ณ สนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
"นี่! พวกเธอ...รอฉันด้วยสิ!"
รองเท้าผ้าใบผูกเชือกสีขาวเสียดสีกับพื้นมันวาวของสนามบินส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด หญิงสาวในชุดวอร์มสีแดงเลือดหมู ตะโกนร้องเรียกกลุ่มเพื่อนนักกีฬาพลางวิ่งกระหืดกระหอบตามหลังไปไม่หยุด ขณะที่พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและก้าวขาเดินต่อไปราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
รูปร่างสูงเพรียวแบบฉบับนักกีฬาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ภายใต้ชุดกีฬาที่โคร่งและใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย ทรวดทรงองค์เอว กล้ามเนื้อบนแขนและหน้าท้องของเธอนั้นสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าเป็นหุ่นที่ใครหลายคนเฝ้าใฝ่ฝันเลยก็ว่าได้
เธอคนนี้คือ ซือลี่หยาง หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นในด้านกีฬายูโด ความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาทำให้เธอสามารถพิสูจน์ตัวเองจนเข้าไปเป็นนักกีฬายูโดประจำชาติได้
และใช่ ยิ่งโดดเด่นก็ยิ่งมีคนริษยา…
นี่แหละชีวิตของแท้!
ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีสัมพันธไมตรีอันดีงามกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ แต่เป็นเพราะพวกเขาต่างหากที่จ้องจะอิจฉาริษยา เห็นว่าโดดเด่นกว่าจึงรวมกลุ่มกันต่อต้าน
เมื่อวิ่งตามไปได้สักพักหนึ่ง เสียงในหัวสมองของเธอก็สั่งการให้หยุด!
หยุดที่จะร้องขอความช่วยเหลือหรือเห็นใจจากคนแล้งน้ำใจอย่างนั้นอีก
"นี่!!!!! หูหนวกกันเหรอไง" ซือลี่หยางตวาดเสียงแหลมตามหลังพวกเขาไปด้วยความโมโห เธอรู้สึกโกรธจนแทบจะเขวี้ยงกระเป๋าเดินทางในมือทิ้ง ผู้คนที่เดินสวนไปมาในสนามบินต่างหันมามองที่เธอเป็นตาเดียวกัน
"นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฝนตกรถติด ทำให้คลาดกันกับโค้ชละก็...คงไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนเย่อหยิ่งอย่างนั้น เห็นแล้วน่าหงุดหงิดชะมัด!" ซือลี่หยางก้มศีรษะมองพื้นกระเบื้องเคลือบสีขาวที่เปล่งประกายแวววาว เอ่ยพลางทอดถอนใจออกมาเบา ๆ
"ลี่หยาง...เธอวิ่งตามพวกงี่เง่านั่นไปทำไม ฉันต่างหาก! ที่เป็นเพื่อนรักของเธอ ฉันที่คอยปกป้องดูแลเธอและจะพาเธอไปขึ้นเครื่องบินเอง"
เสียงตะโกนตามมาจากทางด้านหลัง ซือลี่หยางหยุดชะงัก ตัวแข็งทื่อในทันที...
นั่นไง! เอาอีกแล้ว เขาอีกแล้ว คำพูดเลี่ยน ๆ ของเพื่อนสนิทอย่างเผิงฉู่เซียว ทำเอาเธออยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี
เผิงฉู่เซียว เป็นนักยูโดทีมชาติอันดับต้น ๆ ของประเทศจีน หน้าตาหล่อเหลา ขาวตี๋ รูปร่างสูงโปร่ง สาว ๆ เห็นเป็นต้องกรี๊ดกร๊าดสลบกันเป็นแถว แต่นิสัยใจคอช่างแตกต่างกับหน้าตาเสียเหลือเกิน
สำหรับฉันแล้ว เผิงฉู่เซียวชอบทำอะไรเปิดเผย เปิดเผยเสียจนน่าอับอายในบางครั้ง ชอบทำเสียงดัง โหวกเหวกโวยวาย ทำอาหารมาให้ในบางวันที่อารมณ์ดีและบอกรักในวันเพื่อนที่เขากำหนดขึ้นมาเองในปฏิทิน
ถึงแม้จะดูเป็นคนแปลก ๆ ไปเสียหน่อย แต่สุดท้ายแล้ว...ในค่ายนักกีฬาแห่งนี้ เขาก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน
สิ้นสุดความคิด รอยยิ้มสดใสก็พลันปรากฏฉายบนใบหน้าขาวกระจ่างของซือลี่หยาง ก่อนที่เธอจะกวักมือเรียกเพื่อนสนิทให้เข้ามาหา
เผิงฉู่เซียววิ่งเหยาะ ๆ ขายาวคู่นั้น เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตำแหน่งที่เธอยืนอยู่แล้ว พลางถาม "ที่เธอวิ่งตามพวกนั้นไป เพราะเธอลืมบอดี้การ์ดหนุ่มรูปหล่ออย่างฉันไปแล้วใช่ไหม? "
ซือลี่หยางหัวเราะในลำคอ เอ่ยตอบ "ใครจะไปลืมนายได้ลง ฉันคิดว่านายขึ้นไปรอบนเครื่องแล้วต่างหาก"
เผิงฉู่เซียวส่งเสียงร้องอ้อ ทำสีหน้ายียวนคล้ายว่าเข้าใจ ก่อนจะยื่นถุงขนมสีน้ำตาลให้ "นี่! ขนมปังครัวซองต์ ซื้อมาฝากเธอน่ะ…"
พอซือลี่หยางยื่นมือรับและเห็นโลโก้ของร้าน ดวงตากลมโตทั้งสองข้างก็ลุกวาวขึ้นมาทันที "นะ นี่มัน...ร้านครัวซองต์ในตำนานไม่ใช่เหรอ!!!"
เผิงฉู่เซียวยิ้มกรุ้มกริ่ม ตาชั้นเดียวที่มีเอกลักษณ์ของเขาหรี่ลงจนแทบจะเห็นเป็นเส้นตรง
"ร้านแพงขนาดนี้ นายจะซื้อมาให้ฉันทำไม" ซือลี่หยางขมวดคิ้วถาม
"ไปกันเถอะ...ถ้าช้ากว่านี้ พวกเราตกเครื่องบินกันแน่" เผิงฉู่เซียวถือวิสาสะดึงกระเป๋าเดินทางมาไว้กับตัวและจูงมือเธอเดินออกไป
"ดะ เดี๋ยว นายน่ะ ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!!" ซือลี่หยางเดินตามพลางโวยวายใหญ่ พอไม่ได้คำตอบจากเขาทีไร ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเสียทุกที
"ขณะนี้เที่ยวบิน AL67 ไฟล์ทโตเกียว โอซาก้ากำลังจะขึ้นบินแล้ว ผู้โดยสารทุกท่านกรุณานั่งรัดเข็มขัดอยู่กับที่ พร้อมปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรง ปิดโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้จนกว่าสัญญาณรัดเข็มขัดจะดับ..." เสียงนุ่มนวลรื่นหูของแอร์โฮสเตสสาวดังขึ้น
ซือลี่หยางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ เธอเลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง เพราะที่ตรงนี้สามารถมองเห็นทัศนวิสัยงดงามบนท้องฟ้าได้อย่างกว้างขวางมากที่สุด ส่วนที่ข้าง ๆ แน่นอนว่าเป็นของเผิงฉู่เซียว หลังจากที่ตบตีฟาดฟันกันมานาน สุดท้ายก็เป็นเขาที่ยอมเธอเสมอ
การเดินทางไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ ซือลี่หยางคาดหวังเอาไว้สูงเป็นอย่างมาก เธอฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้อายุย่างเข้าวัยยี่สิบสามปีแล้ว เรียกได้ว่ากีฬายูโดแทบจะเป็นทั้งชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้
มือเล็กสอดเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ตวอร์ม คว้าเอารูปเล็ก ๆ ขึ้นมาดูแล้วนั่งยิ้มอยู่คนเดียวราวกับคนเสียสติ
รูปนั้นคือรูปของท่านอาจารย์จิโกโร่ คาโน่ ปรมาจารย์ผู้คิดค้นกีฬายูโด ผู้เป็นแรงบันดาลใจทำให้เธอมีความฝันอยากเป็นนักกีฬายูโดทีมชาติ และวันนี้เธอก็กำลังจะไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว
ซือลี่หยางยกรูปเล็กทาบไว้ที่อกพลางหลับตาเอ่ยพึมพำกับตนเองเบา ๆ ว่า "ขอให้ท่านอาจารย์จิโคโร่ช่วยดลบันดาลให้การแข่งขันกีฬายูโดระดับชาติครั้งนี้ ราบรื่นและนำเหรียญทองกลับมาให้ได้ด้วยเถิดนะคะ"
ในขณะที่จิตใจกำลังสงบ เสียงกระซิบกระซาบหนึ่งก็ดังขึ้นข้างริมหู
"เอาไปสองเหรียญเลยจ๊ะแม่หนูน้อย...ฮ่า ฮ่า"
เสียงดัดแหบพร่าแสร้งทำเป็นชายชราของเผิงฉู่เซียว ทำให้เธอลืมตาและหันไปทำหน้าปั้นปึ่งใส่เขาด้วยความไม่พอใจ
"นี่!!! นายกล้าล้อฉันเล่นเหรอ"
เผิงฉู่เซียวไม่สะทกสะท้าน แต่กลับหัวเราะชอบใจ หันไปหยิบหนังสือเดินทางฉบับภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่านอย่างมีความสุข
"นายนี่นะ...ชอบหาเรื่องกันอยู่เรื่อย" ซือลี่หยางบ่นอุบอิบไม่หยุด ก่อนจะนำรูปในมือยัดใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตดังเดิม
เพียงไม่นาน ไฟทั้งห้องโดยสารเครื่องบินก็ดับสนิท
ในขณะที่เครื่องบินกำลังจะทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า อยู่ ๆ ซือลี่หยางก็โพล่งถามขึ้นน้ำเสียงจริงจัง "นี่เผิงฉู่เซียว...นายว่า การแข่งขันครั้งนี้ ฉันพอจะมีโอกาสชนะไหม"
เผิงฉู่เซียวหันหน้ามาอมยิ้มและตอบ "ลี่หยาง...ฝีมือระดับเธอ ยังต้องถามอีกเหรอ ซ้อมหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ชาตินี้จะหาแฟนกับเขาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้"
ได้ยินอย่างนั้น ซือลี่หยางก็แยกเขี้ยวใส่ ยกกำปั้นมะเหงกชูขึ้นทันที จริงอยู่ที่เธอไม่เคยสนใจการแต่งหน้าปรับรูปโฉมอย่างจริงจัง มีเพียงครีมกันแดดที่เป็นเกราะป้องกันผิว กับลิปมันเปลี่ยนสีที่พอจะทำให้ริมฝีปากแห้งผากของเธอชุ่มชื้นขึ้นมาได้หนึ่งระดับ ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาจึงมันย่องแวววาวเป็นย่อม ๆ เธอคิดเสมอว่าการเป็นนักกีฬาไม่จำเป็นต้องใช้หน้าตาที่สะสวย ความสามารถและชัยชนะเท่านั้นที่จะทำให้เธอเป็นจุดสนใจได้ แต่พอได้ยินคำพูดจากเพื่อนชายคนสนิท เธอกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก!
"ละ แล้วนายจะทำไม"
"ก็เผื่อเธอหาแฟนไม่ได้ ฉันจะเสียสละยอมแต่งงาน เป็นเจ้าบ่าวให้เธออย่างไรล่ะ...ฮ่า ฮ่า" เผิงฉู่เซียวยักคิ้วหลิ่วตา ทำสีหน้าหยอกเย้าเพื่อนอย่างสนุกสนาน
"ไม่มีทางซะหรอก!" ซือลี่หยางเบือนหน้าหนี แม้จะเอ่ยปฏิเสธออกไป แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้อยู่ดี
"ลี่หยาง…" เผิงฉู่เซียวสะกิดที่แขนของเธอเบา ๆ
ซือลี่หยางปัดมือเขาออก เอ่ยถามด้วยความขลาดเขิน "อะไรของนายอีก"
"ฉันชอ….."
ยังไม่ทันได้พูดจบ เครื่องบินทั้งลำก็สั่นสะเทือน กระแทกขึ้นและลงเหวี่ยงไปมาตามแรงกระเพื่อมของอากาศอย่างรุนแรง
ซือลี่หยางที่ไม่ทันตั้งตัว หัวใจกระตุกวาบ ยกมือกุมอกทันทีโดยสัญชาตญาณ
"สถานการณ์อย่างนี้ในทางวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า 'ตกหลุมอากาศ' ลี่หยาง เธออย่าตกใจไปเลย...เธอยังมีฉันอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้" เผิงฉู่เซียวพยายามปลอบประโลม ภายใต้สีหน้าไร้อารมณ์ของเขา แววตาคู่นั้นแฝงความหวาดกลัวเอาไว้อยู่หลายส่วน
ซือลี่หยางพยักหน้ารัว ๆ ยามนี้แม้จะพยายามหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากมายมาอ้างอิง จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ร่างกายที่รัดด้วยเข็มขัดไว้แน่นสั่นสะเทือนและไม่มีท่าทีจะหยุด ผู้โดยสารทุกคนบนเครื่องบินต่างอกสั่นขวัญแขวน เสียงฮือฮาแตกตื่นและกรีดร้องดังแทรกขึ้นหลายระลอก
เพียงไม่นาน เครื่องบินก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง
ทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก กัปตันประจำเครื่องบินประกาศเข้ามาในห้องโดยสารว่าเป็นเพราะสภาพอากาศเกิดความแปรปรวนเท่านั้น ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบและขออภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มปิติเปรมปรีดิ์ของผู้โดยสารทุกคนก็ฉายขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ทว่าความสุขก็อยู่กับเราไม่นาน…
เครื่องบินที่เพิ่งจะสงบ กลับมาสั่นสะเทือนอีกครั้งและดูเหมือนว่าจะแรงขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งแรก สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ไฟมืดดับลงฉับพลัน อุปกรณ์ฉุกเฉินร่วงหล่นลงมาตรงหน้าของผู้โดยสารทั่วทั้งลำ
ซือลี่หยางคว้าหน้ากากออกซิเจนขึ้นมาสวมที่ใบหน้าทันที ทุกคนในยามนี้ต่างสติกระเจิดกระเจิง บ้างก็หลับตาสวดมนต์ขอพรต่อเทพเจ้าเพื่อให้ตนเองปลอดภัย บ้างก็ภาวนาสั่งเสียถึงครอบครัวของตนเองในใจ เสียงร้องไห้ระงมดังขึ้น เครื่องบินทั้งลำปกคลุมด้วยความสิ้นหวังและหดหู่
แม้แต่ตัวของซือลี่หยางเองก็ไม่อาจครองสติเอาไว้ได้ เธอหลับตาสนิท ในหัวสมองยามนี้นึกถึงแต่หน้าพ่อแม่และน้องสาว หยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลอาบแก้มไม่หยุด
เผิงฉู่เซียวคว้ามือของซือลี่หยางมาประสานไว้แน่น รอบนี้เครื่องบินไม่มีท่าทีที่จะหยุดสั่นสะเทือน กลับแรงขึ้นและแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเท่าทวีคูณ
เพียงครู่ เครื่องบินที่เริ่มจะทรงตัวไม่อยู่ก็เอนเอียงปีกไปทางด้านซ้าย ถลาลงไปเรื่อย ๆ และดิ่งลงสู่พื้นพสุธา...
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เร็วจนลืมหายใจ ภายในหูของลี่หยางมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นและสดับหายไป สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในวัฏจักรของมนุษย์ที่ไม่มีทางหลีกหนีพ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนพบเจอกันทั้งสิ้น และความมืดก็คือสิ่งเดียวในตอนนี้ที่กำลังอยู่กับเธอจนวินาทีสุดท้ายของช่วงชีวิต
จากนั้นก็ไม่หลงเหลืออะไรอีก…