แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีสายตาหนึ่งกำลังจดจ้องมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่เงยหน้าขึ้นพบว่าการะเกศเอาแต่ส่งสายตามองมาที่เขาอย่างเขินอาย แต่ถึงจะพยายามขนาดไหนชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย
เขาก้มทานอาหารต่อ เมินสายตาที่ส่งมา ทำราวกับผู้หญิงตรงหน้าเป็นธาตุอากาศ ภานุวัตน์อดทนนั่งอยู่อย่างอึดอัด เขาไม่ชอบให้ใครมาส่งสายตาเสน่หาใส่แบบนี้ หากเจอคนที่พยายามเกินไปมันก็ดูน่าเบื่อ สำหรับเขาแล้ว ชอบการได้รุกมากกว่า
ผู้หญิงที่จะทำให้เขาหยุดมองได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น… เมื่อเผลอนึกถึงท่าทางซุกซนของหญิงสาวแปลกหน้าที่บังเอิญเจอที่สนามบินวันนั้น ภานุวัตน์ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นอย่างชวนมอง ผมหยักศกสีดาร์กช็อกโกแลตและใบหน้าสวยคมราวกับนางฟ้านั้น รับรองว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็คงจะลืมไม่ลง
“ต๊าย ! ชายวัตน์ยิ้มแบบนี้ เขินหนูการะเกศเหรอลูก” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณเอ่ยแซวลูกชาย ส่วนการะเกศนั้นเขินจนหน้าแดง ขณะที่ภานุวัตน์ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบกลับอะไร
หลังทานอาหารเสร็จคุณหญิงนารีกับหม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณก็พูดคุยกันต่ออย่างออกรสออกชาติ หญิงสูงวัยทั้งสองพยายามสร้างบรรยากาศให้สองหนุ่มสาวได้อยู่ใกล้กันนาน ๆ ภานุวัตน์ซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางวงสนทนานี้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เขาอยากจะกลับไปที่บริษัทแล้ว ชายหนุ่มหยิบผ้ามาเช็ดปาก ในใจนึกอยากจะหาข้ออ้างกลับก่อน ขณะนั้นการะเกศที่เห็นจึงทำตามทันที
“เกศอิ่มแล้วค่ะ” การะเกศพูดแทรกขึ้นระหว่างบทสนทนาของผู้ใหญ่ พร้อมกับวางช้อนส้อมเบา ๆ ตรงตำแหน่งอย่างผู้ดี
“อิ่มแล้วเหรอหนูการะเกศ” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณถามอย่างอ่อนโยน การะเกศพยักหน้าเบา ๆ ตอบกลับขณะที่เช็ดปากไปด้วย
“ทานน้อยแบบนี้แหละเพคะท่านหญิง” นารีเอ่ยแทนลูกสาว เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามอง หม่อมเจ้าหญิงรวีรรณเห็นอย่างนั้นก็นึกเอ็นดูในท่วงท่ากิริยาสมดั่งกุลสตรีไทย เป็นธรรมดาที่ผู้ใหญ่จะหลงรัก
“ถ้างั้นชายวัตน์พาหนูการะเกศไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยสิลูก แม่กับป้านารีจะได้พูดคุยกันตามประสาผู้ใหญ่” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณปรายตาพลางบอกลูกชาย ภานุวัตน์ก็ไม่ได้ขัดใจแม่ตัวเองแต่อย่างใด เขาทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนรอการะเกศ หญิงสาวใจเต้นแรง ได้อยู่กับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ คงจะทำตัวไม่ถูกเป็นแน่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวออกไปเดินเล่นสักครู่นะเพคะ”
“จ้ะ ไปเถอะ คุยกันดี ๆ นะลูก” หม่อมเจ้าหญิงรวีวรรณปรายตายิ้มให้ลูกชายและว่าที่สะใภ้ที่ตนหมายปอง ฝั่งลูกชายนั้นกลับไม่สนใจ ปลีกตัวออกไปโดยไม่รอหญิงสาวเลยสักนิด
เดินออกมาได้สักพักแต่ชายหนุ่มก็ยังคงจำอ้าวไม่รอคนที่เอาแต่เดินตามด้านหลัง การะเกศสับเท้าตามจนแทบจะวิ่ง แต่คนด้านหน้าก็ยังไม่ชายตาหันมามอง
“ท่านชายวัตน์เพคะ” เสียงหวานเอ่ยเรียกขึ้นมา ดึงสติให้ภานุวัตน์ที่เดินอยู่ต้องชะงักและหันกลับมามอง
“คุณเรียกผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ทรงรอหม่อมฉันด้วยเพคะ” ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เพียงถอนหายใจเบา ๆ สีหน้าเบื่อหน่ายชัดเจน หากแต่หญิงสาวที่มัวแต่เขินหน้าแดงนั้นกลับไม่เห็น “หม่อมฉันขอประทานอนุญาตถามอะไรหน่อยได้ไหมเพคะ”
ภานุวัตน์ไม่ตอบ เพียงแต่หยุดฟัง
“ทำไมท่านชายถึงไม่ค่อยรับสั่งกับหม่อมฉันเลยล่ะเพคะ แล้วยังทรงทำเหมือนไม่ชอบหน้าหม่อมฉันอีกด้วย” การะเกศตัดพ้อด้วยท่าทีเศร้าสร้อย
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ทรงขอโทษเรื่องอะไรเหรอเพคะ”
“ความจริงแล้วผมมีผู้หญิงที่ชอบแล้วครับ” ชายหนุ่มตัดสินใจพูดออกไปตามความจริงอย่างสุภาพบุรุษ เขาไม่อยากให้ความหวังเธอ ไม่อยากให้เธอต้องมาเสียเวลา
ครั้นได้ยินภานุวัตน์พูดอย่างนั้น จากใบหน้าที่ยิ้มเขินอายของการะเกศก็เปลี่ยนเป็นผิดหวังขึ้นมาทันที
“เอ่อ…”
“แต่คุณเกศอย่าเพิ่งบอกคุณป้านารีกับท่านแม่นะครับ” ภานุวัตน์ขอร้องด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ทำไมล่ะเพคะ”
ท่านชายหนุ่มกำลังจะตอบกลับ ทว่าดนัยผู้ช่วยส่วนตัววิ่งกระหืดกระหอบมาหาเขาเสียก่อน พร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารหนา ๆ มาให้
“ขอโทษครับ มีเอกสารประชุมด่วนเมื่อเช้าที่ท่านชายวัตน์ต้องเซ็นครับ”
ภานุวัตน์จึงเบนความสนใจไปยังแฟ้มเอกสารตรงหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มทำทีอ่านเอกสารด้วยท่าทีเคร่งเครียด แสร้งลืมไปแล้วว่ามีการะเกศยืนอยู่ด้วย
“ท่านชายเพคะ” เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้าไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับเธอเลย เธอก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ท่านชายเพคะ ท่านชายวัตน์เพคะ…”
“อ่อ ครับ อ้อ ผมลืมไปเลยว่าคุณยังอยู่” ชายหนุ่มว่า
“งั้นหม่อมฉันลานะเพคะ ท่านชายจะได้ทรงงานสะดวก” หญิงสาวเอ่ยลาด้วยท่าทีหงุดหงิดแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป หางตาของภานุวัตน์มองตามหลังเธอพร้อมกับยิ้มมุมปากทันที เขามองไปทางผู้ช่วยคนสนิท
“เหมือนรู้เวลานะ” ภานุวัตน์เอ่ยทั้ง ๆ ที่สายตามองเอกสารในมือ
“ครับ” ดนัยตอบกลับอย่างรู้ใจเจ้านาย พร้อมกับยื่นปากกาให้เขาเซ็นพร้อมจับชี้จุดบนเอกสาร
“ตอนนี้หมดหน้าที่แล้ว นายจะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันจะเดินเล่นอีกสักหน่อย” ภานุวัตน์ยื่นแฟ้มเอกสารคืนให้กับดนัย ก่อนจะเดินเล่นไปตามทางเดินของร้านอาหารที่เชื่อมกับสวนต้นไม้ร่มรื่น การได้เดินเล่นคนเดียวในที่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและแม่น้ำเจ้าพระยายามบ่ายช่างดีเสียจริง แต่ถึงอย่างนั้นภาพของเธอคนนั้นก็ยังโผล่มาให้นึกถึงได้ตลอดเหมือนกัน
...
