ตอนที่ 3

1350 Words
EP 3 “มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะตาบีม นี่ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอ” วิศนุชาละสายตาจากท้องฟ้ามืดยามราตรี หันไปมองเจ้าของเสียงเรียก “อีกสักพักผมก็จะนอนแล้วครับคุณแม่” เขาตอบมารดาเสียงนุ่ม และก็อดที่จะเอ่ยถามท่านไม่ได้ “แล้วคุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ” “แม่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับป้านันทาเสร็จน่ะ” วิศนุชายิ้มบางๆ และก็ละสายตาจากใบหน้าของมารดาไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นเดิม ป้านันทากับมารดาของเขาสนิทกันมาก และลูกสาวของป้านันทาก็คือผู้หญิงที่มารดาต้องการให้เขาแต่งงานด้วย แต่เขาบ่ายเบี่ยงมาตลอด “จะไม่ถามแม่หน่อยเหรอว่าแม่กับป้านันทาคุยอะไรกัน” “ผมพอจะเดาได้ครับ” “ลูกก็รู้อยู่เต็มอกว่าแม่อยากได้หนูฝันมาเป็นลูกสะใภ้แค่ไหน แล้วทำไมไม่ยอมตกลงแต่งงานกับหนูฝันเสียทีละลูก” เขาเลื่อนสายตามามองมารดาอีกครั้ง ก่อนจะยืนยันคำเดิม “น้องฝันเป็นเหมือนน้องสาวของผมครับ” “จะเป็นแค่น้องสาวได้ยังไง ในเมื่อหนูฝันก็ชอบพอลูก” แต่เขาไม่ได้ชอบพาฝันยังไงล่ะ ผู้หญิงที่ยังคงครอบครองหัวใจของเขาอยู่ในตอนนี้ยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิม ปัณฑารีย์... ผู้หญิงใจร้าย มากรัก ที่สลัดเขาทิ้งอย่างเลือดเย็น แต่ถึงหล่อนจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยลบหล่อนออกจากหัวใจได้สักที และยิ่งวันนี้ได้เจอหน้าหล่อนอีกครั้งหนึ่ง กำแพงที่พยายามสร้างเอาไว้ มันก็สั่นคลอนอย่างน่าเวทนา เขายังคงรักหล่อน แม้ว่าหล่อนจะร้ายกาจสักแค่ไหนก็ตาม “แต่ผมไม่ได้ชอบน้องฝันยังไงล่ะครับ” “ตาบีม” “ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ และผมก็จะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเด็ดขาด” คำยืนยันหนักแน่น ซึ่งมันก็คือคำเดิมๆ ที่เขาเคยบอกกับมารดามาตลอด ทำให้ท่านหน้าตึงขึ้นมาในทันที “อย่าบอกนะว่าลูกยังรักนังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นอยู่น่ะ” วิศนุชารู้ดีว่ามารดากำลังพูดถึงปัณฑารีย์ “ใครเหรอครับ” “อย่ามาทำเป็นเฉไฉหน่อยเลย ก็นังปลาอะไรนั่นไงลูก” “ผมลืมเธอไปแล้วครับ” เขาตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณแม่ไปนอนเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” “ก็ได้ แต่แม่ยังยืนยันนะว่าลูกสะใภ้ของแม่ต้องเป็นหนูฝันคนเดียวเท่านั้น” แล้วมารดาก็เดินจากไป ในขณะที่วิศนุชายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พาฝันไม่ใช่ผู้หญิงเลวร้ายอะไร และหน้าตาฐานะทางสังคมก็ทัดเทียมกับครอบครัวของเขา ซึ่งเขาน่าจะรักหล่อนได้ไม่ยาก แต่... ไม่ว่าจะทำยังไง เขาก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนได้เลย แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม ปัณฑารีย์ยังคงฝังแน่นอยู่ในซอกหลืบภายในหัวใจของเขา เขายังคงรักหล่อน... รักหล่อน ทั้งๆ ที่หล่อนมองเขาเป็นเพียงแค่เหยื่อโง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น หล่อนสนุกที่ทำให้เขาหลงรัก และก็สนุกยิ่งกว่าที่ได้เห็นเขาเจ็บปวด ยามที่หล่อนเบื่อหน่ายและสลัดเขาทิ้ง ไม่เคยมีคำขอโทษจากปากของหล่อนเลย นอกจากแผ่นหลังที่หันให้เสมอ พร้อมกับการเดินจากไป เขาเจ็บปวดขนาดนี้ เขาควรจะลืมหล่อนได้ แต่กลับทำไม่ได้ หัวใจไม่ยอมรับฟังคำสั่งจากสมองเลยแม้แต่นิดเดียว บ้าชิบ!                     “ท่านประธานคะ คุณอนุวดีโทรมาปฏิเสธการเข้าทำงานค่ะ”           วิศนุชาเต็มไปด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่พนักงานสาวกำลังพูดถึง           “คุณหมายถึง พนักงานที่ผมเลือกเข้าทำงานปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเราอย่างนั้นหรือ”           “ใช่ค่ะ เธอบอกว่ามีอีกทีหนึ่งเรียกทำงานเหมือนกัน และอยู่ใกล้บ้านของเธอด้วย เธอก็เลยขอยกเลิกบริษัทของเราค่ะ”           วิศนุชาถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดราบเรียบออกมา           “งั้นเรียกลำดับต่อไปมาแทนได้เลยครับ”           “ลำดับต่อไปคือคุณจันทราค่ะท่านประธาน”           “นั่นแหละครับ เรียกมาทำงานวันพรุ่งนี้ได้เลย”           “ได้ค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ”           พนักงานฝ่ายบุคคลออกไปจากห้องเพียงไม่ถึงสามนาทีก็เข้ามาหยุดตรงหน้าของเขาอีกครั้ง           “ท่านประธานคะ คุณจันทราประสบอุบัติเหตุรถล้มค่ะ ตอนนี้ใส่เฝือกอยู่ น่าจะพร้อมมาทำงานได้เดือนหน้าค่ะ”           วิศนุชากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก           “คุณก็รู้ว่าผมรอไม่ได้ งานของผมต้องเดินต่อไป และตอนนี้งานค้างก็เยอะมาก”           “งั้นก็คงต้องเรียกลำดับที่สามนะคะท่านประธาน”           “โอเค คุณจะเรียกใครมาก็ได้ แต่ต้องทำงานให้ผมได้ ผมขอแค่นี้แหละ”           “ค่ะ ท่านประธาน งั้นดิฉันจะรีบจัดการให้ค่ะ”           “อืม ออกไปได้แล้วครับ”           “ค่ะ”           พนักงานเดินออกไปจากห้องทำงานแล้ว วิศนุชาก็ถอนใจออกมาแรงๆ           เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมการรับเลขานุการในครั้งนี้ถึงได้มีแต่ปัญหามากมายนัก           มือใหญ่ถูกยกขึ้นลูบต้นคอแกร่ง ก่อนจะเลื่อนมากุมขยับ เขาบีบเคล้นไปมาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด     ปัณฑารีย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ที่สองของรอบวันนี้รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับด้วยความรีบร้อน เพราะมันสั่นเตือนมาสองสามครั้งแล้ว “สวัสดีค่ะ ปัณฑารีย์พูดสายค่ะ” “ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจากบริษัทที่คุณมาสัมภาษณ์งานไว้นะคะ” “อ๋อค่ะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจากบริษัทของวิศนุชานั่นเอง “ทางเรารับคุณเข้าทำงานแล้วนะคะ สะดวกเข้ามาทำงานในวันพรุ่งนี้ไหมคะ” คนฟังตัวเย็นเฉียบ ก่อนจะละล่ำละลักถามกลับออกไปอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่หูได้ยิน “ตะ... แต่พี่บีม... เอ่อ... ท่านประธานบริษัทบอกว่าดิฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์นะคะ” “เราเปลี่ยนแปลงแล้วค่ะ ถ้าคุณตกลง พรุ่งนี้เข้ามาทำงานได้เลยค่ะ” “เอ่อ...” “เราต้องการคนด่วน คุณต้องให้คำตอบดิฉันเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณปัณฑารีย์” หญิงสาวมือเย็นเฉียบ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากจนแทบจะหยุดเต้น วิศนุชากำลังคิดอะไรอยู่นะ ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจเรียกหล่อนเข้าไปทำงานด้วยล่ะ แล้วหล่อนควรไปไหม? การไปอยู่ใกล้เขาอีกครั้ง ไม่โหดร้ายกับหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว “ฉัน... เอ่อ...” หล่อนกำลังจะปฏิเสธ แต่คำทวงนี้ค่าเช่าบ้านที่มารดาค้างมาสองเดือนแล้วที่หล่อนได้ยินโดยบังเอิญเมื่อเช้านี้ก็แผดก้องขึ้นในหัวเสียก่อน ครอบครัวกำลังต้องการเงิน และนี่ก็กำลังเป็นโอกาสทองที่หล่อนจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวให้พ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ แม้จะต้องเจ็บปวดกับสายตาเย็นชา ท่าทางห่างเหินของวิศนุชา แต่หล่อนก็จะได้เงินเดือนเป็นสิ่งตอบแทน หล่อนต้องอดทนให้ได้... “ฉันตกลงค่ะ” “ขอบคุณค่ะ” เสียงของคู่สนทนาปลายสายเต็มไปด้วยความโล่งใจ “แล้วพรุ่งนี้เข้ามาเริ่มงานได้เลยนะคะ แล้วพบกันค่ะ” “ค่ะ ขอบคุณค่ะ” คู่สนทนาวางสายไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่หล่อนยังคงยืนนิ่งเหมือนถูกสาปอยู่ที่เดิม นี่หล่อนตัดสินใจถูกต้องไหมนะ หล่อนทำถูกไหม แม้จะถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจในครั้งนี้ได้อีกแล้ว ยังไงก็ต้องต่อสู้ต่อไป เพราะเป้าหมายของหล่อนก็คือทำงาน และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ปัณฑารีย์ฝืนยิ้มให้กับตัวเอง แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่น้อยเลยก็ตาม  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD