วันต่อมา...
วันอังคาร เวลา 07.15 นาฬิกา
“Tiara! Hurry up! (เทียร์ร่า เร็วเข้า!)”
วันนี้ฉันตื่นสายเลยพลอยให้นิคตื่นสายไปด้วย เมื่อคืนฉันมัวแต่นั่งหาข้อมูลของโรคจิตเภทเพลินไปหน่อย อย่างน้อยถ้ารู้วิธีการรักษาหรือเหยียวยา มันอาจจะช่วยลดประชากรซึ่งป่วยเป็นโรคนี้ลงได้บ้าง ซึ่งผลพลอยได้ที่ตามมาก็คงไม่ผลเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ
“ฉันนำไปโรงเรียนก่อนนะเทียร์ร่า!”
“อ่าฮะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน” ฉันรับปากนิคแต่ในหัวยังคงวนเวียนเรื่องโรคดังกล่าวไม่หยุด ลำพังการหาข้อมูลด้วยตัวเองคงไม่ได้อะไรคืบหน้า เที่ยงนี้สงสัยต้องลองโทรหาแม่สักหน่อย เผื่อจะได้อะไรคืบหน้าขึ้นมาบ้าง
แต่ให้ตายสิ... นี่ฉันจะสามสิบอยู่แล้ว
ทำไมยังต้องมาคอยตื่นเช้าเพื่อไปโรงเรียนแบบนี้อยู่อีก
เกือบๆ 15 นาทีเห็นจะได้กว่าฉันจะจัดการอบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียนเสร็จ เมื่อเตรียมข้าวของทุกอย่างครบ กระเป๋าหมีน้อยติดกล้องสอดแนมก็ถูกสะพายติดตัวเตรียมตั้งที่จะออกไปเรียนตามปกติ ประตูห้องถูกออกอย่างช้าๆ มือพลางปิดปากซึ่งกำลังหาววอดๆ อย่างห้ามไม่ได้ แม้ว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้ความง่วงก็ยังไม่สร่างลงไปสักที
แกร๊ก...
“จะเอ๋~”
ตอนแรกก็ง่วงนอนอยู่หรอก แต่พอมีเสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นหลังเสียงประตูเปิดออกกว้าง ตาก็เริ่มสว่างขึ้นมาแทบจะทันที
“ใช่เราจริงๆซะด้วย...ยัยจิ๋ว”
“เฮือก!” การสะดุ้งเฮือกรับยามสายของวันไม่ใช่เรื่องตลก โดยเฉพาะเมื่อคำทักทายที่ดังขึ้นมาจากชายหนุ่มห้องพักฝั่งตรงข้าม เขาในวันนี้ไม่ได้แต่งชุดนักศึกษาเหมือนอย่างเมื่อวาน ใส่เพียงเสื้อยืดสีดำสนิทสวมทับด้วยเสื้อช็อปสีเทาทับไว้ด้านนอก กับกางเกงยีนส์สีดำขาดๆ
“ที่แท้ก็บ้านอยู่ที่นี่เอง อ้าวเฮ้ย!...”
ตึง!
บานประตูห้องถูกปิดกระแทกลงโดยอัตโนมัติแบบไม่รอฟังผู้ชายหน้าห้องกล่าวจนจบ และเมื่อประตูปิดลงมือก็รู้หน้าที่ของมันรีบจัดการใส่กลอนประตูทันทีแบบไม่ต้องคิด
ตาสองข้างของฉันกำลังเบิกกว้างประหนึ่งเจอผี หัวใจเองก็เต้นแรงคล้ายกับเพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาหมาดๆ ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะการเสียเหงื่อแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้องต่างหาก
ก๊อกๆ!
“เฮ้ย! ยัยจิ๋ว ออกมาคุยกันหน่อย!”
