้เพียงแต่ก้มหน้ากล่าวขอโทษ
“คุณรสา อย่าไปว่าน้องดาเลย เธออาจจะมีเหตุผลที่มาสายก็ได้ค่ะ” มารตีพูดแทรกก่อนจะหันหน้ามาทางนิรดา “ใช่ไหมน้องดา มีเหตุผลใช่ไหม”
แม้มารตีจะช่วย ทว่า…
“ขอโทษด้วยค่ะ พอดีว่า... นาฬิกาที่ห้องไม่ปลุกค่ะ” นิรดาตอบไปตามความจริง พลางข่มตาแน่น
หลังจากได้ยินคำตอบอันใสซื่อจากนิรดาแล้ว รสายิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม เธอหน้าแดงก่ำพร้อมทั้งตบโต๊ะเสียงดัง
“เหตุผลไร้สาระมาก ดีนะที่วันนี้คุณมารตีอยู่ เลยมาเสนองานให้กับลูกค้าแทนได้ จริง ๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ที่เธอจะต้องรับผิดชอบนะนิรดา ถ้าคราวหลังเธอมาสายแบบนี้อีก เตรียมตัวรับซองขาวได้เลย” รสาร่ายยาวด้วยความโกรธ นิรดาที่ยืนฟังอยู่ก็รู้สึกผิด แต่ไม่อาจจะแก้ตัวอะไรให้พอฟังเข้าหูได้ จึงทำเพียงก้มหน้าลงรับคำดุด่าอย่างจำใจ
หลังจากผ่านช่วงเวลายากลำบากในห้องรสาแล้ว นิรดาก็เดินคอตกกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง มารตีเดินตามมาติด ๆ พร้อมกับเอาขวดน้ำเย็นแตะที่ไหล่เธอเบา ๆ ทำเอาสะดุ้งหันขวับไปมอง
“พี่ไก่”
“อะน้ำ เอาไปดื่มให้สดชื่นหน่อย” มารตียื่นน้ำเย็นให้นิรดา “เป็นยังไงบ้าง ทำงานช่วงที่พี่ไม่อยู่ เหนื่อยมากไหม” แววตาอบอุ่นของคนถามทำให้นิรดารู้สึกสบายใจขึ้น
“นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูยังไหว”
“ดีแล้วละ ตั้งใจทำงานนะ จะได้ไม่โดนคุณรสาบ่นอีก” มารตีพูดให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงเอ็นดู เธอรู้ว่าพนักงานหลายคนก็เลี่ยงไม่อยากโดนรสาบ่นกันทั้งนั้น “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า จะหาว่าพี่มารังแกเด็กใหม่เอา”
มารตีพูดพร้อมกับใช้มือลูบหัวนิรดา
“ขอโทษค่ะพี่ไก่ วันหลังหนูจะไม่มาสายเหมือนวันนี้แล้วค่ะ”
“พี่ได้เห็นผลงานของน้องดาแล้วนะ ทำงานละเอียดมากเลย ถึงแม้จะได้ยินคุณรสาบอกให้แก้บางจุด แต่สำหรับพี่งานออกมาดีมากแล้ว พัฒนาฝีมือต่อไปนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่ไก่”
หลังจากนั้นนิรดาก็ทำงานที่เพิ่งได้รับจากรสามาจนหมดวัน แต่กระนั้นงานกองโตที่วางอยู่ก็ใช่ว่าจะหมดลงง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่
“กลับได้แล้วน้องดา พรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่” ข้าวสวยที่เก็บขนมใส่ลิ้นชักเอ่ยขึ้น
“นั่นสิ ทำเยอะไปก็เหนื่อยเปล่า ๆ มันหมดเวลางานแล้ว กลับไปใช้ชีวิตส่วนตัวเถอะนะ” มารตีที่เดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าทำงานพูด ก่อนจะกล่าวลาน้อง ๆ พนักงานแล้วเดินออกไป
นิรดาเองก็ไม่รีรอรีบปิดคอมพิวเตอร์ หยิบกระเป๋า แล้วออกมาจากห้องทำงานทันที กองงานนั้นปล่อยไว้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แล้วกัน
เสียงรถราดังอยู่รายล้อมกาย ฝูงชนคนทำงานต่างเดินสวนกันไปมาให้ควั่กขณะที่นิรดากำลังเดินคอตกอยู่บนฟุตพาท มุ่งไปขึ้นรถไฟฟ้า หวังว่าวันนี้ถ้าอัดกับคนอื่นไปก็คงจะกลับถึงห้องเร็วขึ้นกว่านั่งรอให้คนเบาลง
