บทที่ 4 เข้าเมือง

1540 Words
แม่หลี่คิดตามคำพูดของลูกสะใภ้รอง ก่อนจะหันมามองหม่าหลันจีและลู่เสี่ยวเหมยเชิงตั้งคำถาม ทว่าทั้งสองกลับไม่ตอบ เธอจึงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง “เรื่องที่เพ่ยชิงพูดมาเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนหรือไม่ ก่อนหน้านี้แม้ฉันจะอยากได้หม่าหลันจีมาเป็นสะใภ้ แต่เวลานี้เจ้ารองแต่งงานแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายชีวิตของเขา ส่วนเธอ หม่าหลันจี เธอเองน่าจะหาคู่ครองได้แล้วนะ อย่ารอเจ้ารองอีกเลย ต่อให้เพ่ยชิงพูดเรื่องหย่า แต่หากไม่มีใครไปกดดัน ฉันเชื่อว่าเพ่ยชิงคงไม่พูดคำนี้ออกมา คิดและทบทวนให้ดี” แม่หลี่พูดจบแล้วจึงเดินจากไปอีกคน เรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เวลานี้เจ้ารองของเธอมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว จะหย่าหรือไม่ อยู่ที่ทั้งสองคนตัดสินใจ แต่เธอเชื่อว่าฮั่นตงไม่มีวันหย่าหรอก ขนาดลูกสะใภ้เธอร้ายกาจยังไง ยังไม่มีคำว่าหย่าออกมาจากปากลูกชายของเธอเลยสักครั้งเดียว อีกอย่าง เวลานี้เหมือนเพ่ยชิงจะเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฮั่นตงจะหย่า อีกทั้งลูกชายเธอรักลูกทั้งสองคนมาก ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ครอบครัวแตกแยกแน่นอน “นังนั่นมันล้างสมองป้าสะใภ้หลี่หรือยังไงกันนะ ถึงได้พูดเข้าข้างมันอย่างนี้ แล้วที่เธอรอมาหลายปีล่ะ ไม่เสียเวลาเปล่าเหรอ” ลู่เสี่ยวเหมยบ่นกับสหาย นี่จึงทำให้แววตาของหม่าหลันจีวาวโรจน์เล็กน้อย ก่อนจะปรับมาเป็นปกติ “ช่างเถอะ ยังไงเรื่องนี้ฉันผิดเองที่รอพี่ฮั่นตง หากพี่ฮั่นตงกลับมาครั้งนี้แล้วเห็นบาดแผลบนใบหน้าของโจวเพ่ยชิง ไม่แน่ เขาอาจจะคิดใหม่เรื่องหย่าร้างก็ได้ ฉันจะยังคงรอพี่ฮั่นตงต่อไป หากไม่ใช่พี่ฮั่นตง ฉันยินดีอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิต” ลู่เสี่ยวเหมยรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของสหาย แต่ไม่คิดอะไร เมื่อเห็นสายตาของชาวบ้านและเห็นเกวียนผ่านมาจึงรีบเดินไปขึ้นเกวียนทันที ทางด้านโจวเพ่ยชิง หลังจากแยกจากแม่สามีและกลุ่มของหม่าหลันจีมาแล้ว พอเดินทางมาถึงป่ารกร้างจึงแอบเอาจักรยานออกมาจากห้างสรรพสินค้า ก่อนจะรีบปั่นเข้าอำเภออย่างที่ตั้งใจ ระหว่างทาง เธอมองดูบรรยากาศเดิม ๆ อีกครั้ง น้ำตาซึมเล็กน้อยเมื่อเจอกับสถานที่ที่เธอคุ้นเคย ก่อนที่สายตาจะมองเห็นหญิงวัยกลางคนอายุน่าจะพอ ๆ กับแม่สามี ป้าคนนี้นั่งอยู่กับหลานชายซึ่งอายุน่าจะไม่ต่างกับลูกเธอมากนัก จึงตัดสินใจจอดจักรยานและลงไปถาม “ป้าคะ ทำไมมานั่นตรงนี้ล่ะคะ” “แม่หนู ปะ ปะ ป้า เอ่อ...” ป้าคนนี้ไม่กล้าพูดอะไรมาก วันนี้เธอต้องการแลกเปลี่ยนของบางอย่างในตลาดมืด แต่กลับไม่มีใครยอมรับแลกเลยสักคนเดียว เวลานี้เธอต้องการอาหารและยาลดไข้ เพื่อนำกลับไปให้ลูกชายที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่บ้าน “ป้าเล่ามาเถอะ ฉันเป็นเพียงชาวบ้าน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่หรือคนของรัฐหรอกนะ” โจวเพ่ยชิงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เธอคิดว่าป้าคงไม่กล้าบอกอะไร เพราะกลัวว่าเธอเป็นคนของรัฐ “ป้ากับหลานต้องการเอาของบางอย่างมาแลกเปลี่ยนในตลาดมืด แต่กลับไม่มีใครรับแลก เวลานี้ลูกชายป้าป่วยหนัก ตอนนี้บ้านเราไม่มีเงินซื้อยาให้เขา หลานชายคนนี้ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ความเศร้าและท้อแท้ในแววตาของป้า มองมาทางโจวเพ่ยชิงอย่างไม่ปิดบัง เวลานี้มีชาวบ้านหลายครัวเรือนอดอยากไม่น้อย และคิดว่าป้าคนนี้ในอดีตคงเป็นคนมีฐานะ หรือไม่ก็เป็นคนยุคสมัยศักดินา “ป้าเอาของมาให้ฉันดูได้ไหมจ้ะ เผื่อฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง” หญิงวัยกลางคนครุ่นคิดไม่นาน จึงหยิบห่อผ้าบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ ซึ่งในนี้มีเครื่องประดับอยู่สองสามชิ้นและมีทองก้อนเล็กๆ อีกสองก้อน โจวเพ่ยชิงไม่รู้หรอกว่าข้าวของพวกนี้จะมีค่าหรือไม่ในอนาคต แต่ช่วงที่เธอตายไป ข้าวของพวกนี้ไม่ใช่ของต้องห้ามอีกแล้ว “ป้าต้องการอะไรบ้างคะ นอกจากอาหารและยา” “แม่หนูจะรับแลกเหรอ แต่ของพวกนี้มันไม่มีค่าอะไรมากนัก ป้าขอแค่อาหารพอประทังชีวิตและยาลดไข้ให้ลูกชายก็พอ” “ถ้าอย่างนั้นป้ารอฉันตรงนี้ก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวฉันมา ห้ามไปไหนนะ และเก็บของพวกนี้ไว้ก่อน อย่าให้ใครเห็นเดี๋ยวจะเป็นอันตราย ฉันไปไม่นาน” “จริงเหรอแม่หนู แม่หนูยอมรับแลกใช่ไหม” “ค่ะป้า รอก่อนนะ” โจวเพ่ยชิงยิ้มให้ป้าและพยักหน้ายืนยัน ก่อนจะขี่จักรยานออกมาและหามุมลับตาเพื่อเอาของออกมาให้ย่าหลานคู่นี้ “อาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ยารักษาโรค ป้าคนนั้นต้องการอะไรอีกหรือเปล่านะ” โจวเพ่ยชิงเลือกของใส่ตะกร้าให้ป้าคนนั้น พร้อมกับทบทวนข้าวของที่จะมอบให้กับป้าคนนั้น “ผ้าห่ม เสื้อผ้า” เธอยังคงเลือกของไม่หยุด สุดท้ายก็เต็มสองตะกร้า “ตายละ เยอะแบบนี้สองคนนั้นจะเอากลับยังไง” โจวเพ่ยชิงได้ของถึงสองตะกร้าใหญ่ ข้าวของพวกนี้เธอไม่ได้เสียเงินซื้อจึงไม่รู้สึกเสียดายสักนิด เธอต้องการส่งต่อให้กับคนที่ยากลำบากเช่นกัน เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการโจวเพ่ยชิงจึงออกมาจากมิติ และเอาตะกร้าทั้งสองผูกไว้กับจักรยาน ก่อนจะขี่กลับไปหาย่าหลานคู่นั้น “มาแล้วค่ะป้า” โจวเพ่ยชิงพอมาถึงก็จอดรถจักรยานและเรียกหาทั้งสองคนด้วยความดีใจ “พี่สาวมาแล้วครับย่า มีของมาเต็มเลย” เด็กน้อยร้องเรียกย่าของตนอย่างดีใจ เมื่อเห็นโจวเพ่ยชิงลงจากจักรยานพร้อมปลดตะกร้าที่ผูกไว้ออกมา ป้าคนนั้นเห็นดังนั้นก็ดีใจจนน้ำตาซึม และรู้ว่าครอบครัวเธอคงรอดตายได้อีกเป็นเดือน “นี่คือของทั้งหมดค่ะ มีผ้าห่มและเสื้อผ้าด้วยนะคะ ว่าแต่ป้าอ่านหนังสือได้ไหม หน้ากระปุกยามีเขียนไว้หมดแล้วว่า รักษาอะไรและกินอย่างไร” “ป้าอ่านไม่ออกหรอกแม่หนู แต่ลูกชายป้าอ่านออก ว่าแต่ทำไมของถึงได้มากมายอย่างนี้ล่ะ ของที่ป้านำมาแลกมันไม่ได้มีราคาค่างวดขนาดนั้นนะ” “ไม่เป็นไรค่ะ ช่วย ๆ กัน” เธอไม่พูดอะไรมาก ก่อนจะยื่นตะกร้าทั้งสองให้กับย่าหลานคู่นี้ “นี่จ้ะแม่หนู ของแลกเปลี่ยน หากไม่พอป้าจะเอามาให้อีก” หญิงวัยกลางคนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เธอรู้ดีว่าทรัพย์สินพวกนี้ไม่มีค่าอะไรเลย แต่ข้าวของที่แม่หนูคนนี้ให้มา กลับทำให้เธอและครอบครัวอยู่ได้อีกหลายเดือน “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วนี่ป้ามีเงินติดตัวไหม ขอโทษค่ะ ฉันไม่น่าถามเลย นี่ค่ะ เงินสิบหยวนเก็บไว้กับตัวนะ ฉันเองก็ไม่ใช่เศรษฐี แต่เวลานี้ลูกชายป้าป่วยไม่ใช่เหรอ เกิดกินยาแล้วไม่หายก็พาเขาไปโรงพยาบาลเถอะนะคะ อย่าฝืน วันนี้ฉันไปก่อนนะ ถ้าหากมีวาสนาต่อกัน คงได้พบกันอีก จริงสิ หากขาดเหลืออะไร ฉันจะวนเวียนอยู่ในตลาดมืดเพื่อขายของ ป้าสามารถไปหาฉันได้ที่นั่น ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ลาก่อนค่ะ” โจวเพ่ยชิงกล่าวส่งท้ายก่อนจะขอตัวจากไป แม้วันนี้จะเสียเงินเก็บไปสิบหยวน ทว่าหญิงสาวกลับไม่เสียดายแม้แต่น้อย หากเทียบกับการที่เธอได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอมองว่าเธอเสียเงินอันน้อยนิดเท่านั้น และถ้าเธอนำของเข้าไปขายในตลาดมืด เธอคงได้เงินมาอีกไม่น้อย แม้ว่านี่คือการทำความดีครั้งแรกของเธอ แต่เธอไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่นอน ไม่ใช่เพราะอยากให้บาดแผลบนใบหน้าหายไปอย่างที่ตาท่านนั้นบอก แต่เพราะเธออยากชดใช้กรรมในสิ่งที่เธอได้กระทำมาทั้งสองชาติต่างหากล่ะ ‘การทำความดีทำให้ใจสงบอย่างนี้นี่เองสินะเพ่ยชิง’ จากนั้นโจวเพ่ยชิงจึงมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอย่างที่เธอตั้งใจไว้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD