EP 6
“เสร็จแล้ว...” น้ำเสียงสดใสระคนเหนื่อยล้าดังออกมาจากกลีบปากอิ่มสีแดงสดของปัณฑารีย์ หญิงสาวไล่สายตามองไฟล์งานของตัวเองซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะกดส่งอีเมลให้กับวิศนุชา จากนั้นก็กดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
กระเป๋าสะพายสีดำถูกหยิบขึ้นมาจากลิ้นชัก และถูกคล้องกับไหล่มน ก่อนที่เจ้าของรูปร่างอวบอิ่มจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินออกไปจากห้องทำงานของท่านประธาน
ลิฟต์ตัวโตพาหล่อนลงมาถึงชั้นล่างในเวลาไม่กี่วินาที ออฟฟิศชั้นล่างร้างไร้ผู้คน ภายนอกของตัวอาคารก็ถูกกลืนกินด้วยความมืดของราตรีทุกตารางนิ้ว แต่ความมืดก็ยังไม่น่ากลัวมากเท่ากับสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำลงมาบนพื้นโลกอย่างหนักหน่วง
ใช่...
ฝนยังไม่หยุดตกเลย ตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงตอนนี้ เกือบจะสี่ทุ่มอยู่แล้ว
ท้องของหล่อนร้องประท้วงขึ้นด้วยความหิว เพราะตลอดทั้งช่วงเย็นยังไม่มีอะไรตกลงท้องของหล่อนเลยแม้แต่น้อย มือเล็กยกขึ้นกุมท้องเอาไว้ ขณะสอดส่ายสายตามองหาร่มสักคัน แต่ก็ไม่เจอเลย
หญิงสาวตัดสินใจเปิดประตูออฟฟิศออกมา สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเหมือนเดิม จนเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวของหล่อนถูกละอองฝนจนเปียกชื้น
“จะไปรอรถแท็กซี่ยังไงดีนะ”
ปัณฑารีย์มองไปยังป้อมยามที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควรด้วยความชั่งใจ แต่หากหล่อนมัวแต่กลัวเปียกอยู่แบบนี้ ก็คงจะไม่มีทางได้กลับถึงบ้านในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งออกจากชายคาของออฟฟิศ และฝ่าสายฝนไปยังป้อมยาม
ฝนเม็ดโตๆ เทกระหน่ำลงบนเรือนร่างของหล่อนอย่างไม่ปรานี ผิวของหล่อนเปียกชุ่ม ไม่ต่างจากเสื้อผ้าที่สวมใส่เลย
“หนู เปียกหมดแล้ว”
ลุงยามที่นั่งหลบฝนอยู่ในป้อมถึงกับร้องอุทานตกใจเมื่อเห็นหล่อนวิ่งเข้ามาหลบที่ชายคาของป้อมยาม
“เอ่อ... หนูหาร่มไม่ได้น่ะค่ะ ลุงพอจะมีร่มบ้างไหมคะ หนูขอยืมก่อน แล้วพรุ่งนี้หนูจะเอามาคืนค่ะ”
หล่อนรีบละล่ำละลักถามออกไป ความหนาวเหน็บจากเม็ดฝนที่เทใส่ร่างมันทำให้หล่อนตัวสั่น ฟันกระทบกันดังกึกหลายครั้ง
“มีๆ รอแป๊บนะ”
แล้วลุงยามก็หายเข้าไปในป้อมของตัวเอง สักพักก็โผล่หน้าออกมา พร้อมกับร่มคันเล็กในมือ ซึ่งดูท่าทางแล้วมีสิทธิ์จะพังเพราะฝนเม็ดโตๆ ในค่ำคืนนี้ได้ไม่ยาก แต่หล่อนไม่มีทางเลือก ยังไงซะการกลางร่มยืนรอรถแท็กซี่มันก็ยังดีกว่ายืนตากฝน
“นี่ร่มหนู แต่มันเล็กหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะลุง หนูจะรีบเอามาคืนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่านี่จะออกไปรอรถแท็กซี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ รถเมล์ตอนนี้หมดไปแล้ว”
“แต่ลุงว่าฝนตกหนักแบบนี้ แม้แต่รถแท็กซี่ก็ไม่น่าจะมีนะหนู”
สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่ก็ยังคงมีความหวัง
“อาจจะมีสักคันผ่านมา หนูขอบคุณสำหรับร่มนะคะ เดี๋ยวหนูไปยืนรอรถแท็กซี่ก่อน”
“ลุงอยากออกไปยืนรอเป็นเพื่อนนะ แต่ลุงไม่มีร่มแล้ว”
“ไม่มีไรค่ะลุง หนูยืนคนเดียวได้ค่ะ”
“กลับบ้านปลอดภัยนะหนู”