ในเวลาเดียวกันนั้นภานุวัตน์ซึ่งนั่งอยู่ในรถตู้คันหรูหันมองออกไปนอกกระจก รถราที่ติดทำให้เขาเบื่อหน่าย ระหว่างทอดสายตามองไปรอบ ๆ ก็บังเอิญเห็นนางฟ้าที่เขาเฝ้าฝันหามาหลายวันกำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนด้านนอกนั่น จู่ ๆ หัวใจเขาก็เต้นแรงขึ้นมา สายตายังจ้องไม่หลบ ปากก็บอกให้คนขับรถจอดรถตรงนี้ทันที
“จอด จอดเดี๋ยวนี้”
“ท่านชายวัตน์มีอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้บอกให้คนขับรถหยุด” ดนัยเห็นท่าทีเจ้านายก็นึกแปลกใจ
“ชู่!” ภานุวัตน์ไม่ตอบอะไร ได้แต่มองตามร่างบางของนิรดาไปเรื่อย ๆ ดนัยมองตามเจ้านายจึงเห็นว่าเขากำลังมองผู้หญิงคนหนึ่งอยู่
“ท่านชายวัตน์สนใจผู้หญิงคนนั้นเหรอครับ” ดนัยถามอย่างข้องใจ เพราะไม่เคยเห็นเจ้านายตัวเองจะนึกสนใจผู้หญิงที่ไหนมาก่อน
“อืม” เขาเป็นคนจริง ยอมรับว่าตนชอบหญิงคนนั้นจริง ๆ
“ว้าว ให้ผมตามสืบข้อมูลของเธอให้ไหมครับ”
“ไม่ต้อง” เขาเอนกายพิงเบาะหลับตาพริ้ม หลังจากหญิงสาวเดินลับไปบนสถานีรถไฟฟ้า ดนัยก็ได้สั่งให้คนขับรถออกรถได้
‘อยากเจอเธออีกจัง’ ภานุวัตน์ได้แต่คิดในใจ
ทันทีที่ภานุวัตน์ขึ้นลิฟต์มาถึงห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นราวกับรู้เวลา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นแม่ของเขาเอง
“สวัสดีครับท่านแม่”
(ฮัลโหล คุณชายวัตน์ กลับมาจากภูเก็ตหรือยังลูก)
“กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”
(จริงเหรอ วันเสาร์นี้ลูกว่างไหม)
“เสาร์นี้เหรอครับ ผมขอดูตารางงานก่อนนะครับ” ภานุวัตน์พูดพลางยกโทรศัพท์ออกจากหูมาดูตารางงานในปฏิทินที่ตั้งเตือนไว้ “ชายไม่ว่างครับท่านแม่ ช่วงบ่ายติดงานสำคัญที่บริษัทครับ”
(เสียดายจัง ถ้างั้นไม่เป็นไรจ้ะ แม่กะจะชวนหนูเกศมาทานข้าวที่บ้านเราสักหน่อย ถ้างั้นแม่ไม่กวนละ ไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะลูก)
“…” ภานุวัตน์ไม่ตอบอะไร จนหม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณวางสายไปแล้ว เขาจึงเดินไปที่บาร์เครื่องดื่มซึ่งเต็มไปด้วยเหล้ารัม ไวน์ วิสกี้ครบครัน ชายหนุ่มหยิบเหล้ายี่ห้อโปรดมารินใส่แก้วก่อนจะเดินออกไปดื่มตรงริมระเบียง ไม่ลืมที่จะถือบุหรี่ออกมาด้วย ส่วนตัวแล้วแม้จะไม่ได้เป็นคนติดบุหรี่ แต่เพราะภาพใบหน้าและท่วงท่าของหญิงสาวคนนั้นกวนใจมาหลายอาทิตย์แล้ว การได้นิโคตินเข้าปอดบ้างคงจะช่วยให้คลายกังวลไม่มากก็น้อย
ร่างสูงนั่งอยู่ริมระเบียงของเพนต์เฮาส์สุดหรู ในมือมีแก้วเหล้าราคาแพง เขายกแก้วดื่มเป็นระยะ จุดไฟสูดควันดื่มด่ำกับบรรยากาศเงียบ ๆ ยามกลางคืน เพ่งสายตามองไปยังแสงไฟระยิบระยับไกลสุดลูกหูลูกตา พลางคิดว่านานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้นอนกับผู้หญิง นับตั้งแต่กลับมาจากบาหลีก็แทบไม่ได้ระบายอารมณ์เลยสักนิด
นึกได้อย่างนั้นก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดจนอยากจะระบายออกมาให้หมดเสียตอนนี้ ไรขนอ่อนลุกซู่ เขายกเหล้าค่อนแก้วขึ้นมาดื่มจนหมด ความร้อนของแอลกอฮอล์บาดคอจนต้องครางออกมาเบา ๆ
อ่า~
หลังจากนั่งสงบอารมณ์อยู่สักพัก จึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกจนหมด เข้าไปในห้องน้ำหรู ขนาดกว้างพอที่จะเป็นอีกหนึ่งห้องนอนได้สบาย ชายหนุ่มปรับอุณหภูมิน้ำให้อุ่นพอที่จะผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้ สายน้ำที่ไหลลงมาเป็นทางทำให้ความกระหายรุ่มร้อนมากกว่าเดิม เขาเงยหน้ารับม่านน้ำ ก่อนจะก้มลงมองแท่งร้อนที่สั่นระริกอยู่กลางลำตัว มือหนาค่อย ๆ สัมผัสมันเบา ๆ ตามจังหวะอารมณ์ และเริ่มรูดดึงเร็วขึ้น และเร็วขึ้น
“อา… ซี้ด”
“หนูแน่นมากค่ะ อ่า เสียว”
จินตนาการของเขาลอยล่องอยู่กับหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น
“อื้ม ขย่มพี่ชายแรง ๆ เลยค่ะ อา” ความอุ่นของสายน้ำและใบหน้าของหญิงสาวที่ตัวเองใฝ่หาเป็นดั่งยาพลังม้ากระตุ้นความต้องการให้ทวีคูณขึ้น อารมณ์กระสันพุ่งไปจนถึงจุดสูงสุด ไม่นานน้ำขาวขุ่นก็ทะลักออกมาเปรอะเลอะเต็มมือหนา ชายหนุ่มหยุดนิ่งหายใจหอบเหนื่อย พลางสั่นศีรษะไปมาให้กับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไป
หลังจบช่วงเวลาแห่งจินตนาการอันน่าหลงใหลนั่นแล้ว ภานุวัตน์ก็หยิบผ้าเช็ดตัวมาซับน้ำที่พร่างพรมอยู่บนกาย แล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ภาพของหญิงสาวปริศนายังคงติดตรึงมาจนถึงตอนนี้ เขาหลับไปพร้อมกับยกยิ้มมุมปากให้กับนางฟ้าคนนั้นที่สักวันเขาต้องเจอเธอให้ได้
เวลาผ่านไปสามเดือนกับการใช้ชีวิตเป็นพนักงานประจำในฐานะนักออกแบบภายใน ได้เดินทางไปทำงานเอง ไปไหนมาไหนเอง นิรดาจึงเริ่มปรับตัวกับกรุงเทพฯ และบรรยากาศในออฟฟิศได้มากขึ้น ถึงแม้บางครั้งสายตากรุ้มกริ่มของเหล่าผู้ชายที่มองมาจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจไปบ้างก็ตาม ผู้ชายบางคนชอบเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวโต๊ะเธอ บ้างก็ทำทีมาขอยืมนู่นนี่ แต่การกระทำเหล่านั้นกลับไม่เคยทำให้เธอสนใจได้ แม้เธอจะยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน จึงรับมือกับผู้ชายไม่ค่อยเก่งนัก แต่ถึงกระนั้นก็มีเพียงผู้ชายคนเดียวเท่านั้นที่ติดอยู่ในใจเธอ และเป็นคนเดียวที่เธออยากจะรับมือด้วย
นิรดาได้เรียนรู้โลกใบใหม่ ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมดกับคนที่เพิ่งได้มาใช้ชีวิตคนเดียวแบบเธอ ตอนนี้เธอเริ่มมีเพื่อนสนิทในออฟฟิศแล้ว มีออกไปทานข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่เมื่อมีคนรักก็ย่อมมีคนเกลียด ด้วยเพื่อนร่วมงานบางคนชอบเขม่นเธออย่างไร้เหตุผล บางครั้งก็ทำให้เธอหน่ายใจ แต่ก็พยายามคิดว่าทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งมันยังคงผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรงให้ปวดหัว