EP 3
“มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะตาบีม นี่ดึกแล้วยังไม่นอนอีกเหรอ”
วิศนุชาละสายตาจากท้องฟ้ามืดยามราตรี หันไปมองเจ้าของเสียงเรียก
“อีกสักพักผมก็จะนอนแล้วครับคุณแม่”
เขาตอบมารดาเสียงนุ่ม และก็อดที่จะเอ่ยถามท่านไม่ได้
“แล้วคุณแม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“แม่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับป้านันทาเสร็จน่ะ”
วิศนุชายิ้มบางๆ และก็ละสายตาจากใบหน้าของมารดาไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นเดิม
ป้านันทากับมารดาของเขาสนิทกันมาก และลูกสาวของป้านันทาก็คือผู้หญิงที่มารดาต้องการให้เขาแต่งงานด้วย แต่เขาบ่ายเบี่ยงมาตลอด
“จะไม่ถามแม่หน่อยเหรอว่าแม่กับป้านันทาคุยอะไรกัน”
“ผมพอจะเดาได้ครับ”
“ลูกก็รู้อยู่เต็มอกว่าแม่อยากได้หนูฝันมาเป็นลูกสะใภ้แค่ไหน แล้วทำไมไม่ยอมตกลงแต่งงานกับหนูฝันเสียทีละลูก”
เขาเลื่อนสายตามามองมารดาอีกครั้ง ก่อนจะยืนยันคำเดิม
“น้องฝันเป็นเหมือนน้องสาวของผมครับ”
“จะเป็นแค่น้องสาวได้ยังไง ในเมื่อหนูฝันก็ชอบพอลูก”
แต่เขาไม่ได้ชอบพาฝันยังไงล่ะ ผู้หญิงที่ยังคงครอบครองหัวใจของเขาอยู่ในตอนนี้ยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิม
ปัณฑารีย์...
ผู้หญิงใจร้าย มากรัก ที่สลัดเขาทิ้งอย่างเลือดเย็น
แต่ถึงหล่อนจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยลบหล่อนออกจากหัวใจได้สักที
และยิ่งวันนี้ได้เจอหน้าหล่อนอีกครั้งหนึ่ง กำแพงที่พยายามสร้างเอาไว้ มันก็สั่นคลอนอย่างน่าเวทนา
เขายังคงรักหล่อน แม้ว่าหล่อนจะร้ายกาจสักแค่ไหนก็ตาม
“แต่ผมไม่ได้ชอบน้องฝันยังไงล่ะครับ”
“ตาบีม”
“ผมไม่เปลี่ยนใจหรอกครับ และผมก็จะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเด็ดขาด”
คำยืนยันหนักแน่น ซึ่งมันก็คือคำเดิมๆ ที่เขาเคยบอกกับมารดามาตลอด ทำให้ท่านหน้าตึงขึ้นมาในทันที
“อย่าบอกนะว่าลูกยังรักนังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้นอยู่น่ะ”
วิศนุชารู้ดีว่ามารดากำลังพูดถึงปัณฑารีย์
“ใครเหรอครับ”
“อย่ามาทำเป็นเฉไฉหน่อยเลย ก็นังปลาอะไรนั่นไงลูก”
“ผมลืมเธอไปแล้วครับ” เขาตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณแม่ไปนอนเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
“ก็ได้ แต่แม่ยังยืนยันนะว่าลูกสะใภ้ของแม่ต้องเป็นหนูฝันคนเดียวเท่านั้น”
แล้วมารดาก็เดินจากไป ในขณะที่วิศนุชายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
พาฝันไม่ใช่ผู้หญิงเลวร้ายอะไร และหน้าตาฐานะทางสังคมก็ทัดเทียมกับครอบครัวของเขา ซึ่งเขาน่าจะรักหล่อนได้ไม่ยาก
แต่...
ไม่ว่าจะทำยังไง เขาก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนได้เลย แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
ปัณฑารีย์ยังคงฝังแน่นอยู่ในซอกหลืบภายในหัวใจของเขา
เขายังคงรักหล่อน...
รักหล่อน ทั้งๆ ที่หล่อนมองเขาเป็นเพียงแค่เหยื่อโง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น
หล่อนสนุกที่ทำให้เขาหลงรัก และก็สนุกยิ่งกว่าที่ได้เห็นเขาเจ็บปวด ยามที่หล่อนเบื่อหน่ายและสลัดเขาทิ้ง
ไม่เคยมีคำขอโทษจากปากของหล่อนเลย นอกจากแผ่นหลังที่หันให้เสมอ พร้อมกับการเดินจากไป
เขาเจ็บปวดขนาดนี้ เขาควรจะลืมหล่อนได้ แต่กลับทำไม่ได้ หัวใจไม่ยอมรับฟังคำสั่งจากสมองเลยแม้แต่นิดเดียว
บ้าชิบ!