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนกล่าวขอบคุณลุงยาม ก่อนจะรีบกางร่ม และเดินออกไปหยุดที่ริมถนน ใต้เสาไฟที่มีหลอดไฟส่องสว่างด้วยความรีบร้อน
ภาวนาให้มีแท็กซี่สักคันวิ่งผ่านมา เพราะหล่อนอยากกลับบ้านเหลือเกินแล้ว
สิบนาทีผ่านไป เหมือนหล่อนยืนตากฝนฟรีๆ เพราะไม่มีแท็กซี่สักคันขับผ่านมาเลย
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็ต้องมี”
หญิงสาวให้กำลังใจตัวเอง ขณะกัดฟันเพื่อข่มความหนาวเหน็บเอาไว้ แสงไฟจากหน้ารถคันหนึ่งใกล้เข้ามา หล่อนยิ้มกว้าง เพราะคิดว่าเป็นรถแท็กซี่ แต่พอรถคันนั้นมาจอดตรงหน้า มันก็ทำให้หล่อนแปลกใจไม่น้อย
“ไม่ใช่รถแท็กซี่นี่นา”
หล่อนพึมพำ และขยับตัวถอยหลังเข้าไปด้านในของทางเท้า ดวงตาจ้องมองฝ่าสายฝนไปยังรถสีดำอย่างไม่ไว้ใจนัก
คงไม่มีอะไรหรอก ลุงยามก็อยู่ไม่ไกล...
หญิงสาวปลอบใจตัวเอง ก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ คนขับรถสีดำก็ก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับร่มคันใหญ่
“มายืนทำบ้าอะไรตรงนี้ ไม่เห็นหรือไงว่าฝนมันตกหนักน่ะ!”
แม้จะทั้งความมืด ทั้งสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา แต่หล่อนไม่มีทางลืมเสียงนี้ไปได้ ผู้ชายที่อยู่ใต้ร่มคันโตเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
“พี่บีม...” หล่อนพึมพำเรียกชื่อเขาออกมาอย่างลืมตัว
“ขึ้นรถ เร็วเข้า”
เขาออกคำสั่งเสียงดังแข่งกับสายฝน
หล่อนพยายามตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อสติกลับคืนมาหล่อนก็รู้ว่าควรจะปฏิเสธคำเชิญของวิศนุชา
“เอ่อ... ท่านประธานขับรถผ่านมาทางนี้เหรอคะ”
“ไม่ต้องมาถาม ผมบอกให้ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
“ไม่... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวรถแท็กซี่ก็ผ่านมาแล้วค่ะ”
เขาปัดร่มในมือของหล่อนทิ้งไป และรั้งให้หล่อนเข้ามาอยู่ในร่มคันโตคันเดียวกับเขา ความสูงของเขาทำให้หล่อนกลายเป็นคนแคระไปโดยปริยาย
“ดึกขนาดนี้ คุณคิดว่าแท็กซี่จะมีให้คุณใช้บริการหรือไง”
“แท็กซี่วิ่งทั้งคืนแหละค่ะ”
“คงอยากเจอแท็กซี่หื่นกามสินะ”
คำพูดนี้ของเขาทำให้หล่อนถึงกับหน้าแดงระเรื่อเลยทันที
“เอ่อ...”
“ดูสภาพคุณตอนนี้สิ เสื้อเชิ้ตสีขาว เวลาเปียกน้ำน่ะ มันเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว นิสัยชอบอวดชอบอ่อยนี่ ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
คำพูดของเขาไม่ต่างจากคมมีดที่มันปาดลงบนหัวใจของหล่อนเลย
เขาดูแคลนหล่อนอย่างไม่ปรานี
หญิงสาวน้ำตาร่วง ยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้ ขณะพยายามถอยออกจากร่มคันโต แต่เขาคว้าแขนเรียวเอาไว้
“ผมบอกให้ขึ้นรถ”
“แต่...”
เมื่อหล่อนยังคงมีทีท่าลังเล เขาจึงโยนร่มในมือทิ้งไปกับพื้น เนื้อตัวของเขาถูกสายฝนเทกระหน่ำเข้าใส่จนเปียกปอนไม่ต่างจากหล่อนเลย
“ไม่มีแต่ ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
ร่างของหล่อนถูกลากไปยัดใส่รถคันงามอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็วิ่งอ้อมตัวรถ และขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัยรถในวินาทีต่อมา
วิศนุชาหันมามองหล่อน เขามองหล่อนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ผมไม่ควรย้อนกลับมาเลย ให้ตายสิ!”
เขาเค้นเสียงดุดันออกมา ก่อนที่รถคันงามจะเคลื่อนกลับไปบนท้องถนนอีกครั้ง