ปากฉันมันกำลังสั่น มือทั้งสองข้างเองก็เหมือนกัน
“ไม่ไปโรงเรียนหรือไง เดี๋ยวพี่ไปส่งเอาป่ะ?” อารมณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สมองเริ่มรับรู้แล้วว่าเกมซ่อนแอบระหว่างฉันกับนายอสุรามันได้จบลงแล้ว
ก๊อกๆ!
“ยัยจิ๋ว เฮ้ย! ยัย-จิ๋ว!” เพราะนายอสุรายังคงส่งเสียงเรียกอยู่ที่หน้าประตูบวกกับเสียงเคาะเรียกที่ดูไม่มีทีท่าจะว่าจะสงบ การเดินทางไปโรงเรียนในวันนี้จึงเป็นอันโมฆะ โทรศัพท์เครื่องสำคัญจึงถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรรายงานให้หน่วยอื่นจัดการรักษาความปลอดภัยแทนฉันที่จำต้องป่วยการเมืองอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้
[ครับว่าไงหมวดเทียร์]
“นายอยู่ไหนน่ะยู”
[ผมออกมาทำธุระให้สารวัตรKน่ะครับ]
“แปลว่าไม่ได้อยู่แถวหอพักฉันงั้นเหรอ?”
[ครับใช่ หมวดมีอะไรหรือเปล่า?]
“วานนายโทรสั่งให้คนช่วยดูน้องโบฟางแทนฉันทีสิ วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย”
[อ้าวคุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า]
“ไม่เท่าไหร่...” รู้ไหม ฉันอยากจะออกคำสั่งให้หมวดยูส่งคนมาช่วยจัดการดูแลความปลอดภัยหน้าห้องฉันอยู่เหมือนกัน แต่ว่า ถ้าส่งคำสั่งไปแบบนั้นมันก็ดูจะเสียศักดิ์ศรี เสียเกียรติของยศตำรวจที่ติดไว้บนอกและบ่าเกินไปหน่อย ประมาณว่าพอต้องใช้ชีวิตเป็นเด็กไม่เท่าไหร่ ก็ไร้ปัญญาและการเอาตัวรอดอะไรทำนองนั้น
ไม่ได้! ฉันต้องเอาตัวรอดได้สิ!
พอคิดเช่นนั้น คำสั่งเดียวที่มีจึงถูกพ่นออกไป ก่อนตัดสินใจลดโทรศัพท์ในมือลงเพื่อเลิกการติดต่อ
“ถ้ายังไงฝากด้วยแล้วกัน…”
จังหวะเดียวกันนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องรวมถึงเสียงเรียกน่ารำคาญของผู้ชายหน้าห้องก็หยุดลงไปด้วยเช่นกัน และเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าเขาอาจจะละความพยายามแล้วไปเรียนตามปกติ ฉันจึงรีบจัดการถอดกระเป๋าสะพายวางกองลงกับพื้น วิ่งไปยกเบาะนั่งทรงเตี้ยตรงไปยังประตูห้องพักอย่างรีบร้อนด้วยความทุลักทุเลทันที
กึก!
ทันทีทีเบาะนั่งถูกวางลงแนบกับประตูห้อง ฉันก็รีบพาตัวเองปีนขึ้นไปยืนด้านบนทันที จากนั้นก็โน้มตัวเล็กน้อยสอดส่องสายตาผ่านทางตาแมวเมื่อเช็กสถานการณ์ด้านนอก
“เฮือก!” ก่อนต้องสะดุ้งตัวโยนจนเกือบร่วงจากเบาะนั่ง เมื่อภาพที่ปรากฏกลับมาอีกฟากของบานกระตูคือนัยน์ตาคมที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนกำลังมองรอดผ่านเข้ามาภายในห้องเช่นกัน
เมื่อรับรู้ว่านายอสุรายังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ฉันจึงเฟดตัวออกมาให้ไกลจากประตูให้มากที่สุด ตัดสินใจหลีกเลี่ยงที่จะสนใจไปยังประตูบานเดิมอีก โดยหาเรื่องอย่างอื่นทำอยู่ภายในห้อง อะไรอย่างเช่นการเปิดหนังจากโน๊ตบุ๊คดูเพื่อฆ่าเวลาก่อนจะผล็อยหลับไปเพราะอาการนอนไม่เต็มตื่นในช่วงเช้า
รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะเสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกตั้งไว้ให้เตือนเวลาพักกลางวันของโรงเรียน ความงัวเงียทำฉันค่อยๆ ดันตัวเองที่เผลอฟุบหน้านอนแนบไปกับโซฟาลุกขึ้นขยี้ตา แบบไม่ต้องดูเวลาก็รู้ว่าตอนนี้มันคือเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว
“หิวจัง...” ฉันงึมงำบอกตัวเองก่อนผละตัวตรงไปยังตู้เย็นเพื่อหาขนมหรือเครื่องดื่มรองท้อง
แต่เพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆ จนแทบไม่ได้เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของมาตุนไว้เลย ภายในตู้เย็นตอนนี้จึงว่างเปล่า ด้วยความที่เป็นเช่นนั้นวิธีเดียวที่จะช่วยแก้หิวได้ก็คือการลงจากหอพักไปซื้อข้าวจากร้านรวงด้านล่างขึ้นมากิน แต่ว่า
ไม่ได้!
ไวกว่าที่จะต้องตัดสินใจ เท้าก็รีบตรงปรี่ไปยังประตูห้องที่ถูกลืมอีกครั้ง จัดการปีนขึ้นเบาะนั่งซึ่งยังถูกวางไว้ตำแหน่งเดิมเพื่อเช็กสถานการณ์เป็นที่สองของวัน ซึ่งครั้งนี้สถานการณ์นอกห้องได้เปลี่ยนไป ไม่มีวี่แววของใครเดินผ่านไปผ่านมาให้รู้สึกเป็นกังวลในใจ ที่สำคัญไร้วี่แววของนายอสุรา!
ฉันรีบพาตัวเองลงจากเบาะนั่งด้วยความรีบร้อน รีบยกไปเก็บไว้ที่หน้าโต๊ะกระจกดังเดิม โดยไม่ลืมคว้ากระเป๋าสตางค์ติดตัวตรงไปยังประตูห้องเพื่อตามหาสิ่งที่ต้องการ
การได้นอนหลับรอบที่สองอย่างเต็มอิ่ม ตาสองข้างยามนี้สว่างวิ้งวับยิ่งกว่าตอนตื่นนอนในครั้งแรกนัก ทุกการเคลื่อนไหวที่กำลังเป็นไปมีความหิวข้าวและกาแฟเป็นแรงขับเคลื่อน มือสองข้างจัดการปลดกลอนประตูออกด้วยอาการสั่นตามประสาคนขาดกาแฟ ก่อนตามมาด้วยการเปิดประตูผัวะออกกว้าง ทว่า
จังหวะที่เท้ากำลังจะพุ่งตัวออกจากห้องนั้นเอง เสียงทักทายหนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“อ้าวนั่น จะไปไหนอ่ะ!?”
กึก!
ขาทั้งสองข้างที่ก้าวพ้นออกจากมาภายในห้องหยุดชะงักโดยฉับพลัน หน้าหันขวับมองไปยังต้นเสียงโดยอัตโนมัติในอาการตาเบิกกว้าง เมื่อพบว่าข้างผนังห้องฉันมีชายตัวสูงกำลังนั่งขัดสมาธิ ตักข้าวราดแกงจากกล่องโฟมเข้าปากด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ
และวินาทีที่เราสบตากันตรงๆ ชายคนดังกล่าวก็เอ่ยปากถามขึ้น
“หิวข้าวหรือเปล่ายัยจิ๋ว? พี่ไม่เห็นเราออกจากห้องสักที เลยซื้อข้าวมาเผื่อ...”
“…”
“ข้าวไข่เจียวใส่หมูสับด้วยน้าา~”