ปุยฝ้ายและกานต์ใช้เวลาเดินซื้อของสดอยู่ไม่นาน ทั้งสองก็รีบกลับไปหาแม่ที่บ้าน หลังจากได้ของตามที่แม่มณีสั่ง
แต่ทว่าในระหว่างทางกลับนั้น ก็มีรถตู้สีดำคันใหญ่ขับเข้ามาขวางทางรถของทั้งสอง ทำเอากานต์ถึงกับเบรกกะทันหัน จนรถเกือบเสียหลักล้ม
"เฮ้ย! ขับรถประสาอะไรวะ" ด้วยนิสัยห้าวๆ ของปุยฝ้ายจึงโพล่งออกมาอย่างหัวเสีย เพราะข้าวของที่ซื้อมานั้น เกือบเสียหายเพราะรถคันเดียว
ก่อนที่เจ้าของรถตู้คันนั้น จะเปิดประตูลงมาดู ด้วยท่าทีที่ไม่รีบร้อน ชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำใบหน้าของเขาคุ้นตาเธอมาก สายฟ้าเดินเข้ามาหาทั้งสอง ทำเอาปุยฝ้ายจ้องหน้าด้วยความสงสัยและเริ่มจำเขาได้
"เอ๊ะ นี่มันลูกน้องของพวกมาเฟียหนิ"
ปุยฝ้ายก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
"นี่ ขับรถบ้าอะไรของพวกนาย ไม่เห็นเหรอว่ารถฉันขับมาอยู่เนี่ย ขับมาปาดหน้ารถพวกฉันหมายความว่าไง"
เธอถึงกับเท้าสะเอวถามอย่างไม่เกรงกลัว แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งเงียบ ก่อนที่สายฟ้าจะยื่นนามบัตรบางอย่างให้แทน
"...อะไร!"
"ผมต้องขอโทษที่เสียมารยาทขับรถมาขวางพวกคุณนะครับ แต่พอดีได้ยินมาว่า ที่บ้านของคุณกำลังลำบาก คุณภูวินเลยอยากช่วยเหลือ เลยให้ผมมาชวนคุณไปทำงานที่บริษัท"
“เดี๋ยวนะ ขับรถเข้ามาขวางรถคนอื่น เพื่อชวนไปทำงานด้วยเนี่ยนะ เฮ้ย นี่ คิดว่าทำแบบนี้แล้วมันจะเท่ห์หรือไง ทำคนอื่นเกือบมีอุบัติเหตุ พวกนายมันเถื่อนเกินไปหรือเปล่า!”
ปุยฝ้ายเหลือบมองนามบัตรในมือของเขาด้วยอารมณ์ร้อน เพราะวันนี้มาเจอแต่เรื่อง อีกยังมาเจอพวกมาเฟีย ทำตัวเถื่อนขวางรถแบบนี้อีก เธอไม่ได้ดีใจที่เขามาชวนทำงานด้วยซ้ำ แต่รู้สึกชังมากกว่าที่ขับรถไม่มีมารยาท
“...ผมเข้าใจนะครับ ยินดีชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียเวลาให้พวกคุณ และพอดีนายผมสนใจอยากจ้างงานคุณปุยฝ้าย เผื่อเป็นตัวเลือกสำหรับหาเงินมาใช้หนี้ครอบครัวคุณ"
"เดี๋ยวก่อนนะ นายของพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านฉันเป็นหนี้ แล้วรู้จักชื่อ รู้จักบ้านฉันด้วยเหรอ นี่! ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าฉันไม่รับงานฆ่าคน ไม่รับงานชกมวย หรือคุมบ่อนอะไรที่พวกนายชอบทำกันหรอกนะ เสียเวลา!”
เธอพูดอย่างกระแทกแดกดันพวกเขา ด้วยความไม่ชอบใจ ที่วันนั้นพวกเขาทำรุนแรงกับน้องชายเธอเกินไป มาวันนี้มาสนใจยื่นงานให้เธอทำ ไม่รู้ว่าพวกเขามาไม้ไหน ถึงได้มาพูดจาดีด้วยแบบนี้
และเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ที่พวกเขารู้จักชื่อหรือเรื่องในบ้านเธอได้ยังไง
“งานที่ชวนไปทำ ไม่ใช่งานอย่างนั้นหรอกครับ ทำเกี่ยวกับเอกสารมากกว่า เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์”
สายฟ้ายื่นนามบัตรมาให้กับหญิงสาวอีกครั้ง ทำเอาปุยฝ้ายหันมามองหน้ากานต์อย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันกลับมามองนามบัตรในมือเขา เธอจึงรับมาไว้ แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของพวกเขา
หญิงสาวปรายตาขึ้นไปมองรถตู้ด้านหลังสายฟ้า ความรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจับจ้องมองมาที่เธอกับน้องชาย
"เดี๋ยวนะ พวกคุณรู้ได้ยังไง ว่าบ้านพวกเราลำบาก แล้วรู้ได้ไง ว่าพวกเราอยู่ที่นี่"
กานต์เข้ามาถามด้วยความสงสัยและงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า
"เรื่องนั้นไม่ต้องรู้หรอก...เอาเป็นว่าคุณภูวินก็แค่อยากให้โอกาสเด็กอย่างพวกนาย ก็แค่นั้น ถ้าเกิดสนใจงาน ติดต่อมาได้ตลอดนะครับ ถือว่าได้มาฝึกงานหาประสบการณ์ แล้วก็ได้เงินเดือน ส่วนนี่เป็นค่าเสียหายและค่าเสียเวลา หวังว่าจะพอนะครับ”
สายฟ้ายื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้หญิงสาว ปุยฝ้ายจึงรับไว้อย่างงงๆ
หลังจากทำตามที่นายของเขาสั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับไปขึ้นรถที่ประจำข้างคนขับ ก่อนที่รถตู้จะเลื่อนผ่านออกไป ทิ้งให้พี่น้องสองคนยืนงงอยู่แบบนั้น
ปุยฝ้ายมองตามรถตู้คันนั้นด้วยหน้าคิ้วขมวด ก่อนจะอ่านชื่อและเบอร์โทรบนนามบัตร
“อะไรของพวกมันวะพี่ อยู่ๆ ก็มา แล้วก็ไป แล้วพวกมันยังรู้จักชื่อพี่อีก รู้เรื่องบ้านเราอีก”
เด็กหนุ่มตั้งคำถามไว้มากมายในหัว เพราะไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร ทำไมถึงได้มาชวนพี่สาวไปทำงานด้วย และดูเหมือนพวกเขาจะรู้เรื่องครอบครัวพวกเธอเป็นอย่างดี
“ทำไมนายต้องให้ผมสืบประวัติเด็กคนนั้นด้วยล่ะครับ”
สายฟ้าหันไปถามเจ้านายหนุ่ม ที่นั่งขาไขว่ห้างอยู่ด้านหลัง และเป็นคนที่สั่งให้ลูกน้องอย่างเขาลงไปเสนองาน เพื่อจะดึงตัวเธอมาทำงานที่บริษัท ทั้งที่ภูวินไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใคร ที่ถึงขั้นต้องตามสืบประวัติความเป็นมาคนนั้น
เพียงเพราะเจอหน้ากันแค่ครั้งเดียว กลับทำให้ภูวินรู้สึกถูกใจหญิงสาว
“ก็แค่อยากช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ครอบครัวกำลังลำบาก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นด้วยหรือไง”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้าคมคายยังคงหล่อเหลา แม้ว่าภูวินอายุเข้าเลขสามแล้ว แต่ท่าทางสุขุมหน้านิ่งยังคงเป็นเสน่ห์ของเขา ทั้งยังดูดีอยู่เสมอ และความนิ่งเงียบของภูวิน ทำให้สายฟ้าผู้ทำงานเป็นลูกน้องมานาน ก็คิดว่าเจ้านายไม่อยากมีคนรัก เพราะไม่เคยเห็นภูวินสนใจใครสักคนที่เข้าหา
จนกระทั่งเจอเด็กที่ชื่อปุยฝ้าย ก็เกิดให้ความสนใจ
“เปล่าหรอกครับ ผมก็แค่สงสัย ปกตินายไม่เคยสนใจใคร แล้วนายใจบุญอยากช่วยคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ...”
สายฟ้าชะงักในคำพูดของตนเอง เมื่อหันไปเจอสายตาของคนเป็นนาย ที่ช้อนตามองราวกับบอกเตือนเป็นความนัย
“เอ่อ ขอโทษครับนาย”