บทที่6. เจ้าเป็นอะไรกัน

1533 Words
โดยปกติหยางเหลาหู่เป็นคนกินอิ่มนอนหลับไม่กระสับกระส่าย  ทว่าคืนที่ผ่านมาเขาพลิกตัวอยู่บ่อยครั้ง กว่าจะหลับได้เกือบสว่าง  เพราะคิดถึงสาวใช้ตัวจิ๋วที่เพิ่งรับเข้ามา ดูท่าทางไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไป  แต่เดิมคิดว่านางทำงานอยู่ในครัวคงไม่เป็นอะไร ทว่าบิดามารดาของเขาเอ็นดูนางมาก  ทำให้อดระแวงไม่ได้ เขารู้ว่ามารดาอยากมีลูกสาวอีกสักคนแต่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง   ตั้งครรภ์แรกก็อายุมากแล้ว  และบิดาไม่รับอนุเข้าเรือนทำให้มีแค่เขาและน้องชายเพียงสองคนเท่านั้น             เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าเสี่ยวหงส่งผู้หญิงแบบไหนมาให้  จริตมารยาหญิงอาจมีเล่ห์กลอื่นที่เขาไม่อาจล่วงรู้  จิตใจคนเรามีความทะยานอยาก อยากได้อยากมี หวังก้าวหน้าเดินทางลัดก็มาก ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น  เห็นตัวเล็กๆ ดูใสซื่อไม่รู้ว่าซ่อนเขี้ยวเล็บไว้หรือไม่               เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขายังต้องการรู้สาเหตุอาการหวาดผวาของนาง             เพราะหน้าที่คือผู้คุ้มภัย เขาจึงระแวงและระวังตลอดเวลา  ระหว่างการเดินทางกลับมาที่ป้อมพยัคฆ์ทมิฬ  เขาลอบสังเกตท่าทางของหญิงผู้นั้น  มองผิวเผินนางไม่มีอะไรผิดปกติ  รูปร่างแบบบางแต่การเดินทางที่ไม่ได้สะดวกสบายนี้  ไม่ได้ทำให้นางโอดครวญแต่อย่างใด  พิจารณาแล้วว่านางไม่เป็นวรยุทธ  ท่าทางเรียบร้อยไม่เรื่องมากยังเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี  นางเป็นผู้หญิงคนเดียวในการเดินทางครั้งนี้ เขาจึงยอมให้นางนอนในรถม้าตามลำพัง             ระหว่างการเดินทางในคืนหนึ่ง เขาตรวจดูความเรียบร้อยของขบวนเดินทางและเดินผ่านรถม้าที่นางนอน ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงโผล่หน้าเข้าไปดู คราวแรกเขาคิดว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของนางเรียกร้องความสนใจจากเขา  ทว่าร่างที่ดิ้นทุรนทุรายไม่ได้สติอยู่นั้น  ทำให้เขาตระหนกตกใจไม่น้อย             “นี่” เขาพยายามเรียกนางให้ตื่น แล้วตัวเองต้องเป็นฝ่ายตกใจที่เห็นร่างเล็กผวาขึ้นจากที่นอน ดวงตาเบิกโต ริมฝีปากอ้าเรียกลมหายใจ มือเรียวเล็กกุมลำคอของตัวเอง อึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งจึงได้อากาศเข้าปอด แล้วร่างของนางก็ร่วงผล็อยลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น             “นี่!เจ้าเป็นอะไรกัน!”             เขาสบถแล้วโน้มหน้าลงไปใกล้แต่นางไม่รู้สึกตัว ทว่าไม่ได้จมอยู่กับฝันร้ายแล้ว  เขาจึงล่าถอยออกมาครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางเป็น   เขามิใช่บุรุษที่ดีนัก  แต่เชื่อใจว่าผู้หญิงที่เสี่ยวหงส่งมานั้นมิได้ถูกขู่บังคับมา ทุกนางล้วนเต็มใจทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ  นั้นคือความสบายใจหนึ่งที่เขาได้รับ  เขาไม่ได้ปลุกหรือเรียกนางอีก ปล่อยให้นางหลับต่อไป  เช้าวันรุ่งขึ้นนางเป็นปกติ  ยามสบตากันก็ทำเช่นนายกับบ่าว ด้วยความสงสัยพอตกดึกเขาลอบอยู่ใกล้รถม้าที่นางพักผ่อน กลางดึก  นางเป็นเช่นนั้นอีก เขาไม่ได้ปลุกนางแต่ปล่อยให้นางผวาลุกขึ้นนั่งแล้วร่วงผล็อยลงไป  ตลอดสิบคืนที่ผ่านมา เขาแอบลอบเข้ามาดูนาง ทำให้รู้ว่านางไม่ได้นอนละเมอทุกคืน  แต่ละครั้งนั้น...ช่างน่าสงสารจับใจ กระนั้นเขามิได้ปล่อยใจไปกับความน่าเวทนานี้ ยังคงวางกำแพงตั้งระวังนางไว้อย่างดียิ่ง             ทุกเช้าหยางเหลาหู่จะคุมชายฉกรรจ์ฝึกซ้อมวรยุทธ  ไม่ว่าจะมีงานหรือไม่ คนของเขาต้องแข็งแกร่งและเตรียมพร้อมเสมอ  หยางกั๋วชิ่งมักเรียกใช้คนในป้อมไปทำงานของตนได้แทบตลอดเวลา ขณะที่หยางเหลาหู่เดินกลับมาจากลานฝึก หยางกั๋วชิ่งก็เดินตรงเข้ามาโดยมีอาลี่เดินตามอยู่ด้านหลังดุจเงาตามตัว ดวงตาคมของหยางเหลาหู่หรี่มองน้องชาย ที่อายุห่างกันเพียงสองปีแล้วโคลงศีรษะไปมา             “เจ้าหาเรื่องแกล้งอาลี่อีกแล้ว”  หยางเหลาหู่เปิดปากชิงตำหนิน้องชายก่อน             “พี่ใหญ่ใส่ความข้า”  หยางกั๋วชิ่งแสร้งทำเป็นตัดพ้อ             “อาลี่ผิวบางโดนแดดนิดเดียวก็แดงเป็นรอยไหม้ แล้วไยเจ้าลากเขาติดตามมาที่ลานฝึกซ้อมเช่นนี้” หยางเหลาหู่ติดขี้สงสารไปสักหน่อย อาลี่เป็นเด็กที่เขาหิ้วคอเสื้อเหวี่ยงขึ้นรถม้ากลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬ รอยแผลเป็นอันน่าเวทนาแล้วยังท่าทีขลาดกลัวนั้น  ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หายเสียที             “เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านยิ่งไม่สบายตัว”  หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างไม่สนใจคำตำหนิของพี่ชาย             “ขะ...ข้า เต็มใจ”  อาลี่เอ่ยปากส่งเสียงไกล่เกลี่ย อาลี่รู้ดีว่าหยางเหลาหู่แม้มีรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดัน  แต่ความจริงเป็นคนใจอ่อนขี้สงสาร  พบเจอแมวหมาบาดเจ็บหรืออดยากก็หิ้วคอกลับมาป้อมพยัคฆ์ทมิฬให้เขาดูแลทุกครั้งไป  เหมือนที่หิ้วคอเสื้อเขาขึ้นมาจากโคลนตมในวันนั้น             “ข้ามิเคยเห็นเจ้าไม่เต็มใจสักครั้ง”  หยางเหลาหู่ย่นจมูก “มาถึงนี้มีอะไรรึ”             “เข้าเรื่องได้เสียที” หยางกั๋วชิงพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าอยากได้แรงคนไปช่วยขุดลอกทางน้ำทางทิศเหนือ”             “หือ?”               “ข้าวางแผนขยายพื้นที่เพาะปลูกทางทิศเหนือ  อีกไม่นานฝนจะมาแล้ว ข้าอยากสำรองน้ำไว้ใช้ยามแล้งด้วย”             หยางเหลาหู่จ้องมองสีหน้าจริงจังของน้องชาย เขาสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยออกมา             “ได้! ข้าจะไปคุมงานให้เอง”             “อย่างไรข้าก็ต้องไปด้วย”  น้องชายคลี่กระดาษที่ร่างแผนการเพาะปลูกไว้ให้พี่ชายดู นอกจากพื้นที่เพาะปลูกยังมีพื้นที่สำหรับเลี้ยงสัตว์และอีกหลายอย่างที่ทำให้คนเป็นพี่ต้องขมวดคิ้ว             “มากถึงเพียงนี้”             “ท่านเดินทางกลับมาช้า ข้าเลยเพิ่มนั้นเพิ่มนี้เข้าไปอีก” หยางกั๋วชิ่งไหวไหล่อย่างเคยชิน  เรื่องเหล่านี้เขาเคยปรึกษาพี่ใหญ่มาก่อนแล้ว  มั่นใจว่าพี่ชายไม่คัดค้านอะไร เขาจึงเพิ่มรายการสิ่งที่ควรทำเข้าไปอีกหลายรายการ  อย่างไรก็มีคนมีแรงงานให้ใช้อยู่แล้ว จะเป็นอะไรไปเล่า             “ข้าเดินทางตามกำหนดเวลาไม่เคยล่าช้า”  หยางเหลาหู่โคลงศีรษะแล้วมองไปทางอาลี่ “อยู่ด้วยกันเจ้ามิห้ามปรามกั๋วชิ่งบ้าง”             อาลี่เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม             “ปรึกษาท่านพ่อดีแล้ว?”             “แน่นอน แต่อย่างไรท่านเป็นพี่ใหญ่ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”             “ถ้าเจ้าคิดว่าวันๆ ข้าอยู่สบายเกินไปจึงหาเรื่องหางานให้ข้าทำเพิ่มขนาดนี้ก็ตามใจเจ้า”   หยางเหลาหู่แสร้งบ่นไปอย่างนั้น  แต่ไม่คิดค้านสิ่งที่น้องชายเสนอ  สองพี่น้องทำร่วมแรงร่วมใจพาให้สกุลหยางหลุดพ้นความอดอยากทุกข์ยากมาได้   ช่วงที่บิดาล้มป่วย ความเป็นอยู่ของคนในป้อมพยัคฆ์ทมิฬมีความลำบากอยู่ไม่น้อย แม้ไม่ถึงกับอดยากแต่ก็มิสบายนัก  เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลับไปอยู่ในสภาวะเช่นนั้นอีก             หยางเหลาหู่เดินนำหน้าจึงไม่รู้ว่าหยางกั๋วชิ่งแอบดึงมืออาลี่  เด็กหนุ่มผอมบางดวงตากระตุกวูบไหว  อาลี่พยายามชักมือกลับแต่อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่สนใจ  มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์  แท้จริงหยางกั๋วชิ่งมิได้สนใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรกับเขา  หากแต่อาลี่ร้องเป็นฝ่ายร้องขอมิให้แพร่งพรายเรื่องราวเหล่านี้ เขาจึงยอมตามใจ  เขาเผด็จการเอาแต่ใจแต่กับอาลี่ เขารู้ว่าการบังคับไม่ใช่หนทางได้หัวใจของอีกฝ่ายมาครอบครอง             “ประเดี๋ยวข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปหาท่านพ่อ เจ้าไปก่อนก็แล้วกัน”             “ฮืม”  หยางกั๋วชิ่งพยักหน้ารับ ยอมให้อาลี่ชักมือกลับแล้วติดตามพี่ชายของเขากลับไป             หยางเหลาหู่แม้จะระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่กับน้องชายตัวเองเขากลับละเลยและละเว้นไว้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาเพียงแค่กังวลว่านิสัยไร้ปากเสียงและยอมผู้อื่นเสมอของอาลี่จะทำให้ถูกรังแก โดยเฉพาะ กับหยางกั๋วชิ่งที่มักหาเรื่องมายืมตัวอาลี่ไปใช้งานบ่อยๆ             ‘ข้าไม่ชอบคนพูดมาก’   นั้นเป็นเหตุผลของหยางกั๋วชิ่ง  แต่ก็จริง น้อยครั้งหรือแทบจำไม่ได้ว่าอาลี่เคยโต้เถียงใคร ลักษณะนิสัยของอาลี่เองทำอะไรเชื่องช้านิ่มนวล  เพราะนิสัยเช่นนี้ที่ทำให้เขาต้องดึงอาลี่มาเป็นบ่าวติดตามตัวจะได้ไม่มีผู้อื่นมากลั่นแกล้งอาลี่ได้             แต่บัดนี้เขามีสาวใช้ที่ยังไม่อาจวางใจในได้  นางเป็นปัญหาชิ้นใหม่  ทำให้เขาต้องรั้งเสี้ยวเวยอยู่ข้างตัวและส่งอาลี่ไปช่วยงานหยางกั๋วชิ่ง  อย่างน้อยอาลี่อ่านออกเขียนได้  ช่วยงานน้องชายเขาได้มากกว่าอยู่ข้างตัวเขา            
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD