บทที่ 15

1694 Words
เย็นวันนั้น ฉันพาตัวเองออกจากโรงเรียนเวลาบ่ายสามเกือบสี่โมงเย็นเหมือนอย่างทุกวันหลังจากออกไปหากาแฟกินกับหมวดยูช่วงเช้า เขาก็ขับรถพาฉันกลับมาส่งที่โรงเรียนเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลดาราเด็กอย่างน้องโบฟางต่อไป ตลอดช่วงเวลาที่เรานั่งดื่มกาแฟด้วยกัน ฉันได้ยื่นข้อเสนอให้หมวดยูเรื่องการให้เขาย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นเดียวกันในฐานะผู้ปกครอง ดูท่าแล้วหมวดยูก็ดูจะไม่ได้ปฏิเสธอะไร ในบรรดาเพื่อนร่วมสายงานเดียวกัน คนที่สามารถวางใจไหว้วานได้ก็มีแต่เขานี่แหละ ดีเสียอีก การมียูเข้ามาอยู่ร่วมห้อง อย่างน้อยนิคจะได้มีเพื่อนเพิ่มมาอีกหนึ่ง อีกทั้งการมีเขาอยู่ด้วยมนฐานะผู้ปกครองมันก็จะดูน่าเชื่อถือว่า หากต้องอ้างเรื่ออปืนกับตราตำรวจที่นายอสุราอาจจะได้เห็นมันไปแล้ว พอคิดมาถึงตรงนี้เท้าที่ก้าวเดินดุ่มๆออกจากโรงเรียนก็หยึดลงที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าอพาร์ทเม้นต์ในที่สุด ซึ่งสาเหตุที่เท้าต้องหยุดลงแบบนี้มันก็เป็นเพราะ เสียงทักทายของผู้ชายซึ่งฉันมีโอกาสได้เห็นผ่านตาเพียงเสี้ยววินาทีตอนช่วงเช้า “เด็กมหัศจรรย์~” นายอสุรายืนกอดอกหลังพิงกับขอบประตูทางเข้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เป็นฮีโร่แล้ว ลำบากแย่เลยเนอะ” “พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ” ฉันแทรกทำเป็นไขสือ ยู่ปากใส่คนตัวใหญ่ตรงหน้า แม้ลึกๆจะรู้สึกถึงความประชดประชันจากอีกฝ่ายก็ตาม “หนูจะขึ้นห้องแล้ว พี่ขาหลีกทางหน่อยค่ะ” ทว่า คราวนี้นายอสุรากับพูดอะไรแปลกๆ แถมยังไม่ยอมหลีกทางให้ตามอย่างที่ฉันร้องขอ “คำพูดคำจาดูเป็นผู้ใหญ่จังเลยนะคะ นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเด็กประถม...” มิหนำซ้ำยังหรี่ตาลงคล้ายกับกำลังจับผิดต่อจากเหตุการณ์เมื่อวาน “พี่คงคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังปลอมตัวเป็นเด็กแน่ๆเลย” พอได้ฟังแบบนั้นฉันจึงเงียบ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีพิรุธอะไรออกมาหรอกนะ เพราะสายตาที่ใช้มองคนตัวสูงเวลานี้กับแสร้งแกล้งทำเป็นสงสัย “เมื่อเช้าพี่เห็นเราถูกผู้ชายพาขึ้นรถออกไปด้วย เดี๋ยวนี้หัดโดดเรียนไปเที่ยวกับคนแก่แล้วเหรอคะ?” “คุณพี่ขาพูดอะไรคะ หนูไม่เข้าใจ” ฉันขมวดคิ้วมองเขาด้วยด้วยแววตาไม่ต่างจากเดิมนัก ซึ่งนายอสุราก็ไม่ได้ปฏิเสธคำถามฉัน แถมยังอธิบายอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ “ก็พี่เห็นเรา ถูกพาออกไปจากโรงเรียน เมื่อเช้า” ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่พอฟังแล้วภาพที่นายอสุราวิ่งพรวดพราดออกจากตึกไปทางโรงเรียนประถมกผ้ผุดเข้ามาให้เห็นทันที “หนูถูกพาตัวไปให้ปากคำค่ะ” ฉันยิ้มกว้างมองทุกสีหน้าอีกฝ่ายเสมือนว่าไม่ได้ใส่ใจ ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่เขาใช้ท้วงติง “ทีกับคนอื่น ทำไมจิ๋วยอมไปง๊ายง่าย แต่กับพี่ทำไมถึงได้กลัวนักล่ะคะ?” พอได้รับฟังคำพูดประชดประชันจากเข้ามากเข้า