“ท่านประธานคะ คุณอนุวดีโทรมาปฏิเสธการเข้าทำงานค่ะ”
วิศนุชาเต็มไปด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่พนักงานสาวกำลังพูดถึง
“คุณหมายถึง พนักงานที่ผมเลือกเข้าทำงานปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเราอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ค่ะ เธอบอกว่ามีอีกทีหนึ่งเรียกทำงานเหมือนกัน และอยู่ใกล้บ้านของเธอด้วย เธอก็เลยขอยกเลิกบริษัทของเราค่ะ”
วิศนุชาถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดราบเรียบออกมา
“งั้นเรียกลำดับต่อไปมาแทนได้เลยครับ”
“ลำดับต่อไปคือคุณจันทราค่ะท่านประธาน”
“นั่นแหละครับ เรียกมาทำงานวันพรุ่งนี้ได้เลย”
“ได้ค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ”
พนักงานฝ่ายบุคคลออกไปจากห้องเพียงไม่ถึงสามนาทีก็เข้ามาหยุดตรงหน้าของเขาอีกครั้ง
“ท่านประธานคะ คุณจันทราประสบอุบัติเหตุรถล้มค่ะ ตอนนี้ใส่เฝือกอยู่ น่าจะพร้อมมาทำงานได้เดือนหน้าค่ะ”
วิศนุชากระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก
“คุณก็รู้ว่าผมรอไม่ได้ งานของผมต้องเดินต่อไป และตอนนี้งานค้างก็เยอะมาก”
“งั้นก็คงต้องเรียกลำดับที่สามนะคะท่านประธาน”
“โอเค คุณจะเรียกใครมาก็ได้ แต่ต้องทำงานให้ผมได้ ผมขอแค่นี้แหละ”
“ค่ะ ท่านประธาน งั้นดิฉันจะรีบจัดการให้ค่ะ”
“อืม ออกไปได้แล้วครับ”
“ค่ะ”
พนักงานเดินออกไปจากห้องทำงานแล้ว วิศนุชาก็ถอนใจออกมาแรงๆ
เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมการรับเลขานุการในครั้งนี้ถึงได้มีแต่ปัญหามากมายนัก
มือใหญ่ถูกยกขึ้นลูบต้นคอแกร่ง ก่อนจะเลื่อนมากุมขยับ เขาบีบเคล้นไปมาเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด
ปัณฑารีย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องสัมภาษณ์ที่สองของรอบวันนี้รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับด้วยความรีบร้อน เพราะมันสั่นเตือนมาสองสามครั้งแล้ว
“สวัสดีค่ะ ปัณฑารีย์พูดสายค่ะ”
“ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจากบริษัทที่คุณมาสัมภาษณ์งานไว้นะคะ”
“อ๋อค่ะ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลจากบริษัทของวิศนุชานั่นเอง
“ทางเรารับคุณเข้าทำงานแล้วนะคะ สะดวกเข้ามาทำงานในวันพรุ่งนี้ไหมคะ”
คนฟังตัวเย็นเฉียบ ก่อนจะละล่ำละลักถามกลับออกไปอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่หูได้ยิน
“ตะ... แต่พี่บีม... เอ่อ... ท่านประธานบริษัทบอกว่าดิฉันไม่ผ่านการสัมภาษณ์นะคะ”
“เราเปลี่ยนแปลงแล้วค่ะ ถ้าคุณตกลง พรุ่งนี้เข้ามาทำงานได้เลยค่ะ”
“เอ่อ...”
“เราต้องการคนด่วน คุณต้องให้คำตอบดิฉันเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณปัณฑารีย์”
หญิงสาวมือเย็นเฉียบ รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากจนแทบจะหยุดเต้น
วิศนุชากำลังคิดอะไรอยู่นะ ทำไมถึงได้เปลี่ยนใจเรียกหล่อนเข้าไปทำงานด้วยล่ะ
แล้วหล่อนควรไปไหม?
การไปอยู่ใกล้เขาอีกครั้ง ไม่โหดร้ายกับหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ฉัน... เอ่อ...”
หล่อนกำลังจะปฏิเสธ แต่คำทวงนี้ค่าเช่าบ้านที่มารดาค้างมาสองเดือนแล้วที่หล่อนได้ยินโดยบังเอิญเมื่อเช้านี้ก็แผดก้องขึ้นในหัวเสียก่อน
ครอบครัวกำลังต้องการเงิน และนี่ก็กำลังเป็นโอกาสทองที่หล่อนจะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวให้พ้นจากวิกฤตนี้ไปได้
แม้จะต้องเจ็บปวดกับสายตาเย็นชา ท่าทางห่างเหินของวิศนุชา แต่หล่อนก็จะได้เงินเดือนเป็นสิ่งตอบแทน
หล่อนต้องอดทนให้ได้...
“ฉันตกลงค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงของคู่สนทนาปลายสายเต็มไปด้วยความโล่งใจ
“แล้วพรุ่งนี้เข้ามาเริ่มงานได้เลยนะคะ แล้วพบกันค่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
คู่สนทนาวางสายไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่หล่อนยังคงยืนนิ่งเหมือนถูกสาปอยู่ที่เดิม
นี่หล่อนตัดสินใจถูกต้องไหมนะ หล่อนทำถูกไหม
แม้จะถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแค่ไหน แต่หล่อนก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจในครั้งนี้ได้อีกแล้ว
ยังไงก็ต้องต่อสู้ต่อไป เพราะเป้าหมายของหล่อนก็คือทำงาน และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
ปัณฑารีย์ฝืนยิ้มให้กับตัวเอง แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่น้อยเลยก็ตาม