-TAIN TALK-
(เวลา 13.30 นาฬิกาเมื่อวานนี้ เกิดเหตุบุกปล้นธนาคาร Y ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นได้รับการควบคุมให้กลับมาสงบลงอีกครั้งโดยหน่วยงานตำรวจฝีมือดีจากกรมตำรวจนครบาลประจำเมือง...)
ฉันบรรจงใช้ส้อมตักเส้นบะหมี่ในถ้วยคัพเข้าปากในอาการมือสั่น สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าแบบไม่อาจวางตา
(ทั้งนี้ก็ยังต้องขอบคุณหนูน้อยไม่ทราบชื่อ ที่พลิกสถานการณ์เลวร้ายจากการถูกจับเป็นตัวประกัน ด้วยการจับโจรแทนตำรวจที่ยังเข้าไปไม่ถึงบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ)
เมื่อภาพที่ปรากฏมันคือภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะน่าจะอยู่วัยประถม ถ้าพูดให้ถูกก็คือตัวฉันเอง กำลังกลิ้งไถลแย่งชิงปืนกับคนร้ายตามภาพข่าว ก่อนที่ภาพจะตัดไปในช่วงนาทีก่อนเหนี่ยวไกปืนไปเล็กน้อย
“Stupid Tiara! (ยัยโง่ เทียร์ร่า!)” เสียงเข้มฟังดูยังไม่แตกหนุ่มดีเอ่ยขึ้นเมื่อภาพข่าวถูกตัดไปเป็นเรื่องอื่นที่เกิดขึ้นในวันนี้ พลันให้สายตาเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิตักเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากท่าทางเอร็ดอร่อย
“โง่หรือโง่ ที่หยุดเรียนแล้วไปทำแบบนั้นน่ะ” นิคเอ่ยต่อว่าอีกครั้งเมื่อเขารู้ตัวว่ากำลังถูกฉันมอง
“นายคิดว่าฉันหยุดเรียนเพื่อไปปราบโจรโดยเฉพาะหรือไง มันคืออุบัติเหตุต่างหาก”
“ฉันไม่สนใจหรอกเทียร์ร่า แต่ภาพในข่าวคือการกระทำที่โง่มาก” แม้จะแย่งแก้ต่าง แต่นิคก็ยังคงต่อว่าฉันเรื่อยๆ รางกับเราสองคนกำลังสลับบทกันระหว่างความเป็นเด็กและความเป็นผู้ปกครอง อย่างที่บอกนิครู้เรื่องงานที่ฉันทำอยู่ และไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่านี้ จึงเข้าใจได้โดยง่ายถึงเหตุผลที่เขาต่อว่าแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไอ้ความปากเสียไร้กาลเทศะของเขามันก็ต้องถูกสั่งสอนกันบ้าง
ฟึ่บ! พลั่ก!
“Ouchhh! (โอ้ยยย!)” นิดครวญเสียงเสียงซี๊ด รีบปล่อยช้อนส้อมลงกับจานทันมีที่มือฉันเขกเข้าใส่กลางหัวเขาอย่างเต็มแรง พร้อมต่อว่า
“ให้มันน้อยๆหน่อยนิค ฉันเป็นน้านายนะ!”
“อย่าใจร้ายน่าเทียร์ร่า...ฉันเป็นห่วงเธออยู่นะ” นิคทำหน้าขัดใจพลางใช้มือลูบหัวไปมา “ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอทำงานเกี่ยวกับอะไร รู้แค่ว่ามันควรเป็นความลับ แต่การออกทีวีโชว์หน้าตาแบบนี้ มันก็เท่ากับเทียนจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปไม่ใช่เหรอ แล้วก็...”
