ซิ่นเฉิงถูกนำมาพักในเรือนใหญ่ แม้คราแรกจะดื้อแพ่งไม่ยอมมา แต่สุดท้ายก็ต้องยินยอมด้วยร่างกายร้อนรุ่มเสียจนอ่อนล้า อีกทั้งอวัยวะบุรุษเพศกลางลำตัวก็เอาแต่ชูชันไม่มีท่าทีสงบ การแยกออกจากเรือนนอนของคนรับใช้มาอยู่อย่างส่วนตัวเห็นทีจะเป็นการดีกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นประสงค์ของเทียนอี้ที่หมายจะให้ซิ่นเฉิงได้ปลดปล่อยตนเองเป็นการส่วนตัว
ทว่า... ความหยิ่งผยองอันโง่เขลาของซิ่นเฉิงที่เกรงว่าจะเป็นที่หมิ่นศักดิ์ศรีให้เทียนอี้ได้พูดถึงชั่วลูกชั่วหลานว่าปราบพยศเขาได้เพราะกำหนัดที่ ก่อเกิดอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซิ่นเฉิงจึงไม่แม้แต่จะแตะต้องกลางลำตัว ทำเพียงนอนนิ่งๆ ปล่อยให้ความร้อนในกายเผาผลาญเสียจนเหงื่อกาฬไหลพรากตลอดทั้งวัน
อาการมาแย่ลงในตอนตะวันลาลับ ช่วงหัวค่ำก็พอจะกัดฟันทนได้ แต่เมื่อคล้อยเข้าสู่กลางดึก ซิ่นเฉิงก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป หายใจหอบหนัก จังหวะการหายใจขาดช่วง คล้ายกับทุรนทุรายจะขาดใจตายให้จงได้ เขาเกือบจะเผลอใช้มือปลดเปลื้องตนเองอยู่แล้ว หากแต่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น เพราะมือกำผ้าห่มไว้เสียแน่น
ไม่มีวัน...อย่างไรก็ไม่มีวันจะทำเรื่องอย่างนั้นในจวนของเทียนอี้เป็นอันขาด!
เสียงร้องดังอือๆ ลอยมาให้เจ้าของจวนซึ่งนั่งอยู่ในห้องหนังสืออย่างเช่นทุกวันรำคาญอยู่ไม่น้อย แม้ห้องที่ให้ซิ่นเฉิงพักกับห้องหนังสือจะไกลกันพอควร แต่ด้วยความที่ประสาทสัมผัสไว เทียนอี้จึงได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน อีกทั้งกลิ่นกายของซิ่นเฉิงซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวก็ลอยคละคลุ้งปะปนมาในอากาศอีก ทำเอาเทพอสูรจำต้องปิดตำราลง แล้วก้าวออกจากห้องนั้น เดินไปตามทางกระทั่งถึงยังห้องของมนุษย์หนุ่ม
มือหนาผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่ร้องขออนุญาต ครั้นประตูเปิดก็เห็นซิ่นเฉิงนอนพลิกตัวไปมาอย่างทรมาน เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังจะดื้อรั้นอีก...
บ่นในใจขึ้นมาด้วยระอา ก่อนจะหันไปปิดประตูลงดาล จากนั้นก็ก้าวเข้ามาทรุดนั่งที่ปลายเตียงด้วยความเงียบเชียบ มองซิ่นเฉิงที่ซุกใบหน้าลงกับผ้าห่มผืนบางครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้น
“เจ้าต่อต้านฤทธิ์ของสมุนไพรนี่ไม่ได้หรอก วางทิฐิลงแล้วทำสิ่งที่ควรทำเถิด”
ซิ่นเฉิงละใบหน้าจากผ้าห่ม หันไปมองก็เห็นมนุษย์ครึ่งสุนัขป่าทอดสายตามองเขาอยู่ เขาไม่ตอบรับคำพูดเมื่อครู่ นอกจากย่นคิ้วแล้วปั้นสีหน้าหงุดหงิดใส่เท่านั้น
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“มาดูอาการของเจ้า” เทียนอี้ตอบรับตามตรง
“ข้าไม่ต้องการ!” ซิ่นเฉิงก็ปฏิเสธตามตรงเช่นกัน
ทว่าก็ไม่สามารถไล่เทียนอี้ออกไปได้ เทพอสูรจ้องมองอยู่อีกครู่ เมื่อหลุบสายตาลงต่ำและเห็นว่าระหว่างขาของมนุษย์หนุ่มตรงหน้ามีอาการตอบสนองต่อฤทธิ์ของสมุนไพรนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น
“สิ่งที่เจ้าลักลอบกินเข้าไป มันคือว่านที่มีชื่อว่า ‘เจ็ดทิวา เจ็ดราตรี’ เป็นยาปลุกกำหนัดชั้นดีที่จะทำให้เจ้ามีอาการเช่นนี้ไปจวบจนครบเจ็ดวัน”
คราวนี้ซิ่นเฉิงประจักษ์แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงได้ร้อนรุ่มกายและหว่างขามากเป็นพิเศษอย่างนี้ ก่อนที่เขาจะปั้นใบหน้าขมึงทึงออกมา
“เจ้าหลอกให้ข้ากินมัน”
“เจ้าหยิบไปกินเอง”
“หากเจ้าไม่บอกว่าห้ามเปิด ข้าก็ไม่เปิดไปฉกชิงมันเข้าปากหรอก!”
โทษว่าเป็นความผิดของเทียนอี้อีก แต่ก็นั่นแหละ หากเทียนอี้บอกให้ไปซ้าย ซิ่นเฉิงก็จะไปขวา ถ้าสั่งห้ามก็จะทำ เป็นอย่างนี้แล้วจะโทษว่าความผิดใครดีล่ะ?
“เพราะเจ้าโง่เขลา” เทียนอี้ว่าเนิบๆ ให้คนฟังได้กัดฟันกรอด
“เจ้า…!”
“หากเจ้าจะมาต่อล้อต่อเถียงกับข้า เจ้าเอาเวลาไปคิดใคร่ครวญจะดีกว่าว่าควรทำอย่างไรกับร่างกายเจ้าดี” เทียนอี้ขัดขึ้นเสียก่อน อีกทั้งยังพูดพลางปรายตาลองไล่ลงต่ำไปยังเนินนูนใต้ร่มผ้าของคนตรงหน้า
ซิ่นเฉิงมองตามก็รู้ดีว่าสายตาของเทียนอี้จับจ้องอยู่ที่ใด เท่านั้นก็พลิกตัวตะแคง หนีบขาแน่นด้วยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจ้องมอง
“ออกไปประเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะออกก็ต่อเมื่อเจ้าปลดเปลื้องตนเองเสร็จสิ้นแล้วครั้งหนึ่ง”
คำพูดนั้นทำเอาซิ่นเฉิงย่นหน้ายู่ทันที ก็ใช่ว่าเทียนอี้อยากจะดูอีกฝ่ายกระทำเรื่องส่วนตัวระบายกำหนดอะไรอย่างนั้นหรอก แต่เพื่อความแน่ใจว่า ซิ่นเฉิงทำจริงๆ เขาจะต้องอยู่ดูจนกว่าจะเริ่มและสิ้นสุดลง ก่อนจะให้เหตุผลเพิ่มเติมเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงของซิ่นเฉิงมองมา
“เจ้าจะต้องระบายความร้อนในกายออกมา ไม่เช่นนั้นธาตุหยินหยางของเจ้าจะไม่สมดุล ถึงคราวนั้น เจ้าจะป่วยไข้จริงๆ ได้”
“ถ้าจะป่วยก็ปล่อยให้มันเป็นไป ข้าไม่ทำเรื่องนั้นในจวนของเจ้าเป็นอันขาด”
ก็พอจะรู้ว่าซิ่นเฉิงจะต้องดื้อแพ่ง แต่เทียนอี้มีวิธีรับมือในใจอยู่แล้ว
“หากเจ้าพร้อมจะเสียวรยุทธไปก็ตามแต่ใจเจ้า เพราะเมื่อธาตุเหยินหยางของเจ้าไม่สมดุล ร่างกายของเจ้าก็จะเสื่อมถอย สมุนไพรนี้แม้จะเป็นโอสถปลุกกำหนัด แต่ก็มีโทษอยู่ไม่น้อย ข้าคงจะเตือนเจ้าได้เพียงเท่านี้”
โกหก... หากยังเป็นเทพอยู่ เทียนอี้คงได้ถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษในฐานพูดเท็จอย่างแน่นอน แต่มันกลับได้ผลเมื่อคำว่า ‘เสียวรยุทธ’ ดังเข้าหูของซิ่นเฉิง เขาเบิกตากว้างทันใด
“เจ้ามัน...”
“จะทำหรือไม่?” ก่อนจะถูกบริภาษ เทียนอี้ก็ถามสวนมาแล้ว
ซิ่นเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงจะต้องยอมเสียศักดิ์ศรีดีกว่าเสียวรยุทธ เพราะถ้าเสียวรยุทธไป เขาคงจะหนีกลับทะเลทรายที่เขารักไม่ได้ ที่ผ่านมาเคยคิดไว้ว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอมทำเรื่องน่าอายอะไรนั่น ตอนนี้ซิ่นเฉิงลืมไปสิ้นแล้ว
“เจ้ามันบัดซบ...”
ก็ยังจะบริภาษอมนุษย์ตรงหน้าอยู่ดี แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำตามที่เทียนอี้บอก เขาพลิกตัวกลับมานอนหงาย มือข้างหนึ่งเอื้อมไปตรงช่วงล่างของลำตัวหมายจะปลดสายเชือกรัด ทว่าเรี่ยวแรงที่สูญหายไประหว่างวันทำให้มือของเขาสั่นเทาเสียจนแทบควบคุมไม่ได้ ขยับไปทางใดก็ไม่เป็นไปดั่งใจนึกจนซิ่นเฉิงต้องผรุสวาทออกมาอีก
“บัดซบ”
เทียนอี้เห็นความทุลักทุเลนั้นแล้วก็หน่ายใจ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะขยับเข้าช่วยเหลือ
“ให้ข้าช่วย”
“ไม่ต้อง...”
ไม่ทันแล้ว... แค่สิ้นเสียงของตนเอง เทียนอี้ก็เอื้อมมือไปกระตุกกางเกงของอีกฝ่ายออกจากลำตัว เมื่ออาภรณ์เผยเรือนกาย ความเป็นบุรุษเพศก็ชูชันให้เห็น
เทพอสูรมองอีกฝ่ายที่หน้าม้านด้วยความอับอายเล็กน้อย เห็นว่ายังไม่ทำอะไรสักทีจึงเอ่ยปากถาม
“จะต้องให้ข้าช่วยเจ้าปลดเปลื้องด้วยไหม”
ถามออกไปอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะพูดเล่นหรอกนะ เขาพูดจริง เพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมนุษย์หนุ่มตรงหน้า แต่ก็หาได้เอ็นดูเป็นพิเศษ เพียงแต่ตั้งใจจะปราบพยศอย่างใจเย็นเท่านั้น
ทว่าซิ่นเฉิงก็ตอบด้วยคำตอบเดิมอีก “ไม่...”
“ข้าช่วย”
ไม่ได้ฟังกันเลย...
ใช่ว่าเทียนอี้จะไม่รู้ว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่เขาพินิจดูแล้ว ซิ่นเฉิงไม่น่าจะปลดเปลื้องตัวเองด้วยมือไม่ไหว ดังนั้นเทียนอี้จึงไม่รีรอที่จะเอื้อมมือไปกอบกุมท่อนเนื้อแข็งขึงตรงหน้า
ซิ่นเฉิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ จะอ้าปากก่นด่าอยู่แล้ว ทว่าความเสียวกระสันก็พร่างพรายไปทั่วร่างเสียก่อนเมื่อไอร้อนจากฝ่ามือของคนตรงหน้าแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“เจ้าอดกลั้นมาหลายชั่วยาม ข้าคิดว่าคงจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา” เทียนอี้ว่าเสียงเรียบให้ซิ่นเฉิงได้ปั้นสีหน้าน่ากลัวใส่
ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!