ตอนที่ 20 : เรื่องเล่าริมธารา

2306 Words
พวกเขาขี่ม้าออกล่าสัตว์ในป่ากันต่อ คราวนี้อ๋องสี่ควบม้านำไปก่อน คอยนำทางอยู่ด้านหน้า ตรงกลางคืออ๋องเจ็ด ส่วนเยี่ยเทียนรั้งท้ายอย่างเอาใจใส่ ครั้นเมื่อขี่ม้าไปได้สักพัก แสงสีม่วงอมทองยามอัสดงก็เริ่มจับท้องฟ้า ทุกคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากล่าสัตว์เป็นหาที่พักพิงแทน “ที่นี่แหละ!” สุ้มเสียงทุ้มเข้มของอ๋องสี่ดังกังวานขึ้นหลังจากที่เห็นจุดพำนักที่น่าสนใจ องค์ชายทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในทันที มั่นใจว่าอ๋องสี่ผู้นี้มีพรสวรรค์เรื่องการเดินป่าที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้เสมอ กีบเท้าม้าหยุดชะงัก เยี่ยเทียนตวัดตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่วพลิ้วไหวราวกับก้อนเมฆที่เลื่อนลอย ชายเสื้อคลุมสีดำวาดเป็นแนวโค้งงดงามกลางอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาอย่างสง่างาม ผิดกับซือลี่หยางที่พยายามหาทางลงจากหลังม้าด้วยท่าทางประดักประเดิด นางไม่เคยขี่ม้ามาก่อนในชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม แน่แล้วว่าทักษะการขี่ม้าของนางย่อมเป็นศูนย์ เยี่ยเทียนปรายตามองนางด้วยหางตา เห็นใบหน้างามพริ้งเพริศเฉิดฉันพลันเปลี่ยนเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด มือหนึ่งจับเชือกบังเ**ยนไว้ อีกมือหนึ่งจับลูบปอยผมสีดำขลับ ความกลัดกลุ้มฉายชัดในแววตา เห็นเช่นนั้นเขาก็อดขำออกมามิได้ "เจ้าปรารถนาจะควบม้าเที่ยวเล่นต่อหรือ ไฉนถึงไม่ยอมลงมา" เยี่ยเทียนเอ่ยพลางยิ้มกระหยิ่ม "ใช่ที่ไหนกันเล่า องค์รัชทายาทก็เห็นอยู่ว่าหม่อมฉันลงจากม้าเองมิได้ ไยถึงจงใจแกล้งข้า" ซือลี่หยางถลึงตาโต เอ่ยโวยวายลั่น นางรู้ว่าเขาจงใจกลั่นแกล้ง สีหน้าท่าทางเจ้าเล่ห์ที่ดูสะใจเช่นนั้น แท้ที่จริงแล้วเขามิได้คาดเดายากเลยแม้แต่น้อย "ลงมา! ก่อนที่ข้าจะช่วยผลักเจ้าให้ตกลงมาเอง" เขาเอ่ยสั่งการเสียงขรึมพลางส่งยื่นมือหนาไปหานางบนหลังม้า ซือลี่หยางลังเลใจหลายส่วน กึ่งหนึ่งจำยอมให้เขาช่วยเหลืออย่างไม่ขัดขืน อีกกึ่งหนึ่งกลับรู้สึกอยากต่อต้านที่เขาชอบใช้อำนาจ แต่ยามนี้นางไม่มีทางจะลงไปเองได้ หากหยิ่งยโส ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา ก็ดูจะโง่งมเกินไปแล้ว สิ้นสุดความคิด นางก็ยื่นมือเล็กจับมือของเขา ก่อนจะตวัดขา ตั้งท่าเตรียมจะกระโดดลงมาจากหลังม้า ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันอุบัติขึ้น ทันทีที่ขาของนางยกพาดผ่านลำตัวม้า เท้าที่เหยียบโกลนไม้อย่างผิดวิธีหมุนวนเป็นวงกลม ทำให้นางพลาดท่าลื่นตกลงมาจากหลังม้าอย่างไม่ตั้งใจ เยี่ยเทียนรีบวิ่งเข้าไปรับตัวนางทันที ทว่าร่างบางถาโถมมาทั้งตัว ทั้งสองจึงล้มลงบนพื้นอย่างทุลักทุเล แผ่นหลังของเขาปะทะกับพื้นอย่างแรง สามารถปกป้องนางได้ทันท่วงที ฝุ่นดินและเศษใบไม้ใบหญ้าฟุ้งกระจาย ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป ซือลี่หยางฟุบอยู่บนร่างของเยี่ยเทียน สองมือกำแน่นยันแผงอกกำยำของเขาไว้ ใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นระรัวอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ สิ่งรอบตัวพลันชะงักค้าง ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ ราวกับใต้หล้านี้มีเพียงนางและเขาสองคนเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองเขาในระยะประชิด เพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าขาวกระจ่างเกลี้ยงเกลาและเครื่องหน้าฟ้าประทานของเขาที่ดูหล่อเหลาคมคายกว่าแต่ก่อน อาจเป็นเพราะนางไม่เคยอยากจะสนทนากับเขา เห็นสีหน้าเย็นชาก็มักจะเมินหนี หากเขาไม่ทำหน้านิ่งและแย้มยิ้มบ่อย ๆ มากกว่านี้ ก็คงจะมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ขณะครุ่นคิด ร่างกายของเยี่ยเทียนก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน รูม่านตาดำสนิทของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้างดงามนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด ทั้งสองประสานตา ทว่าต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออก ทันใดนั้นเอง หลิงเฟยที่กำลังเดินมาหาซือลี่หยางพอดี เมื่อเห็นท่าทางใกล้ชิดของทั้งสองคน นางก็รีบหลบตาพลางอุทานออกมา "อ๊ะ!" เสียงร้องแหลมนี้ดึงสติของเยี่ยเทียนกับซือลี่หยางหวนคืนมา ใบหน้าของซือลี่หยางร้อนผ่าวจนแทบจะลุกเป็นไฟ นางใช้สองมือและเท้าพยายามลุกขึ้นเป็นพัลวัน "ข้าเสียมารยาทแล้ว" หลิงเฟยหลุบตาเอ่ยอย่างเหนียมอาย เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง กล่าวขอตัว ก่อนจะปล่อยให้สตรีพูดคุยกันตามอัธยาศัย หลังจากที่เยี่ยเทียนก้าวเท้าออกไป หลิงเฟยก็รี่เดินเข้ามาหา พลางแย้มยิ้มละไม กล่าวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้มีโอกาสร่วมเดินป่ากับท่านพี่เยว่อีกครั้ง” ซือลี่หยางถามกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย “ข้าเคยสนิทกับเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ? ” สิ้นเสียง ใบหน้าของหลิงเฟยก็พลันฉายแววกระอักกระอ่วน นางตอบด้วยท่าทีอึกอัก "เอ่อ...คือ...ก่อนหน้านี้ข้าไม่ค่อยได้พบเจอกับท่านพี่เยว่บ่อยครั้งนัก จึงมิได้มีโอกาสสร้างความคุ้นเคยและสนิทสนม" ซือลี่หยางที่เพิ่งรู้ตัวว่านางผลีผลามถามอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิด จึงรีบกล่าวแย้งและหวนคืนสู่ท่าทางสำรวมอีกครั้ง “ข้าขออภัยที่ล่วงเกิน ข้าคิดน้อย พูดไม่ระวัง แท้ที่จริงแล้วข้าดีใจยิ่งนักที่ครั้งนี้เราได้ร่วมเดินทางมาด้วยกัน” หลิงเฟยรีบยกมือกล่าวว่า 'ไม่เป็นไร' อย่างนุ่มนวล ท่าทางของนางดูสง่างามและอ่อนช้อยประหนึ่งสายลมที่พัดต้องกิ่งหลิว ดูไม่หวือหวาเกินงาม ทว่าสบายตาและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก “ปล่อยให้บุรุษออกไปล่าสัตว์ แล้วเราไปนั่งคุยเล่นที่ริมลำธารกันดีหรือไม่เพคะ” หลิงเฟยเอ่ยชวน “นี่ก็เย็นย่ำแล้ว พวกเขายังจะออกไปล่าสัตว์อีกหรือ” ซือลี่หยางขมวดคิ้วน้อย ๆ งึมงำอย่างไม่เข้าใจ หลิงเฟยยกมือหัวเราะอย่างสำรวม พลางตอบ “เรื่องของบุรุษบางอย่าง...สตรีก็มิอาจล่วงรู้ บุรุษคงจะชมชอบการล่าสัตว์เหมือนกับที่สตรีชมชอบผ้าแพรพรรณสวย ๆ กระมัง ปล่อยพวกเขาไปเถิด อยู่ในวังหลวงคงกดดันมาก จึงอยากจะปลดปล่อยกันบ้าง” สิ้นสุดคำพูดของหลิงเฟย ดวงตาของซือลี่หยางก็ทอประกายวูบ ถ้อยคำเพียงหนึ่งกับวาจาไม่กี่ประโยคนี้ ล้วนแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งราวกับบทกลอน ยามเมื่อนึกคิดตามในหัวสมองก็บังเกิดความเข้าใจพวกเขาขึ้นมาในทันที พวกนางทั้งสองเหยียบย่างเข้าไปในป่า ยามเมื่อแหวกพงหญ้าเดินก้าวไปเรื่อย ๆ สุดระยะสายตา ลำธารที่ปรารถนาก็ปรากฏชัดเจนขึ้น ซือลี่หยางและหลิงเฟยเดินเยื้องย่างไปที่ริมลำธาร แสงจันทร์สาดทอลงบนผืนน้ำ สะท้อนเห็นหินกรวดแม่น้ำสีต่าง ๆ ถูกอาบย้อมด้วยแสงแวววาวอ่อนจาง ลมกลางคืนโชยมา ปลายผมสยายยาวของซือลี่หยางพันกันอย่างซุกซน หลิงเฟยวางโคมไฟเล็ก ๆ ไว้ข้างลำธาร ถอดรองเท้าผ้าไหมเหยียบย่ำพื้นดินและก้อนหินที่เย็นเยียบ ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงด้วยท่าทางผ่อนคลาย ซือลี่หยางนั่งลงข้าง ๆ นาง พลางกวาดสายตามองรอบด้าน ผืนน้ำในลำธารใสกระจ่างดั่งแสงตะวัน คลื่นน้ำเบาบางพลิ้วไสว ไอเย็นสบายอ้อยอิ่งอยู่รอบตัว เสียงน้ำไหลผสมผสานกับเสียงแมลงที่ขับขานยามค่ำคืน ช่างเป็นเสียงที่น่าลุ่มหลง นิ่งสงบอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่น่าเชื่อเลยว่า อีกด้านหนึ่งของป่าจะมีลำธารและแสงจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์ทอแสงสีเงินดุจแพรไหมที่งดงามถึงเพียงนี้ “ข้าชอบมานั่งที่นี่คนเดียว” หลิงเฟยเอ่ยขึ้น ขณะที่นางกำลังหย่อนปลายเท้าลงมาไปแช่ในลำธารเหมือนกับเป็นเด็กซุกซนคนหนึ่ง ซือลี่หยางหรี่ตาลงเล็กน้อย ยิ้มบางตอบ “ข้าไม่แปลกใจ...ที่นี่งดงามถึงเพียงนี้” หลิงเฟยหลุบตา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง "ใช่เพคะ ที่แห่งนี้งดงามนัก ทำให้ข้านึกถึงชีวิตก่อนเข้ามาอยู่ในรั้ววัง” ซือลี่หยางชะงักงันเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงกลับมายิ้มอีกครั้ง พลางถาม “จะเป็นการล่วงเกินหรือไม่ หากข้าจะถามชีวิตของเจ้าที่ผ่านมา” หลิงเฟยยกยิ้มน้อย ๆ เอ่ยเล่าอย่างตั้งใจ “ข้าเป็นบุตรีของข้าหลวงเจ้ากรมโยธาเมืองไหวลู่ ได้รับพระราชทานแต่งงานกับอ๋องสี่จนยามนี้ ก็ล่วงมาถึงปีที่ห้าแล้ว" นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านอ๋องดูแลข้าเป็นอย่างดี เว้นแต่ข้าเองที่โง่เขลา กว่าจะมองเห็นความรักที่แท้จริง ก็เกือบจะเสียท่านอ๋องไปเสียแล้ว” ดวงตาของซือลี่หยางวูบไหวเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นนึกสงสัย "เสียท่านอ๋องไปอย่างนั้นหรือ..." หลิงเฟยพยักหน้าเบา ๆ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ "ก่อนที่จะเข้ามาเป็นชายาของท่านอ๋อง ข้าเคยมีคนรักมาก่อน" เอ่ยถึงประโยคนี้ ดวงตาของนางก็เริ่มมีน้ำอุ่นร้อนเอ่อคลอ ซือลี่หยางรู้สึกตกใจไม่น้อยที่ได้ยินนางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น เหตุใดนางถึงไว้ใจกล้าเล่าให้ฟัง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นานแท้ ๆ หลิงเฟยเล่าต่อ "บุรุษผู้นั้นมีนามว่า ไฉ่หลาน หลังจากที่เขารู้ว่าข้าแต่งงาน เขาก็ออกบำเพ็ญเพียรเป็นนักพรตที่วัดบนเขาสูง ข้าผู้ไม่รักดีแอบติดตามเขาไปที่อาศรม อ้อนวอนขอร้องให้เขาหนีตามกันไปกับข้า ได้ยินแบบนี้แล้ว...ท่านพี่ว่าข้าเป็นคนเลวทรามหรือไม่" สิ้นสุดคำพูด ซือลี่หยางก็รู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน ม่านตาของนางเบิกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบกล่าวตอบว่า "ไม่! ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย...สุดท้ายแล้วเรื่องนี้จบเช่นไร" ต่อจากนั้นความเงียบงันก็เคลื่อนมาปกคลุม แม้แต่หลิงเฟยเองก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย พอได้ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีต นางก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น เอ่ยต่อทั้งน้ำตา "ไฉ่หลานยอมหนีไปกับข้า จนกระทั่งไปถึงหน้าผา เขาบอกกับข้าว่าความรักของเราเปรียบดั่งข้อห้ามร้ายแรงที่มิอาจให้อภัยได้ สรวงสวรรค์จะต้องพิโรธ หลังจากที่เขาพูดจบ... เขา...เขา" พอเล่าถึงตรงนี้ น้ำตาของนางก็ร่วงพรูออกมาเหมือนน้ำตกที่โถมทะลัก นางพยายามสุดความสามารถที่จะเปล่งเสียงเอ่ยคำต่อไปว่า "เขาก็...กระโดดหน้าผาลงไปตาย หนีลาจากข้าไปชั่วนิจนิรันดร์" ได้ยินเช่นนั้น ซือลี่หยางก็รู้สึกจุกแน่นไปทั้งอก ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก จุดจบความรักของหลิงเฟยคือ การจากลา พลัดพรากโดยไม่มีวันหวนกลับมา มีเพียงความเศร้าโศกและทุกข์ระทมที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เท่านั้น ช่างโศกาอาดูรเหลือคณา... สิ้นสุดความคิด ซือลี่หยางก็เขยิบกายเข้าไปใกล้นาง ใช้มือลูบหลังเบา ๆ กล่าวปลอบประโลมซ้ำ ๆ ว่า "ไม่เป็นไร ๆ " หลิงเฟยยกมือปิดหน้าสะอื้นไห้ใหญ่ ความอัดอั้นตันใจยาวนานถูกระบายออกมาจนหมดในครานี้ "แล้วอ๋องสี่เล่า...เขาดีกับเจ้าหรือไม่" ซือลี่หยางถามเสียงนุ่มนวล แสงจันทร์ส่องสะท้อนริบหรี่ เป็นประกายเลือนรางพร่ามัว หลิงเฟยเงยหน้าขึ้นมาปาดน้ำตา เอ่ยด้วยแววตาเศร้าสร้อย "ท่านอ๋องดีกับข้ายิ่งนัก เขารู้เห็นทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งตอนที่ข้าหนีไปกับท่านนักพรต แต่เขากลับยืนยิ้มรอข้าตรงหน้าประตูและขอร้องให้ข้ากลับมารักเขาเต็มหัวใจ" ซือลี่หยางฟังแล้วอึ้งไป นางรู้สึกสงสารอ๋องสี่จับใจ หยาดน้ำตาแวววาวเอ่อคลอดวงตานางอย่างควบคุมไม่อยู่ อ๋องสี่ช่างเป็นบุรุษที่หาผู้ใดมาเปรียบได้ยาก บุรุษที่เสียสละและเข้มแข็ง แม้คนรักจะหนีไปกับบุรุษผู้อื่นเขาก็ยังให้อภัยนาง น่านับถือยิ่งนัก… "หลิงเฟย...เจ้าร้องไห้ออกมาให้เต็มที่เถิด แล้วอย่าไปนึกถึงในอดีตอีก อะไรที่ผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไขมิได้ เจ้าจงทำตัวเป็นภรรยาที่ดีของท่านอ๋องและมีความสุขให้มากที่สุด นักพรตผู้นั้นก็คงหวังเช่นนั้นเหมือนกัน" หลิงเฟยโผเข้าไปกอดในอ้อมอกอันอบอุ่นของซือลี่หยาง ซุกหน้าหลั่งน้ำตาปานจะขาดใจ หวังเพื่อระบายความทุกข์ระทมออกมาให้สิ้น ซือลี่หยางกอดนางแน่น ครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างหวาดหวั่นในใจ ความรักช่างซับซ้อนนัก การแต่งงานพระราชทานไม่ต่างอะไรจากคลุมถุงชนในโลกปัจจุบัน คนไม่เคยมีความสัมพันธ์รักใคร่มาก่อน คงยากที่จะรักอีกฝ่ายได้อย่างเต็มหัวใจ นางมีคนรักมาก่อนหาใช่เรื่องผิด สงสารแต่อ๋องสี่ที่ต้องเจ็บปวดและมีบาดแผลในใจ แต่เพราะการให้อภัย ทำให้นางได้รับโอกาสอันใหญ่หลวงอีกครั้ง พวกเขาอาจจะเป็นคู่แท้กันจริง ๆ ฟ้าดินได้ลิขิตเอาไว้ แล้วข้าล่ะ...ในเมื่อมาอยู่ในร่างนี้ มีสามีเกี่ยวพันเช่นนี้ ข้าควรจะลองปรับตัวและเปิดใจให้องค์รัชทายาทดีหรือไม่ ?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD