เมื่อตกอยู่ในสภาพจำยอม ซิ่นเฉิงก็พยายามจะคิดในแง่ดีว่าตกเป็นทาสก็ยังดีกว่าเป็นฮูหยิน และดีอย่างยิ่งด้วยพี่น้องของเขารอดชีวิตกลับออกไปจากแคว้นอสุรกายอย่างปลอดภัย แต่ก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อยครั้นคิดว่าจะต้องพินอบพิเทา คุกเข่าและก้มศีรษะให้กับเจ้าหมาป่าขนฟูฟ่องตัวนั้น
น่าเจ็บใจนัก!
เพราะอย่างนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่อาจเข้าร่วมใช้แรงงานกับทาสมนุษย์คนอื่นๆ ในจวนได้ ถูกกักตัวอยู่ในเรือนคุมขังทาสเพื่อรอดูท่าที ผ่านไปหลายราตรี ก็หาได้เห็นว่าเขาจะมีท่าทางกระด้างกระเดื่องน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังประท้วงด้วยการปฏิเสธความเมตตาจากเทียนอี้ ไม่แตะต้องอาหาร ดื่มเพียงน้ำเท่านั้น จนร่างกายอ่อนแรงทีละน้อย แม้จะอดอาหารบ่อยครั้งด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาคลุกคลีอยู่กับความอดอยาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเป็นไปของวัฏจักรชีวิตได้ไหว
กระนั้น...ก็ยังแผลงฤทธิ์อยู่ดังเดิม พร้อมจะอาละวาดใส่ทหารผู้คุมทุกตนที่เข้ามาใกล้ นับว่าเป็นมนุษย์คนแรกเลยก็ว่าได้ที่ปั่นป่วนเสียจนจวนแม่ทัพเทียนอี้อลหม่านไปหมด
การไม่ปรากฏตัวเลยของทาสคนใหม่ทำเอาเทียนอี้ประหลาดใจ แต่ก็หาได้สนใจนักด้วยเขามีภาระหน้าที่ต้องจัดการมากมาย หากแต่ครั้นได้ยินว่าที่ซิ่นเฉิงไม่ได้ออกมาใช้แรงงานร่วมกับทาสคนอื่นๆ เป็นเพราะเขาอาละวาดไม่หยุด พ่อบ้านเหลียงจึงเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะเอามาใช้งาน หากยังพยศอยู่เช่นนี้ มีหวังคงได้ทำให้ทาสมนุษย์คนอื่นๆ วุ่นวายอย่างแน่นอน
และเมื่อได้ฟังความจากพ่อบ้านเหลียงว่าซิ่นเฉิงก่อวีรกรรมใดไว้บ้าง เขาก็ถามเสียงเรียบออกมา
“แล้วเจ้านั่นอยากได้สิ่งใด”
“ท่านแม่ทัพยังต้องถามอีกหรือ? ย่อมแน่อยู่แล้วว่าเจ้าคนผู้นั้นต้องอยากเป็นอิสระ”
ได้คำตอบอย่างนั้น เทียนอี้จึงเปลี่ยนคำถาม
“ถ้าเช่นนั้น นอกจากเป็นอิสระจากข้า เขาอยากได้สิ่งใด”
“ข้าก็ถามแล้วเช่นกัน แต่เจ้านั่นทำเพียงจ้องมองข้าด้วยสายตากราดเกรี้ยว อีกทั้งยังเรียกข้าว่าเจ้าจระเข้เฒ่าอีก”
“จระเข้เฒ่ารึ”
เทียนอี้จับจ้องไปยังผู้พูดทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เสี้ยวหน้าสุนัขป่าก็คล้ายจะมีรอยยิ้มขบขัน ก่อนมันจะหายไปในพริบตาเมื่อถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาคล้ายตำหนิ
“เอาล่ะพ่อบ้านเหลียง ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
เพราะคิดได้ว่าเขาได้รับของบางอย่างจากซิ่นจินในวันที่ส่งตัวนางและนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายกลับออกไปนอกแคว้น นางได้ฝากห่อผ้าห่อหนึ่งให้กับซิ่นเฉิงไว้
ห่อผ้านั้น...คงจะเป็นเครื่องมือต่อรองกับชายหนุ่มได้ไม่มากก็น้อย
ซิ่นเฉิงนั่งพิงกำแพงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตาจับจ้องไปยังผู้คุมทางด้านนอกที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนมาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วยามก่อน พลันเหลือบมองข้อมือและข้อเท้าซึ่งถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้
ทาสเช่นนั้นหรือ? ที่เขาเป็นอยู่นี่มันนักโทษไม่ใช่หรือไร
นึกสังเวชในชะตากรรมของตนขึ้นมา ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ พร้อมกับการทำความเคารพของผู้คุม เท่านั้นก็รู้ว่าผู้มาใหม่น่ะคือ...
“ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่กินข้าวกินน้ำแม้แต่วันเดียว คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”
...เทียนอี้
มาถึงก็เอ่ยปากขึ้น ซิ่นเฉิงไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทำเพียงมองอีกฝ่ายในอาภรณ์งดงาม ถักทอจากไหมชั้นดีนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะนึกขบขันขึ้นมา
“หึ เจ้ายังจะต้องใส่เสื้อผ้าอีกหรือ? ข้าว่าสุนัขป่าเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องสวมใส่ของชั้นดีเช่นนั้นหรอก ทำเพียงยืนสี่ขาแล้วเห่าหอนก็พอ”
“เจ้า!” พ่อบ้านเหลียงที่ตามเข้ามาด้วยถึงกับหัวเสีย หลุดขึ้นเสียงออกมา แต่ก็เงียบไปเมื่อเทียนอี้ยกมือปรามโดยไม่พูดอะไร
ครั้นทุกอย่างสงบนิ่งดังเดิม เทียนอี้ก็ว่าออกมาช้าๆ “เนื้อตัวเจ้าเปรอะเปื้อนไม่น้อย กินอาหารแล้วชำระล้างร่างกายเสียหน่อย ข้าให้คนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เจ้าเปลี่ยน”
สิ้นเสียง พ่อบ้านเหลียงก็ให้ทาสมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นคนรับใช้นำเสื้อผ้ามาให้ มันเป็นเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่ทาสมนุษย์ในจวนสวมใส่ ซิ่นเฉิงชำเลืองมองแล้วแสร้งเมิน
มันเรื่องอันใดที่เขาจะต้องยินยอมทำตาม หากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่ายอมรับสถานะตนเองว่าเป็นทาสของเทียนอี้น่ะสิ เขาไม่ทำหรอก!
แม่ทัพเทพอสูรมองก็พอดูออกว่าชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้คิดการใดอยู่ เขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ พลันล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบอะไรบางอย่างออกมาพร้อมว่า
“หากเจ้าไม่ชอบเสื้อผ้านั้น จะสวมใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับเครื่องประดับนี้ ข้าก็ไม่ว่า”
ซิ่นเฉิงเบนสายตาไปมอง ทันทีที่เห็นเครื่องประดับเงินร้อยระย้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเดือนหงาย เขาก็เบิกตาโพลง
นั่นมันเครื่องประดับผมของซิ่นจิน!
เขาจำได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็มีเครื่องประดับแบบเดียวกันอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็นของต่างหน้าที่มารดาทิ้งไว้ให้เขากับน้องสาวคนละชิ้น แต่ของเขานั้นสูญหายไประหว่างการล่าสัตว์เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่น จึงมีแต่ซิ่นจินเท่านั้นที่มีเครื่องประดับนี้อยู่ นางให้เขาไว้ดูต่างหน้า...
ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอก และก็รู้ดีเช่นกันว่าเทียนอี้คงไม่มอบให้โดยง่ายหากไม่มีเงื่อนไข
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
“กินข้าวแล้วชำระล้างร่างกายเสีย เมื่อแต่งตัวเสร็จก็จงออกไปเอาเครื่องประดับนี้กับข้าที่ห้องรับรอง ส่วนเสื้อผ้าของเผ่าเจ้า ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านเหลียงดูแล”
แค่นั้นน่ะหรือ?
ซิ่นเฉิงสงสัย แต่ก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะทันทีที่สิ้นเสียงของเทียนอี้ ทาสรับใช้มนุษย์ก็ยกอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะกินมันเข้าไปโดยไม่สนว่าอาหารในถาดนั้นปรุงจากวัตถุดิบใดบ้าง ทั้งหมดเป็นไปอย่างเร่งรีบ เพียงเพื่อต้องการเอาเครื่องประดับนั้นกลับคืนมาสู่อุ้งมือตนในไวที่สุดเท่านั้น เทียนอี้ปรายตามองอย่างพอใจ ก่อนเขาจะผละออกไปโดยมีพ่อบ้านเหลียงตามไปส่ง ครั้นจะแยกจากกัน พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขึ้นมา
“ตามใจเช่นนี้มันดีแล้วหรือท่านแม่ทัพ”
เทียนอี้หันไปมอง “ม้าพยศก็ต้องใจดีด้วย หากเจ้าปราบม้าพยศด้วยการบังคับขี่มัน แทนที่จะให้หญ้าให้น้ำจนอิ่มหนำ เจ้าคิดหรือว่ามันจะยอมให้เจ้าขี่ มนุษย์ผู้นั้นก็เช่นกัน ถ้าข้าบังคับฝืนใจให้ทำตามคำสั่ง มีหรือที่เขาจะยอมทำตามโดยง่าย ปราบพยศม้าเช่นไร ปราบพยศมนุษย์ก็เฉกเช่นนั้น”
เข้าใจได้โดยพลันว่าเหตุใดแม่ทัพเทียนอี้ผู้เข้มงวดถึงได้ใจดีกับซิ่นเฉิงนัก ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้น่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย
“เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พามาหาข้า ข้าจะรอที่ห้องรับรอง”
เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงไม่พูดใดๆ ออกมาอีกก็ปลีกตัวไปอีกทาง ปล่อยให้คนมองตามอดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงหาใช่ทาสมนุษย์คนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทียนอี้มากกว่า
ดูท่าทางเทียนอี้จะสนุกกับการปราบพยศมนุษย์หนุ่มคนนี้พอดูเลยทีเดียว...