เช้าวันจันทร์ เวลา 06.50 นาฬิกา
“Tiara!(เทียร์ร่า!)”
“Just a minute, Nick… (ขอเวลาเดี๋ยวนิค...)” ฉันตอบเสียงเร่งเร่าของเด็กชายวัยสิบสองขวบกลับไป พลางรื้อข้าวของที่ต้องใช้งานในวันนี้ไปด้วย คอเอียงแนบกับโทรศัพท์ฟังสิ่งที่ปลายสายพูด
[เสียงนิคเหรอครับหมวดเทียร์]
“อ่าฮะใช่ มีอะไรหรือเปล่า?”
[ไม่มีอะไรครับ ฮ่ะๆ ผมกำลังจะเอากาแฟไปให้หมวดที่หน้าอพาร์ทเม้นต์นะครับ]
“อ่าๆ โอเคงั้นวางสายก่อนนะ” ฉันไม่ได้รอฟังปลายตอบกลับ ทันทีที่พูดจบฉันก็ตัดสายทิ้งทันที ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงเร่งเร้าของเด็กชายคนเดิมที่โผล่หน้าเข้ามาภายในห้องนอนแล้วส่งเสียงเรียก
“Tiara! Hurry up! Hurry up! (เทียร์ร่า! เร็วหน่อย! เร็วหน่อย!)” จังหวะเดียวกันนั้น กระดาษวาดรูปวิชาศิปะที่ฉันกำลังหาอยู่ก็ถูกหยิบค้นเจอเข้าจนได้หลังจากที่นั่งหามาเกือบๆ 5 นาที
“เทียร์วาดรูปห่วยแตกจัง” สำเนียงการพูดจายียวนกวนประสาทแบบเด็กๆ ทำฉันเงยมองเจ้าของคำพูดตาขวางอย่างนึกหมั่นไส้ และต่อว่ากลับไป
“นายวาดสวยตายนักแหละ!”
นิคหัวเราะในลำคออย่างทะเล้น ก่อนพูดวลีสั้นๆ ฟังแล้วเจ็บจี๊ดไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
“ยัยเตี้ยเทียร์ร่า!” มิหนำซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างไม่รู้กาละเทศะ แต่พอจะอ้าปากว่าเขาก็รีบวิ่งแจ้นหนีออกจากหน้าประตูห้องนอนไปแบบดื้อๆ ได้แต่นั่งกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
‘นิค’ คือลูกชายของญาติห่างๆพ่อฉันเอง แต่ด้วยทางบ้านของนิคติดปัญหาต้องย้ายและเดินทางกันอยู่บ่อยๆ พวกเขาเลยไหว้วาน จ้างฉันให้ช่วยดูแลนิค โดยส่งนิคให้มาเรียนต่อที่นี่แทนที่จะต้องย้ายโรงเรียนไปมา
ถ้าพูดกันตามตรง นิคควรเป็นหลานฉันถึงจะถูก แต่ว่าเด็กแก่แดดแก่ลมนั่นกลับไม่ยอมนับถือฉันเป็นน้า แม้แต่พี่ หมอนั่นก็ยังไม่คิดจะเรียก เหตุผลก็คงเป็นเพราะฉันมีสภาพตัวเล็ก แถมยังมีความสูงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เมื่อเทียบกับนิคในวัยเพียงสิบสองปี เขามีความสูงไปแล้วถึง 172 เซนติเมตร
มีคนเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่พ่อก็สูง แม่ก็สูง แต่ฉันดันเกิดมาตัวเล็กเหมือนคนแคระแบบนี้ สาเหตุก็เพราะตอนแม่ตั้งท้องฉัน แม่ดันประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย ทำให้ต้องคลอดฉันก่อนกำหนดในช่วง 6 เดือน แม่บอกว่าฉันมีน้ำหนักน้อยมาก แถมยังต้องอยู่ในตู้อบตลอด 3 เดือนหลังจากนั้น นั่นแหละมั้งจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างกายฉันมันถึงได้หยุดการเจริญเติบโตอยู่เพียงแค่นี้
ความจริงแล้ว ฉันมีชื่อเรียกกันตามประสาคนรู้จักว่า ‘เทียร์’ เทียร์ร่า โจนส์ ฉันทำงานเป็นตำรวจอยู่ที่กรมตำรวจนครบาลซึ่งเวลานี้กำลังจับมือกับกรมสืบสวนคดีพิเศษ OCC ทำให้ฉันถูกตั้งโค้ดเนมสั้นๆ ว่า ‘เทียน’ เพื่อความแนบเนียนในการสืบคดี พวกเขาเปลี่ยนแปลงเอกสารประวัติของฉันใหม่ทั้งหมด จากหญิงสาวอายุ 27 ปี นางสาวเทียร์ร่า โจนส์ ให้กลายมาเป็น ด.ญ. ธีรนันท์ บุญนำพา หรือน้องเทียน
อ่า ให้ตายสิ! คิดแล้วก็อยากจะกลอกตา เบ้ปากใส่ชื่อใหม่ของตัวเองวันละหลายล้านหน
“เทียร์ ฉันนำไปที่โรงเรียนก่อนนะ!” นิคส่งเสียงบอกอย่างรีบร้อนทันทีที่เราสองพี่น้องพากันเดินออกจากหอพัก ก่อนจะโบกไม้โบกมือ วิ่งนำหน้าตรงไปยังโรงเรียนประถมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักเท่าไหร่นัก
“อย่าวิ่งสินิค เดี๋ยวก็ล้มหรอก!”
และถึงแม้ประวัติทั้งหมดที่บอกความเป็นฉันจะถูกบิดเบือนไปจนไม่เหลือหญิงสาวที่ชื่อ เทียร์ร่า โจนส์ บนโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังคงเป็นฉัน ยังทำหน้าที่ตามสายอาชีพที่รักและคอยเป็นหูเป็นตา เป็นผู้ปกครองให้นิคอยู่ดี
อ้อ! ลืมบอกไปนิคเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขารู้แค่ในส่วนที่ควรรู้ นิคเป็นเด็กฉลาดที่รู้ว่าควรทำอย่างไรเวลาที่เราต้องนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน
ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือ คอยจับตาความผิดปกติบริเวณโรงเรียนประถมที่เหยื่อรายใหม่กำลังเรียนอยู่เท่านั้น อย่างที่บอกช่วงนี้ข่าวเด็กหายและการลักพาตัวเด็กผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไม่เว้นในแต่ละวัน ผลพวงมาจากการที่ตำรวจทำงานผิดพลาด จับตัวฆาตกรที่ลักพาตัวดาราเด็กไม่ได้จนกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์กรใหญ่อย่าง OCC ถึงต้องเข้ามาจับมือกับตำรวจเพื่อช่วยตามสืบหาตัวคนร้ายโดยใช้ฉันที่ดูจะเหมาะกับงานนี้ที่สุดเป็นตัวล่อ
ยิ่งล่าสุดฆาตกรก็ดูคล้ายกับได้ใจกับการปั่นหัวตำรวจให้หมุนเป็นลูกข่าง ท้าทายอำนาจสันติบาลด้วยการส่งจดหมายขู่ว่ามันกำลังเล็งเหยื่อรายใหม่เป็นเด็กผู้หญิงชั้นวัยประถมที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกับฉันด้วยแล้ว การสอดส่องของตำรวจยิ่งต้องเข้มงวดมากยิ่งกว่าเก่า
กึก...
“ดูเหมือนคดีจะไม่ค่อยคืบหน้าเลยนะครับผู้หมวดเทียร์” เสียงเข้มสุภาพเอ่ยทักขึ้นจากทางเบื้องหลัง จำต้องละสายตาจากแผ่นหลังของนิคเหลียวมองเจ้าของเสียงกลับไปด้วยความรู้สึกเซ็งกะตาย “นี่ครับกาแฟที่คุณสั่ง”
“ขอบใจนะหมวดยู” ฉันรับกาแฟแก้วเล็กจาก ‘หมวดยู’ มาไว้กับตัวพร้อมด้วยรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้า
“รีบๆ ดื่มให้หมดแล้วเข้าเรียนนะครับ เดี๋ยวคุณจะไม่ทันเคารพธงชาติ ฮ่าๆ” ฉันถลึงตาใส่คนตัวสูงกว่าในชุดสูทสีสุภาพพลางเงื้อไม้เงื้อมือเตรียมฟาดใส่เหมือนอย่างทุกทีตามประสาคนสนิทกัน เพราะนับตั้งแต่เป็นตำรวจมา ฉันก็ถูกจับคู่ทำคดีต่าง ๆ กับหมวดยูมาตลอด เรียกว่าที่ไหนมีฉันที่นั่นต้องมีหมวดยูนั่นล่ะ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันก็คือเพื่อนร่วมงานที่ดีนั่นแหละ แม้ว่าใครต่อใครจะมองออกว่าหมวดยูรู้สึกอย่างไรกับฉันก็ตาม
“นายก็รีบๆไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวก็สายพอดี”
“ครับๆ รู้แล้ว จะไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละครับ” ว่าแล้วหมวดยูก็ตะเบะมือใส่ฉันหนึ่งที ก่อนจะหันกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของตัวเองซึ่งจอดห่างจากบริเวณหน้าหอพักไม่มากนัก ซึ่งฉันก็ได้ยิ้มรับมองอีกฝ่ายจนกระทั่งเขาสตาร์ทเครื่องแรงๆ แล้วบิดเลี้ยวออกไป
เมื่อรู้สึกเป็นส่วนตัวแก้วกาแฟร้อนๆ ในมือขึ้นจึงถูกยกขึ้นเฉียดใกล้กับปลายจมูก ทว่า ตอนที่กำลังจะยกมันขึ้นดื่มเพื่อทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ทว่า ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งทักขึ้น เสียงเขาฟังดูไม่คุ้นหูเท่าไหร่...
“เฮ้ย! เฮ้ย! เป็นเด็กเป็นเล็ก เขาห้ามกินกาแฟไม่รู้เหรอ?”
ฉันสะดุ้งเมื่อถูกทักเช่นนั้น จำต้องเหลียวมองไปยังเจ้าของเสียงอย่างเสียไม่ได้ ก่อนพบเข้ากับชายตัวสูงแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาติดเข็มตราของมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งกำลังเดินออกจากอพาร์ทเม้นต์เดียวกันกับที่ฉันพักอยู่
แถมเขายังเดินตรงดิ่งมาทางฉันเสียด้วย
กึก!
ฉันเงยมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย โดยที่ในมือยังคงประคองแก้วกาแฟเอาไว้อย่างมั่นและเมื่อได้ลองพินิจพิจารณาหน้าตากับลวดลายตามเนื้อตัวอีกฝ่ายดีๆ แล้ว ฉันก็ค้นพบว่าเขาคือผู้ชายคนเดียวกับที่พยายามพาตัวฉันออกจากเขตพื้นที่โรงเรียนเมื่อวาน
ทันทีที่เรามีโอกาสได้มองหน้ากันตรงๆ ชายคนดังกล่าวก็เอ่ยขึ้นเป็นหนที่สอง
“เป็นเด็กกินกาแฟมากมันไม่ดี...” เขาไม่พูดเปล่า แต่ยังถือวิสาสะฉวยแก้วกาแฟไปจากมือดื้อๆ เปิดฝาแล้วเทน้ำที่อยู่ข้างในทิ้งแบบไม่เห็นค่า
“อ๊ะ! กาแฟของหนู!” ส่วนปากเขาก็ยังขยับแบบไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้มีปากมีเสียงไปมากกว่านี้ มิหนำซ้ำยังยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนพวกสิบแปดมงกุฏ
“ถ้าอยากกิน มากินพี่ดีกว่ารับลองจะติดใจ”
ความติดกาแฟขนาดหนักมันทำให้ฉันถลึงตาใส่เขาบ่งบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าฉันไม่พอใจมากแค่ไหนที่เขาเทเครื่องดื่มอันมีค่ารับยามเช้าของฉันทิ้งอย่างนี้
ไหนจะคำพูดส่อความวิตถารได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายนั่นอีก ทุกอย่างที่คนตรงหน้าแสดงออกมันทำให้ฉันหงุดหงิดและไม่คิดจะอยู่เสวนาด้วย รีบสะบัดหน้าเชิดเดินหนีทันทีแบบไม่ต้องไตร่ตรอง ทว่า...
“จะไปไหนยัยจิ๋ว!?”
หมับ!
ชายแปลกกลับฉวยมือไวคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อด้านหลังรั้งฉันไว้ไม่ให้หนีไปไหน ดูแล้วไม่ต่างจากเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนเลยสักนิด ส่วยฉันก็ทำได้แค่ดิ้นสะบัดตัวให้หลุดจากการถูกจับแบบที่สภาวะเด็กประถมทั่วไปควรจะทำเมื่อเจอสถานการณ์คับขัน
“ปล่อยหนูนะ!”
“ปล่อยอะไรเล่า เมื่อวันศุกร์ก่อคดีไรวะ ลืมแล้วไง?!” คำพูดของเขากำลังช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ฉันคิดอยู่ในหัวมันไม่ได้ผิดเพี้ยนตรงไหนเลยแม้แต่นิด “ไหนล่ะ คำขอโทษ?”
“คุณครูสอนว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า!” ส่วนนั่นคงเป็นคำตอบ ต่อให้รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “ปล่อยหนูซี่!”
“พี่ชื่ออสุรา ชื่นเล่นธูป...” นั่นคือสิ่งที่ฉันได้รับหลังจากเอ่ยถ้อยคำสแตนดาดให้สมกับวัยออกไป เหมือนมันคือการแนะนำตัว “เรียนวิศวะเครื่องกลปี3 มหา'ลัยเอกชน A อายุ 22 ปี”
การที่จู่ๆชายแปลกหน้า ไม่สิ ธูป(เรียกตาม) แนะนำตัวให้รู้จักเช่นนั้นมันพลอยให้ร่างกายทุกส่วนยอมหยุดชะงักลงแล้วเปลี่ยนเป็นเหลียวมองเขาแทนด้วยความงงงวย
ตอนนั้นเองก็ก็ไอ้เห็นนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายกำลังเขม้นมอง แววตาของเขาดูนิ่ง ดูไม่เป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนเขากำลังซ่อนอะไรไว้ภายในแววตาคู่นั้น
“ยินดีที่รู้จักครับ!” คำถามคือเขาบ้าหรือไงถึงได้มาแนะนำตัวกับเด็กแบบนี้!? “ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว คุยต่อได้แล้วใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ! หนูต้องรีบไปโรงเรียน!” ฉันปฏิเสธเสียงแข็งและหวังว่าเขาจะยอมปล่อยสักที แต่ก็เปล่า
“พี่ก็ต้องไปมหา'ลัยเหมือนกัน ดังนั้น...” นอกจากจะไม่ยอมปล่อยแล้ว ยังชวนคุยไม่หยุด “บอกชื่อให้รู้จักหน่อย”
“ไม่ค่ะ” อีกหนที่ต้องพูดคำเดิมๆพลางสะบัดตัวดิ้นไม่หยุด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยแน่แล้ว ฉันจึงงัดไม้ตายแบบเด็กๆออกมาขู่ “ปล่อยหนูได้แล้ว ไม่งั้นหนูจะไปฟ้องคุณตำรวจ!”
“ก็เอาสิ...” ก่อนได้รับวาจาอวดเบ่งน่าหมั่นไส้ตอบกลับมา “คิดว่ากลัวไง?”
อ๋อเหรอ ไม่กลัวตำรวจซะด้วย
“หนูจะฟ้องคุณตำรวจว่าพี่เป็นพวกโรคจิตวิตถาร!”
“ฟ้องเลย ถ้าตำรวจหน้าไหนกล้าจับพี่...”
และตบท้ายด้วยวาจาท้าทายประหนึ่งเป็นลูกคนใหญ่คนโต
“ก็ให้มันเข้ามา แถวนี้พี่ใหญ่!”
สิ้นเสียงอวดอ้างอำนาจ ฉันก็หลุดเสียงหัวเราะดังหึในลำคออย่างห้ามไม่ได้ ตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งซึ่งคราวนี้ดูเหมือนว่าคนตัวสูงจะยอมปล่อยมือออกจากปกคอเสื้อแบบไม่ต้องออกปากสั่งเช่นกัน ฉันเปลี่ยนท่ายืนมองเขาในท่ากอด ขณะริมฝีปากเหยียดยิ้มนิดๆ พร้อมคำถามง่ายๆ
“Really? (จริงอ่ะเหรอ?)” ทว่า พอลั่นวลีสั้นๆ ดังกล่าวออกไป คนตัวสูงก็แสดงสีหน้าเปลี่ยนไป การที่เขาแสดงออกให้เห็นเช่นนั้นมันเหมือนเป็นการเรียกสติและตอกย้ำถึงหน้าที่ที่ต้องทำของตัวเองขึ้นมา
จำต้องเป็นฝ่ายส่งเสียงออกไปอีกครั้งพลางชี้มือชี้ไม้แบบเด็กๆ เพื่อไม่ให้หลุดภาพลักษณ์วัยใสของตัวเองให้คนนอกรู้สึกผิดสังเกต
“โอ๊ะนั่น! คุณตำรวจขา โจรอยู่ตรงนี้ค่า!” จบประโยคชายตัวใหญ่ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่ากลัว รีบหันขวับมองหลังทันทีด้วยอาการตกใจ เมื่อสบโอกาสฉันก็ทำมันอีกครั้งเหมือนอย่างครั้งแรกที่ฉันได้พบเขานั่นล่ะ
ตึก! ตึก! ตึก!
“เฮ้ย! จะไปไหน?!” เท้าสองข้างรีบวิ่งจ้ำไววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ฟังเสียงเรียกใดๆที่ดังไล่หลัง โดยเส้นทางที่ฉันใช้พาตัวเองปลีกตัวหนีออกมานั้นมันก็คือทางเดียวกับที่ต้องใช้เดินไปโรงเรียนนั่นแหละ
ตึก! ตึก! ตึก!
บ้าเอ้ย! กาแฟก็ไม่ได้กิน นี่ฉันยังต้องมาวิ่งอีกเหรอ!?
นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่วิ่เพียงไม่นานนักฉันก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ชุมชนได้สำเร็จ ไม่ใช่เพราะวิ่งเร็วอะไรหรอก แต่เพราะเวลาตอนนี้มันเพิ่งจะ 7 โมงเช้าและเป็นชั่วโมงเร่งด่วนต่างหาก ทำให้บริเวณถนนเต็มไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ริมฟุตบาธ บรรดาผู้ปกครองที่พากันมาส่งบุตรหลาน รวมถึงเด็กๆ ที่ทยอยกันมาโรงเรียน
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองหนีรอดจากนักศึกษาท่าทางประหลาดคนดังกล่าวมาได้เป็นที่เรียบร้อย มันก็อดเหลียวหลังมองหาบุคคลที่ฉันพาตัวเองหนีมาเพื่อเช็กให้แน่ใจอีกครั้งไม่ได้ และเมื่อมั่นใจว่ารอดออกมาได้แน่นอนแล้ว มือข้างถนัดจึงลดลงไปยังกระเป๋ากางเกงเอี้ยมเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวขึ้นมา กดโทรหาใครคนหนึ่งทันที
ไม่ต้องใช้เวลารอนาน ปลายสายก็รับเหมือนกับสแตนบายรออยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
[ครับหมวดเทียร์?]
“ฉันมีเรื่องให้นายทำนิดหน่อยหมวดยู”
[เกี่ยวกับคดีเหรอครับ?]
“มันก็ไม่เชิง...” ฉันพูดยิ้มๆ พลางก้าวเท้าเดินไปตามทางฟุตบาธแบบไม่รีบไม่ร้อน ส่วนปากก็ว่า “ฉันอยากให้นายช่วยเช็กประวัติคนคนหนึ่งให้หน่อย มีปากกากับกระดาษอยู่แถวนั้นหรือเปล่า?”
[มะ มีครับ]
“นายอสุรา นามสกุลไม่ทราบ ชื่อเล่นธูป อายุ 22 ปี เรียนมหา’ลัยเอกชน A ปี3 วิศวะเครื่องกล...” ฉันเงียบลงครู่หนึ่งสำหรับเว้นช่วงหายใจและทิ้งช่วงให้ปลายสายจัดการจดสิ่งที่ฉันต้องการใส่กระดาษให้เรียบร้อย และเมื่อรู้สึกว่านานพอจึงค่อยพูดขึ้นเองอีกครั้ง
“ฝากนายเช็กประวัติผู้ชายคนนี้ทีว่าเคยมีคดีลวนลามหรือเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยคดีเด็กหรือเปล่า”
[ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้!]
“ฝากด้วยนะหมวดยู...เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยอาการเสียวสันหลังวาบอย่างห้ามไมได้ เมื่อขณะเดียวกันนั้นสัญชาตญาณระวังภัยรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งของใครบางคนกำลังจ้องมองมาจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งรอบกาย
ขวับ!
ร่างกายตอบรับอาการและความรู้สึกเหล่านั้นด้วยการตวัดหางตามองไปยังที่มาของสายตาคู่ดังกล่าว ก่อนกลอกตากวาดมองไปรอบๆ ตัว โดยที่เท้ายังคงก้าวไปบนทางเดินเท้าอย่างเชื่องช้า ไม่รีบร้อนและดูเป็นปกติที่สุด
[เกิดอะไรขึ้นเหรอครับหมวดเทียร์!?] เสียงหวั่นวิตก ร้อนรนจากปลายดังแทรกขึ้นพลอยให้ต้องหยุดสายตาไปยังเส้นทางตรงหน้าก่อนจะให้คำตอบ
“มะ...ไม่มีอะไร อย่าลืมที่ฉันสั่งล่ะหมวดยู”
[ครับ! เดี๋ยวตอนพักกลางวัน ผมจะรีบโทรไปรายงานอีกทีครับ!]
“ขอบใจมาก...” เราต่อสายหากันด้วยเรื่องแค่นั้น เมื่อจบสายของเราจึงตัดจากกัน
เหลือทิ้งไว้แค่ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่ดูเหมือนจะเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมาขึ้นทุกวัน เมื่อรู้สึกแบบนั้นริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นอีกหนคล้ายกับชอบใจ มือพลางลดโทรศัพท์มือถือเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเอี้ยมอีกครั้ง หน้าเชิดมองทางตรงหน้ายิ้มรับกับเรื่องที่ทุกวันฉันได้ภาวนาให้มันมาถึงโดยไว
รีบๆโผล่หางออกมาไวๆสิเจ้างั่ง ฉันอยากกลับไปชีวิตปกติเต็มแก่แล้ว!
เวลา 11.25 นาฬิกา
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ห้อง A
“เทียน วันเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า”
เสียงหวานใสแบบเด็กไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ทำฉันหยุดมือที่กำลังขีดๆเขี่ยๆภาพบนกระดาษกลางชั่วโมงศิลปะลง เงยมองเจ้าของคำถามด้วยความสงสัย
“ตอบสิ ว่างหรือเปล่า?”
“ก็ว่างนะ โบฟางมีอะไรเหรอ?” เด็กคนนี้มีชื่อว่า 'โบฟาง' เป็นเด็กประถมซึ่งมีใบหน้าสวยแบบเด็กๆ จนได้รับตำแหน่งคนสวยประจำป.6 ห้อง A
ที่สำคัญเธอยังเป็นดาราเด็กที่มีชื่อเสียงซึ่งฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลความปลอดภัยของเธอ หลังจากตกเป็นเหยื่อรายต่อมาที่ฆาตกรประกาศขู่ผ่านทางจดหมายมายังสถานีตำรวจ
“เราอยากชวนเทียนไปเดินห้างเปิดใหม่วันเสาร์นี้ ที่นั่นน่ะมีชั้นโรงหนังกับสวนน้ำด้วยนะรู้หรือเปล่า”
“จริงอ่ะเหรอ!?” ฉันแสร้งทำเสียงตื่นเต้นไปตามสถานการณ์ที่ควรจะเป็น แม้ว่าฉันเคยไปเที่ยวสวนน้ำบนห้างตอนช่วงสมัยเรียนม.ปลายจนเบื่อแล้วก็ตาม
“ใช่ เทียนเคยไปเดินห้างคนเดียวบ้างยัง?”
“ยังเลย อยากลองไปบ้างสักครั้งจังเลย” บางทีการต้องเสแสร้งแบบนี้บ่อยๆมันก็ทำให้รู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่เลยแฮะ!
“งั้นวันเสาร์มาเจอกันหน้าโรงเรียนตกลงไหม?” โบฟางเอียงคอเล็กน้อยคล้ายกับรอคำตอบ
ทว่า ไม่นานนัยน์ตากลมคู่สวยของเธอนั้นก็เลื่อนมองไปยังกลุ่มนักเรียนชายที่ดูจะสนุกกับการปั้นดินน้ำมันซึ่งนี่คงเป็นผลพลอยได้ที่โบฟางจะได้รับหลังจากฉันยินยอมตอบตกลงไปเที่ยวกับเธอวันหยุดหน้า
“ชวนนิคไปด้วยนะเทียน ไปกันเยอะๆสนุกดี” และนิคหลานชายฉันนั่นไงที่เป็นผลพลอยได้ของโบฟาง
“โอเคจ้ะ ถ้ายังไงฉันจะลองชวนนิคให้นะ”
“จริงนะ!? เทียนน่ารักที่สุดเลยยย~”
เมื่อก่อนตอนสมัยฉันเรียกประถมจริงๆ สิ่งที่พวกพวกเราทำกันคือการเขี่ยไพ่ กระโดดยาง ส่วนเรื่องรักๆใคร่ๆอะไรพวกนั้น แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็น ต่างจากสมัยนี้ที่ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมดจนบางทีก็ตามแทบไม่ทัน
เรื่องการคบหากันมันไม่แบ่งเป็นถูกหรือผิด เหมาะหรือไม่เหมาะ แต่ถูกจัดว่าสมควรหรือไม่สมควรมากกว่า
ฉันเป็นพวกหัวโบราณต่างจากพ่อกับแม่ที่หัวสมัยนิยม พวกท่านเอียนตำรวจและอยากอยู่ให้ห่างเข้าไว้ด่วยเหตุผลบางประการ แต่ฉันกลับเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนตำรวจเพื่อประกอบอาชีพที่ตัวเองรัก
ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้อีกแล้วล่ะว่า จะมีอาชีพไหนอีกที่เป็นได้ทั้งข้าราชการและคอยให้บริการประชาชนไปด้วยพร้อมกันได้อย่างอาชีพตำรวจอีกแล้ว
ครืดด ครืดดด
แรงสั่นเบาๆภายในกระเป๋ากางเกงชุดเอี้ยม ทำฉันละสายตาจากหน้าโบฟางมายังโทรศัพท์มือถือส่วนตัว และชำเลืองมองดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ‘หมวดยู’
เวลานี้ฉันเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิ์พิเศษเหนือใครต่อให้สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นเรื่องระหว่างตำรวจกับองค์กรรัฐขนาดใหญ่ก็ตาม อย่างไรเสียฉันก็ต้องรอถึงตอนที่กริ่งบอกเวลาพักเที่ยงดัง ถึงจะสามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งานได้เหมือนเวลาปกติ
เวลา 11.50 นาฬิกา
[นายอสุราที่หมวดให้ผมเช็กประวัติ ยังไม่เคยก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อนนะครับ มีแค่เรื่องทะเลาะวิวาทต่อยตีกันก็เท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้...] ฉันย่นคิ้วชิดกันเป็นปมตลอดการนั่งฟังหมวดยูรายงานประวัติของเป้าหมาย และคงเพราะฉันเงียบไปละมั้งปลายสายจึงพูดขึ้น[ผู้ชายคนนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวเด็กหรอกมั้งครับผู้หมวดเทียร์ อีกอย่างเด็กผู้ชายคนนี้ก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย...]
“นั่นสินะ...”
[ผมว่าหมวดคงจะหมกมุ่นเรื่องคดีมากเกินไป ถึงได้เครียดแบบนี้ คุณน่ะพักบ้างเถอะครับ]
“รู้แล้วน่า ฉันก็คิดว่าอยากพักอยู่บ้างเหมือนกัน ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเช็กมาให้แล้วกัน...” ถึงปากจะเออ ออตามหมวดยูก็ตามแต่ลึกๆในอกและความคิดกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม ฉันยังรู้สึกแปลกๆกับท่าทาง ท่าทีที่ผู้ชายคนนั้นแสดงออกให้เห็นอยู่ดี ท่าทางตามตื้อและถ้อยคำนานาพรรณสำหรับใช้หลอกล่อเหยื่อที่เป็นเด็ก หากว่านายอสุราคนนั้นไม่ใช่หนึ่งในผู้ต้องหา
ถ้าอย่างงั้นเขาต้องการอะไรจากเด็กประถมอย่างฉันกันล่ะ?
อันที่จริงแล้วไอ้ที่สงสัยในหัวเมื่อตอนช่วงพักเที่ยงมันก็ไม่ได้สำคัญต่อฉันสักเท่าไหร่นักหรอก เพราะคาดว่าน่าจะเป็นแบบที่หมวดยูว่า เขาไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคดีที่ฉันกำลังทำอยู่ ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่...
เมื่อช่วงเวลาหลังเลิกเรียนมาถึง ฉันก็ได้ต้องกับเขาที่หน้าโรงเรียนอยู่ดี
“…”
“...”
นายอสุราที่ฉันเจอตอนหลังเลิกเรียนวันนี้ ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาแบบเมื่อเช้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีดำทึบ ตั้งแต่หมวกแก๊ปสวมหัวสีดำ เสื้อคลุมแขนยาว กางเกงยีนส์ขาดเซอร์ และรองเท้าผ้าใบและเช่นเคยที่มือยังถือของซึ่งดูขัดและไม่เข้ากับรูปลักษณ์อย่างตุ๊กตาหมีไม่ต่างจากเมื่อวาน
“เฮ้ย!” เมื่อนัยน์ตาคมกริบเหลือบมาเจอเข้ากับฉัน เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาทันที แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้อยู่เฉยรอให้เขาประชิดตัวได้เหมือนอย่างทุกที แต่รีบจ้ำเท้าเดินไวเฟดตัวหนีออกให้ห่างเขาแทบจะทันทีด้วยเช่นกัน
“เฮ้ยน้อง! เดี๋ยว!” หูสองข้างได้ยินเสียงเรียกดุๆของเขาจากทางด้านหลัง
ตึก! ตึก! ตึก!
สลับกับเสียงการทิ้งน้ำหนักเท้าของตัวเองในแต่ละก้าวที่จ้ำหนี DTijCmU5aS98c6gihFDmkSUmKgTCXBGHrXrHXJv61aXf คล้ายกับการเล่นหมากรุกนั่นแหละ เมื่อสู้ไม่ได้ก็คู่ต่อสู้ก็เลยใช้วิธีขี้โกงอย่างล้มกระดานตรงหน้าทิ้งซะ
ตึก! ตึก! ตึก!
กึก! ฟึ่บ!
“อะ...” นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อจังหวะการก้าวเท้าไวถูกทำให้เสียจังหวะด้วยมือของใครอีกคนซึ่งจู่โจมมาจากทางด้านหลัง ไวกว่าที่จะทันได้สะบัดตัวหลบหรือตั้งหลักมือข้างของชายแปลกหน้าก็พุ่งรวบตัวยกร่างฉันขึ้นสูงจนเท้าสองข้างไม่แตะพื้น
มันบ้ามากที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวหรือแยแสสายตาของผู้คนรอบข้างที่อยู่ในเหตุการณ์ แถมยังกระทำการอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฏหมายบ้านเมือง
เวรเอ้ย! นี่มันหยามหน้าตำรวจมากเกินไปแล้วนะ!
“ปล่อยหนูนะ อ๊ะ!” เขาไม่สนเสียงร้องหรือแม้แต่แรงดิ้นขลุกขลักที่ฉันใช้ต่อต้าน กลับกันเหมือนนั่นยิ่งผลักดันให้เขาทำมากกว่านั้นด้วยการยกฉันแบกพาดบ่าทำราวกับเป็นตุ๊กตา ซ้ำร้ายยังเอ่ยขึ้นขณะก้าวเท้าแบกฉันเดินผ่านสายตาผู้คนไปแบบไม่สนใจอีกว่า
“ไม่ต้องกลัว พี่รักเด็ก...”