ฉันทำหน้าแปลกใจเมื่อการละล่ำละลักคำพูดคำจาของนิคเงียบลงไปชั่วขณะ ใบหน้าคมคายเกินกว่าวัยแสดงความกังวลให้เห็น นัยน์ตาคมแบบเด็กก็ดูซีเรียสจริงจังกว่าทุกครั้ง
“อะไร?” จนต้องโพล่งเสียงแสดงความรู้สึกออกไป ซึ่งนิคเองก็ไม่ได้กั๊ก รีบเล่าเรื่องให้ฟังแทบจะทันที
“วันนี้ตอนกลับห้อง ฉันเห็นผู้ชายท่าทางน่าสงสัยหน้าห้อง สักทั้งตัว ดูไม่น่าไว้ใจเลย อ่อใช่! ตอนเช้าที่ออกไปฉันก็เห็นหมอนั่นเหมือนกัน...”
หรือว่าที่นิคเห็นจะเป็นนายอสุรา?
“ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่า ตอนฉันกลับมาที่ห้องจะเห็นผู้ชายคนนั้นยืนมองมาที่ประตูห้องเราด้วยนะ...” นิคพึมพำประโยคยืดยาวในลักษณะเหมือนกับกำลังนึก
นายอสุรามองมาที่ห้องฉันงั้นเหรอ ถ้าอย่างงั้นก็แปลว่าละครตบตาที่ให้หมวดยูช่วยเล่นนั้นมันคงเนียนไม่พอล่ะมั้ง
เฮอะ! ก็เพราะนั่นรีบรัวคำพูด ยิงคำถามใส่นายอสุรากระจัดกระจายขนาดนั้น ไม่แปลกหรอกถ้าเป้าหมายจะจับไต๋ได้ อีกอย่างฉันเองก็พลาดที่ลืมตัวปฏิบัติหน้ส จนเกินสถานะตัวเองแบบนั้น
เขาไม่ใช่คนโง่ เพียงแค่มองแววตาก็รู้แล้วว่าเขาเป็นซุ่มคิด ซึ่งไม่แน่ว่าบางที ตอนนี้ เขาอาจจะกำลังสงสัยและกำลังพยายามจะสืบค้นข้อมูลของฉันอยู่ก็ได้ ดีล่ะ! เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม คืนนี้คงต้องโทรตามหมวดยูมาคุยแผนการเพื่อความแนบเนียนเสียใหม่ก่อนที่นายอสุราจะเริ่มเคลื่อนไหวความแคลงใจของตัวเองไปมากกว่านี้ พอคิดได้เช่นนั้นมือจึงรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเตรียมตั้งท่าที่จะโทรหาหมวดยูทัน ทว่า จังหวะเดียวกันนั้น นิคที่เงียบไปด้วยท่าทางเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างก็โพล่งเสียงขึ้น
“อ่า! ฉันนึกออกแล้วว่าจะพูดอะไร!” ด้วยความที่เป็นแบบนั้นมือที่เกือบจะกดโทรออกด้วยรายชื่อหมวดยูก็หยุดชะงัก เพื่อรอฟัง “ตอนที่ฉันเดินผ่านเขามาที่ประห้องของตัวเอง ตอนนั้นฉันก็ได้เห็นล่ะ อ๋า! Shit! ฉันว่าเขาคงเป็นพวกแมงดาหรือไม่ก็ก็พวกซื้อหญิงบริการแน่ๆ...”
“พูดอะไรน่ะนิค นายเห็นอะไร?” ฉันเลิกคิ้วมองนิคอย่างไม่เข้าใจ ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่เมื่อสิ้นเสียงของนิคที่ตอบกลับมา ก็เหมือนทุกอย่างจะชัดเจน
“ฉันเห็นผู้หญิงสวยมาก นุ่งผ้าขนหนู ยืนอยู่ในห้องผู้ชายคนนั้นน่ะสิ”
“ผู้หญิงนุ่งผ้าขนหนูเหรอ?” ฉันย้อนนิคเสียงเรียบหลังได้ฟังในสิ่งที่เด็กชายพูดก่อนเปลี่ยนเป็นต่อว่า “แล้วนายไปเห็นได้ยังไง เข้าไปอยู่ของผู้ชายคนนั้นมาเหรอ?”
“บังเอิญไงเทียร์ร่า บังเอิญ!” นิคแย้ง “ก็ผู้ชายคนนั้นเล่นเปิดประตูห้องอ้าไว้แบบนั้น ตอนฉันจะเข้าห้องตาก็เลยบังเอิญเห็น”
ฉันขมวดคิ้วฟังข้อแก้ตัวของนิคเงียบๆ โดยลึกๆมันก็อดคิดตามสิ่งที่เด็กชายเล่าไม่ได้ ต่อให้นิคจะเป็นเด็กที่ไร้กาลเทศะและกวนประสาทฉันเก่งเป็นที่หนึ่งคนหนึ่ง แต่เรื่องเดียวที่มั่นใจก็คือ เขาไม่มีทางพูดโกหกใส่ญาติเพียงคนเดียวอย่างฉันแน่ๆ
“แล้วผู้หญิงที่ว่านุ่งผ้าขนหนู นายคิดว่าอายุประมาณเท่าไหร่?” สิ้นเสียงถามนิคก็กลอกตาขึ้น ทำท่าทางครุ่นคิด เห็นเขาดูจริงจังกับการคิด ฉันจึงยิงคำถามออกมาเป็นหนที่สอง “เป็นเด็กหรือว่าผู้ใหญ่?”
“ผู้ใหญ่สิ!” นิคตอบคำถามที่สองอย่างทันควันไร้การลังเล ก่อนพึมพำคำตอบของคำถามแรกแบบไม่แน่ใจนัก “ส่วนเรื่องอายุฉันไม่มั่นใจนะเทียร์ร่า น่าจะพอๆกับผู้ชายคนนั้นล่ะมั้ง”
อายุพอๆกับนายอสุรางั้นเหรอ งั้นก็แปลว่าไม่เด็กแล้วน่ะสิ...
“ที่แน่ๆ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นอ่อนว่าเธอแน่นอนเทียร์ร่า” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจของนิคทำฉันเหลือบมองเขาตาขวางโดยอัตโนมัติโดยไม่ลืมส่งเสียงตอบรับกลับไปแกมประชดประชัน
“ย่ะ! ฉันแก่แล้ว ถ้านายรู้ก็ช่วยเห็นหัวกันหน่อยนะ อย่าลามปามให้มากนัก” แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมสลดหรือรู้ตัวว่าโดยเขม้นที่ไหน ยังคงปากมอมพูดจาแดกดันใส่กันไม่หยุด
“Nah! (ไม่!) ถ้าต้องเรียกเธอว่าพี่หรือน้าต่อหน้าคนอื่น ขายหน้าแย่...” เขาเงียบลงเล็กน้อยในช่วงท้ายก่อนแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ตามประสาแล้วกล่าวขึ้นอีก “ถ้าเรียกป้า...มันก็ฟังดูไม่เลวนะว่าไหมเทียร์?”
“นี่!!!” พอถูกขึ้นเสียง ไอ้เด็กเปรตคนเดิมก็รีบยกจานสปาเก็ตตี้ลุกพรวดพราดขึ้นหนีออกไปอีกทางเพื่อระวังภัยคุกคามจากข้อมือฉันซึ่งกำลังเงื้อมขึ้นเหนือหัวทันที
บ้าชะมัด เด็กคนนั้นน่ะ! แต่ก็นะคิดภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าตอนนี้ฉันไม่มีนิคอยู่ด้วย ห้องๆนี้จะน่าเบื่อและเหงาแค่ไหน
‘เคยลองคบกับคนต่างเพศรุ่นๆเดียวกัน แต่ทำไม่ได้...ถ้าได้โดนตัวเมื่อไหร่ แม่งจะคันยิบไปหมดทั้งตัว...’ แต่แล้วจู่ๆภาพความคิดและความรู้สึกที่มีต่อนิคก็ถูกเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังแทรกแทนที่ พลอยให้ความคิดเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง วกกลับไปยังเรื่องที่นิคพูดถึงก่อนหน้านี้ขึ้นมา
น่าแปลก... ทั้งที่นายอสุราเองพูดออกมาเองแท้ๆ ว่าถ้าถูกตัวคนรุ่นๆเดียวกันแล้วจะคัน แต่ว่านิคกลับเห็นผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับเขาอยู่ในห้อง ถ้างั้นข้อสันนิฐานแรกที่ว่าเขาอาจจะโกหกเรื่องความชอบของตัวเองก็ชักจะเริ่มมีน้ำหนักขึ้นมา หรือว่าบางทีเขาจะแค่โกหกจริงๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ไอ้ที่เขาเลือดกำเดาไหลตลอดเวลาถูกฉันแตะเนื้อต้องตัวล่ะ มันคืออะไร โรคจิตไปเรื่อยงั้นเหรอ?
‘ฉันเห็นผู้หญิงสวยมาก นุ่งผ้าขนหนู ยืนอยู่ในห้องผู้ชายคนนั้นน่ะสิ’ นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเหรอ เฮอะ! ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นมีซัมติ่งอะไรกัน ยังไงซะเรื่องแบบนั้นมันก็เกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว สำหรับพวกวัยรุ่นสมัยนี้ ตราบใดที่นายอสุรายังไม่ได้ทำผิดกฏหมายร้ายแรง ไม่ว่าเขาจะมีความชอบหรือสเป็กผู้หญิงเป็นแบบไหน มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว...
วันต่อมา...
“เทียร์ร่า! ฉันนำไปโรงเรียนก่อนนะ!” วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่นิคยังคงความกระปรี้กระเปร่าสำหรับการไปเรียนเหมือนเช่นวันแรกที่เขามาที่นี่ ส่วนฉันก็ยังชักช้ายืดยาด ง่วงเหงาหาวนอนตามประสาคนเริ่มจะเข้าวัยสามสิบและต้องการการพักผ่อน ให้ตายสิ...เมื่อวานสไลด์กับพื้นมากไปหน่อย วันนี้เลยชักจะปวดสะโพกขึ้นมาเสียด้วยสิ เฮ้อ! ยังไม่ทันเข้าเลขสามจริงๆ จังๆ เลย ทำไมร่างกายถึงได้ปวดง่ายแบบนี้ล่ะ
พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ห้างเมื่อวานขึ้นมา ฉันว่าฉันควรต้องสั่งให้นิคเลิกเรียกเทียร์ร่าก่อนออกจากห้องแบบนี้สักที ยิ่งด้วยนายอสุราทำท่าทำทางเหมือนสงสัยด้วยแล้ว พักนี้ฉันก็ควรจะระวังตัวไม่ให้แสดงพิรุธออกไปจนเป็นที่ผิดสังเกต ทันทีที่เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปโรงเรียน ลมหายใจหนักก็ถูกพ่นทิ้งทันทีอย่างนึกปลงตกเมื่อเอื้อมจับเข้ากับลูกบิดประตู เชื่อเถอะว่าวันนี้ก็คงไม่ต่างจากเมื่อวานนัก พอแระตูเปิดผัวะเมื่อไหร่ ฉันก็คงต้องเจอเขาอีกแน่ๆ
ทั้งที่เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้แบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก สิ่งที่รอคอยอยู่ตรงหน้าดูจะไม่ตรงกับที่คาดไว้เท่าไหร่ เมื่อบริเวณหน้าห้องพักของฉันมันดันว่างเปล่าไร้ซึ่งวี่แววของผู้ชายในความคิด ที่สำคัญในช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ประตูห้องพักฝั่งตรงข้ามก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกัน ทว่า บุคคลที่ก้าวเท้าออกมานั้น ดันไม่ใช่เจ้าของห้องอย่างที่ควร แต่ดันเป็น หญิงสาวผมยาวดัดลอนหน้าตาสะสวยในชุดเซ็กซี่ต่างหากล่ะ...
หญิงสาวคนดังกล่าวเหลือบมองหน้าฉันเล็กน้อย ซึ่งฉันก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มแห้งๆ ส่งให้กลับไปแทนการทักทายตามประสาของคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็ดูไม่ได้สนใจอะไรเด็กอย่างฉันมากนัก เธอหันหลังปิดประตูแล้วเดินออกไปตามโถงทางเดิน ตรงไปยังลิฟต์เพียงตัวเดียวที่มี แน่นอนว่าฉันก็ไม่รอช้ารีบเดินตามหลังหญิงแปลกหน้าไปเช่นกัน ไม่ใช่ว่าต้องการจะตาม แต่เพราะฉันก็ต้องใช้เส้นทางแล้วก็ลิฟต์ตัวนี้เหมือนกับเธอต่างหาก!
ตลอดเวลาที่ยืนอยู่ภายในลิฟต์กับหญิงสาวแปลกหน้า ความช่างสังเกตของฉันมันก็เริ่มทำงานเพื่อหาข้อพิสูจน์ให้ตัวเองให้แคลงใจ ลองคิดดูสิ นิคบอกว่าเจอผู้หญิงอยู่ในห้องอสุราตั้งแต่เมื่อวานตอนเขากลับห้อง พอตอนเช้าฉันก็ดันเจอผู้หญิงออกจากห้องนายอสุราเช่นกัน
แปลว่าเธอกับผู้ชายคนนั้นอาจจะมีซัมติงอะไรกันบางอย่างก็ได้ ด้วยความที่คิดแบบนั้น สายตาจึงพยายามแอบสอดส่องลอบมองไปตามผิวเนียนขาวซึ่งได้รับการดูแลมาอย่างดีของอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ จนกระทั่งสายตาช้อนขึ้นสูงเรื่อยๆ และหยุดเพ่งไปยังบริเวณต้นคอก่อนพบเข้ากับหลักฐานชิ้นโตสัญลักษณ์ของ
คิสมาร์กที่มักพบได้บ่อยๆ ตามร่างกายของวัยรุ่นชายหญิงที่มักชิงสุกก่อนห่าม มีรอยช้ำที่คอแบบนี้ งั้นก็แปลว่านายอสุราอะไรนั่นไม่ได้มีอาการแพ้เหมือนอย่างที่ข้ออ้างที่เขาบอกไว้สินะ...
กริ้ง!
ไม่ถึง 1 นาทีดีเสียงสัญญาณเตือนลิฟต์ก็ดังขึ้นเมื่อเคลื่อนมาหยุดลงอยู่ที่ชั้น 1 และตอนนั้นเองขณะที่หญิงสาวแปลกหน้ากำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป จู่ๆ เธอก็พูดขึ้น
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่มีใครสอนเหรอเหรอว่าการเอาแต่จ้องหน้าคนอื่นแบบนี้มันเสียมารยาท!”
“อึก…ขะ ขอโทษค่า!” เพราะถูกมองเห็นเป็นแบบนั้น ฉันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะแสดงท่าทางหวาดกลัวให้สมเป็นเด็กหลังถูกว่าพลางยกมือขึ้นไหว้แทนการขอโทษอีกแรง แต่เชื่อไหม? ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หันกลับมาสนใจเสียงขอโทษขอโพยอย่างคนรู้สึกผิดของฉันเลย เธอไม่แยแสที่จะรับไหว้จากด้วยด้วยซ้ำ
เฮอะ! ถ้าฉันสูงได้เท่าเธอหรือโตได้มากกว่านี้ สาบานเลยว่าคนที่ควรยกมือไหว้น่ะ มันต้องเป็นเธอต่างหากชะนี!