ฉันก็ชักหมั่นไส้จนอดแขวะกลับไม่ได้ “พี่ก็เหมือนกันแหละน่า...” อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากคำพูดจองตัวเองเพื่อจับผิดพิรุธ “เมื่อเช้าหนูเห็นพี่สาวคนสวยออกมาจากห้องพี่เหมอนกันนั่นแหละ” เขาทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง วูบหนึ่งที่นัยน์ตาคมของเขาแสดงอาการตกใจผ่านแววตา เห็นดังนั้นฉันจึงไม่รอช้า รีบยิงคำถามคาใจสำหรับจับผิดออกไป “ไหนพี่ขาบอกหนูว่าโดนตัวผู้ใหญ่ไม่ได้ยังไงล่ะคะ...” “...” “แล้วทำไมถึงมีผู้หญิงเดินออกจากห้องพี่ขาแบบนี้ล่ะ?” นายอสุรานิ่งไปหลังถูกถาม ใช้สายตานิ่งๆมองฉันคล้ายกับกำลังคิดอะไรจากนั้นก็ยิ้ม ใช่! เขากำลังยิ้ม เวลาเขายิ้มท่าทางเขาดูเหมือนคนกำลังทะเลาะกับตัวเอง จะมองหน้าก็ไม่มอง จะยิ้มแต่ก็เหมือนจะไม่อยากยิ้ม พยายามกัดริมฝีปากล่างเอาไว้คล้ายกับอยากตีบทขรึม “จิ๋วถามทำไม...” เขาถามหลังจากตีกับควาทคิดของตัวเองเสร็จ ถามโดยไม่มองหน้า และถ้ามองดีๆ เหมือนว่าแก้มของเขามันเริ่มแดงขึ้นแทบจะทันทีที่คำถามปิดประโยคถูกปล่อยออกมา “หึงพี่เหรอคะ?” ฉันอาศัยจังหวะในช่วงที่เขาไม่ทันมองกลอกตามองบนไปหนึ่งที อยากจะเจาะเข้าความคิดเขาจริงๆ อยากรู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้กล้าถามคำถามแบบนี้ใส่เด็กประถมด้วยท่าทางแบบนั้น... “หึงคืออะไรเหรอ?” เพื่อดับฝันหรือมโนภาพบ้าๆ ที่เขาคิดอยู่ คำถามสุดแสนจะอินโนเซนจึงถูกเอ่ยย้อนกลับไปแบบไม่เข้าใจ “มันก็เหมือนหวงนั่นแหละค่ะ...” ส่วนเขาก็ยอมอธิบาย พลางค่อยๆย่อตัวลงนั่งยองจนระดับสายของเราอยู่ในระนาบเดียวกัน “ยกตัวอย่าง ถ้าเราซื่อไอติมมาแท่งหนึ่ง แล้วพี่ขอกิน แต่เราไม่ให้เพราะหวง อารมณ์มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ” มันจำเป็นต้องสอนเด็กเรื่องความหมายของคำว่าหึงถึงขนาดนี้เลยเหรอ!? “หมายความว่า ถ้าหนูซื้อไอติมมาแล้วไม่แบ่งพี่ขากิน แปลว่าหนูหึงพี่เหรอคะ?” ฉันย้อนเพื่อให้เขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่พูดมันงี่เง่าสิ้นดี แต่เขาก็ยังพยายามอธิบาย “มันไม่ใช่เพราะความอยากกินสิ จิ๋วต้องรู้สึกในตอนที่เรารู้สึกว่าชอบหรือรักไอติมแท่งนั้น ส่วนมากใช้กับคนที่เป็นแฟนกันซะส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเรื่องของพี่เมื่อเช้า ตอนเห็นจิ๋วถูกผู้ชายคนหนึ่งพาไปขึ้นรถ...” คำพูดของนายอสุราทำฉันเม้มปากลงเล็กน้อย ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตอนนี้สีหน้าของนายอสุราดูจริงจังเป็นอย่างมาก และเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่เขาเริ่มอธิบายความหมายของคำว่าหึงให้เด็กคนหนึ่งเข้าใจ โดยเฉพาะกับประโยคต่อท้าย “พี่หึง...” บ้าฉิบ! นี่เขาหึงเด็กประถมเหรอ!? “หนูไม่ใช่แฟนของพี่ขาสักหน่อย” เพราาะคิดว่ามันบ้าเกินไปแล้วปากก็เลยพูกขัดไปเช่นนั้น โดยไม่ลืมกล่าวเสริม “อีกอย่างพี่ขาก็มีสาวสวยคนนั้นอยู่ทั้งคน อย่ามาพูดแบบนี้สิคะ” “เขาไม่ใช่แฟนพี่” นายอสุราแย้ง “พี่เข้าใกล้ผู้หญิงรุ่นๆใกล้เคียงกันได้ที่ไหน