ทางด้านนิรดาหลังจากวุ่นอยู่กับงานกองโต และใช้เวลาพักกลางวันในร้านอาหารใต้อาคารเสร็จแล้ว เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาก่อนเริ่มงานตอนบ่าย เธอจึงคิดว่าควรเข้าไปพูดคุยทักทายกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้างน่าจะดี หญิงสาวเดินไปยังโต๊ะข้าง ๆ กระชับมิตรไว้จะได้ใช้ชีวิตในบริษัทได้ง่ายขึ้น
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อดาค่ะ”
“อืม สวัสดีจ้า พี่ชื่อข้าวสวย” ข้าวสวยเป็นหญิงสาวรูปร่างค่อนข้างอวบ บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยถุงขนมขบเคี้ยวโซเดียมสูงวางกองอยู่เยอะกว่าแฟ้มเอกสารตรงหน้าเสียอีก พูดจบก็ยื่นถุงขนมที่กำลังกินอยู่มาให้นิรดา “กินขนมด้วยกันไหมจ๊ะ”
นิรดาไม่ปฏิเสธน้ำใจของเธอ ยื่นมือไปหยิบขนมในถุง ก่อนจะส่งยิ้มหวานแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ จึงหันหลังกลับมายิ้มให้ข้าวสวย
“พี่ข้าวสวยคะ”
“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูดา”
“ขอบคุณสำหรับขนมนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณข้าวสวยพร้อมส่งรอยยิ้มให้ไป
“พี่ยังมีอีกเยอะ ว่าง ๆ มาเอาไปได้” ข้าวสวยกระซิบเบา ๆ อย่างกลัวใครจะได้ยิน นับว่าเริ่มต้นมิตรภาพกันได้ด้วยดีเลยทีเดียว
ระหว่างที่นิรดากำลังทำงานอยู่นั้น รสาก็เดินมาตรวจความเรียบร้อยในห้องทำงานตามปกติ เธอเดินมาจนถึงโต๊ะของข้าวสวย แต่แล้วเมื่อเห็นว่ารอบ ๆ เต็มไปด้วยเศษขนม ไหนจะถังขยะล้นไปด้วยห่อขนมกรุบกรอบ รสาก็หยุดลงและส่งสายตาดุให้อีกฝ่ายไป
“คุณข้าวสวย วัน ๆ กินแต่ขนม แล้วเมื่อไหร่งานที่มอบหมายจะเสร็จคะ ทำงานให้เร็วเหมือนตอนที่กินขนมด้วยสิ อืดอาดยืดยาดชะมัด” รสาว่าเสียงเข้มจนพนักงานสาวกลัวจนคอตก
“ค่ะ... จะรีบทำงานให้เสร็จค่ะ”
“รีบจัดการส่งภายในวันนี้ด้วยล่ะ” พูดเสร็จรสาก็เดินออกไป ข้าวสวยได้แต่ถอนหายใจออกมา ส่วนนิรดาซึ่งนั่งอยู่เงียบ ๆ พูดให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานเบา ๆ
“สู้ ๆ นะคะ”
ข้าวสวยยิ้มรับ ในขณะที่นิรดาแอบสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้ดุแบบไม่มีเหตุผลแบบนี้
...
ผ่านไปแล้วสามอาทิตย์สำหรับการเริ่มงานเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว แต่กระนั้นก็ถือว่าเป็นสามอาทิตย์ที่โหดพอตัว นิรดาลากสังขารกลับเพนต์เฮาส์มาด้วยสภาพอ่อนล้าทุกวัน เธอรู้สึกเหนื่อยจากภาระงานที่สะสมมาก อาจจะเพราะเป็นน้องใหม่ ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเธอก็ทำหมด
“อ่า เหนื่อย” หญิงสาวล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าบนเตียงนุ่ม ๆ ความเหนื่อยสะสมนี้ทำให้ลืมคิดถึงเรื่องอาบน้ำและทานข้าวเย็น แค่นึกถึงงานชิ้นโตที่เพิ่งจัดการไปวันนี้ กว่าจะผ่านมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก หมดพลังมากเลยทีเดียว “เหนื่อยหมดสภาพกลับมาทุกวันอย่างนี้ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอผู้ชายที่แอบชอบล่ะเนี่ย”
ว่าแล้วก็ถอนหายใจยาว นิรดาอยากเจอเขาจริง ๆ เวลาก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังจำน้องดาคนนี้ได้อยู่หรือเปล่า หญิงสาวคิดอะไรเพลิน ๆ ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะทำให้ผล็อยหลับไปอีกครั้งในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำอีกแล้ว
เช้าวันต่อมาเสียงนาฬิกาปลุกดังวนไปมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็สามารถปลุกนิรดาคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพผมยุ่งเหยิงได้ เธอบิดขี้เกียจเล็กน้อย มองทองฟ้าวันนี้ที่ดูจ้ากว่าปกติ
“วันนี้แดดแรงจังเลยแฮะ”
ทว่าทันทีที่หันไปมองนาฬิกาปลุก เธอก็ต้องเบิกตากว้าง
“ฮะ ! เก้าโมง ตายแน่ น้องดาตายแน่ !!” นิรดารีบเด้งตัวลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วแบบไม่คิดชีวิต ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงสำรวจความเรียบร้อยแบบลวก ๆ ก่อนจะคว้ากระเป๋าทำงานและรีบวิ่งไปกดลิตฟ์ทันที