พี่เคยบอกจิ๋วไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” ฉันยู่ปากแบบเด็กๆ ใส่เขากลับไป ไม่ได้ทำเพราะว่ารู้สึกว่ามันน่ารักแต่ทำเพราะสมองกำลังประมวลสิ่งที่ได้ยินมาต่างหาก จะถามเรื่องรอยดูดที่ต้นคอก็คงไม่ได้ เด็กประถมไม่น่าจะรู้เรื่องประเภทนั้น เอาเป็นว่าพอก่อนดีกว่า ฉันควรจะหาทางเข้าตึกและปลีกตัวออกจากเขาซะ “ทำไมคะ จิ๋วไม่เชื่อที่พี่พูดเหรอ?” อีกหนที่นายอสุราถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป ก่อนทำเรื่องน่าตกใจด้วยการยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาหาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว “อ๊ะ!” ด้วยความตกใจร่างกายจึงเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว ก่อนต้องเสียการทรงตัวเมื่อพื้นที่ที่ก้าวถอยไปนั้นดันเป็นพืเนที่ต่างระดับ ฟึ่บ! ตุบ! โชคดีที่นายอสุราไวอยู่ตรงนั้น รีบพุ่งมือคว้าแขนฉันกระชากเข้าหาตัวเอาไว้ได้ทันท่วงที ความเร็วและแรงมากมายที่อีกฝ่ายใช้ช่วยฉันนั้นมันทำให้ร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าใส่ตัวเขาด้วยความไว จนแก้มกระแทกเข้ากับหน้าของนายอสุราอย่างเต็มแรงพลอยให้อีกฝ่ายหงายหลังลงไปนอนกองกับบนพื้นหน้าทางเข้าตัวตึก ส่วนฉันก็ตกอยู่ในสภาวะคร่อมทับร่างกายเขาไปโดยปริยาย “ระวังหน่อยสิยัยจิ๋ว...” เขาดุ หากแต่บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม “ขะ ขอโทษค่ะ!” ฉันที่ตอนนี้กำลังเป็นคร่อมร่างเขาอยู่แถมยังทำตัวไม่ถูก ทำได้แค่รีบก้มหัวขอโทษพร้อมทั้งรีบผละตัวออกจากร่างกายอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน แต่ว่า เขาก็ไม่ยอมให้ฉันออกไป ยังคว้ามือรั้งเอาไว้และพูดบางอย่างซึ่งต่างจากตอนแรกออกมา “ประมาทบ่อยๆ ตอนอยู่กับพี่ก็ดีนะคะ...” เมื่อมองหน้าเขาแล้ว ฉันก็ต้องเจอรอยยิ้มเดิมๆ ที่เต็มไปด้วยความเคอะเขิน ฟังดูไม่ต่างจากคำพูด “พี่จะได้แอบขโมยหอมแก้มเราอีก...” ฉันทำตาโตด้วยความตกใจ และอดคิดไม่ได้ว่ามันคงจะเป็นตอนนั้น ตอนที่แก้มฉันกระแทกเข้าหน้าเขานั่นแหละ “พี่ขาทำไมเป็นคนแบบนี้ล่ะคะ!!” เพราะเริ่มนึกได้ ปากก็เริ่มเริ่มโวยวาย ส่วนนายอสุราก็ตอบโต้กลับ “มันบังเอิญนี่คะ จิ๋วกระแทกแก้มมาโดนปากพี่เอง” ซึ่งมันก็จริงของเขา ไอ้ที่ฉวยโอกาสไปน่ะมันก็แค่เรื่องบังเอิญ โอเค! ฉันไม่มีสิทธิ์โวยวายเพราะดันเซ่อเอง ทว่า “มะ ไม่รู้ด้วยแล้ว หนูจะขึ้นห้องแล้ว...อะ” จังหวะที่พยายามจะผละตัวออกจากเขาเป็นที่สอง ตาทั้งสองข้างกลับต้องเบิกกว้างขึ้นเมื่อนายอสุรากระตุกข้อมือดึงฉันให้หันกลับไป ก่อนทำเรื่องน่าตกใจด้วยการเงยหน้า เคลื่อนตัวขึ้นจุมพิตบริเวณหน้าผากอย่างแผ่วเบาและฉวยโอกาส เมื่อทำทุกอย่างได้ดั่งใจ เขาจึงยอมปล่อยข้อมือที่รั้งไว้ออก และโชว์รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เห็น “ตอนแรกอ่ะบังเอิญ...” รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากคำพูดนั่นไง “แต่ที่ทำเมื่อกี้ พี่จงใจ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD