เขาพิสูจน์ชัดเจนตั้งแต่ประโยคแรกว่าไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางอย่างที่ภรรยาเข้าใจ ปานวาดจึงดีใจที่เขายังน่ารักและมีความเป็นสุภาพบุรุษไม่ต่างจากวันวาน แต่ก็เสียใจที่ตนเองไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาด้วยเช่นกัน
กระนั้นเธอก็ยังรั้งรออยู่ต่อ หว่านล้อมเขาว่าไม่ควรดื่มมากเกินไป พอเขาถามว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร เธอจึงตอบอย่างขอไปทีว่าเพื่อนพาเข้ามาและกำลังจะกลับแล้ว
ปานวาดเห็นสายตาของเขาวูบไหวชั่วขณะ ราวกับไม่เชื่อว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นความจริงและทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาคิด... ผิดไปจากที่เธอคาด
ภาพกอสซิปในเช้าวันถัดมายืนยันได้เป็นอย่างดี
‘ชีวิตแต่งงานล่ม ไฮโซหนุ่ม ธ. มือที่สามทำรักร้าว’
หญิงสาวนัดพบกับพิมพ์ลภัสเพื่ออธิบายว่าเรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่สื่อเขียน เธอไม่ได้นัวเนียกับเขา ที่นอนทับกันอยู่บนโซฟานั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ นึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบที่ทำให้ขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน
‘พี่รู้ว่าแทนล้มใส่วาด นักสืบที่พี่จ้างเขาบอกมาน่ะ’
‘นักสืบที่จ้าง? พี่พิมพ์หมายความว่ายังไงคะ?… หรือว่าพี่พิมพ์หลอกใช้วาด… ใช้ภาพหลุดทำร้ายคุณแทน’
คำตอบของพิมพ์ลภัสทำให้เธอมือไม้อ่อน ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องหย่า ทั้ง ๆ ที่ทางนั้นรู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังใช้ภาพฉาวเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
พิมพ์ลภัสทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดู...
‘แทนไม่ยอมให้พี่กับลูกย้ายไปที่ยุโรป ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้เขาก็คงจะหาทางคัดค้าน อีกอย่างวาดก็เคยสนิทกับแทนไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ถือโอกาสนี้เข้าไปดูแลแทนล่ะ’
‘แต่นั่นก็ลูกของพี่แทนเหมือนกันนะคะ!’
ปานวาดไม่อยากให้เขาสูญเสียจึงยืนยันว่าจะเสนอตัวเป็นพยานในศาล แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่เธอต้องพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงที่ชื่อพิมพ์ลภัส
‘ถ้าวาดทำแบบนั้น พี่คงต้องพูดความจริง... ’
พิมพ์ลภัสเปิดเผยความลับอย่างไม่ละอาย บอกว่าถึงเวลาแล้วที่จะมอบอิสระให้กับสามีที่ไม่เคยรัก แต่ความผูกพันยาวนานเกือบห้าปีทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าที่คิด
‘พี่ไม่อยากให้แทนเสียใจไปมากกว่านี้ แต่ถ้าวาดยังยืนยันว่าจะพูด พี่คงต้องบอกความจริง... ’
‘พี่พิมพ์ไม่ต้องขู่วาดแล้วค่ะ’
ปานวาดหลับตาเมื่อนึกถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับรุ่นพี่สาวสวยเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนั้นคิดว่าคงแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากหาโอกาสกล่าวคำขอโทษ แต่เขากลับไม่เข้าบริษัทนานหลายวัน รู้เรื่องอีกทีคือสองสามีภรรยาหย่าขาดกันเรียบร้อยแล้ว
สิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรเป็นของพิมพ์ลภัสคนเดียว...
ภาพที่นักสืบแอบถ่ายมาเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ส่วนปานวาดรอดปลอดภัย คนนอกจึงไม่รู้ว่าสาวปริศนาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สามคือใคร แต่เขาย่อมรู้ดีว่าคนที่ทำให้สูญเสียสิทธิ์ในการดูแลลูกนั้นคือนางสาวปานวาด
พนักงานตัวเล็ก ๆ จากแผนกบัญชี
ข่าวฉาวออกมาในช่วงเช้า แต่แทนที่จะหลบหน้าสื่อ เขากลับเข้าร่วมงานเลี้ยงของบริษัท ต่อด้วยการเที่ยวคลับหรูในโรงแรมเดียวกัน ทำราวกับว่าไม่ได้เพิ่งหย่าขาดจากภรรยา ทั้งยังไม่ได้สนใจสายตาของพนักงานบริษัทที่สอดรู้สอดเห็น เขาหัวเราะและยิ้มแย้มจนกระทั่งเธอขอคุยด้วย
‘คุณแทนคะ คือว่าวาดมีเรื่องอยากจะคุยด้วย’
‘ตรงนี้ไม่เหมาะ... อีกห้านาทีเจอกันที่ห้อง 2508’
ปานวาดทำตามอย่างไม่อิดออด เธอแค่อยากกล่าวคำขอโทษ นึกไม่ถึงว่าเขาจะเรียกร้องมากกว่าคำพูด กดดันให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการกระทำ
มอบครั้งแรกที่เขาไม่เห็นค่า... ไม่ทะนุถนอมใส่ใจ
‘สมควรโดนแล้วแหละ’
ปานวาดรีบเปลี่ยนชุดและออกจากโรงแรมอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรต่อ เรื่องตั้งครรภ์เพื่อชดใช้ความผิดนั้นเธอคงไม่มีวันทำได้แน่ แต่จะให้ทำเป็นไม่สนใจเลยก็คงทำไม่ได้เช่นกัน
เขาต้องเจ็บปวดก็เพราะเธอ...
หลังจากกลับถึงห้องพักเล็ก ๆ ที่เธอเช่าไว้เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน ปานวาดก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอดสูไหลออกมา
เขายังไม่หายเกลียดเธอและคำขอโทษก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกสาววัยสี่ขวบเศษกลับคืนสู่อ้อมกอดของคนเป็นพ่อ แต่จะให้เธอนอนกับเขาต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อลดความผิดบาปในใจ ปานวาดไม่ได้อยากนับถือตัวเองน้อยลงมากถึงเพียงนั้น
แค่คืนเดียวกับเขาก็เกินพอแล้ว...
‘แต่ก็ได้ผลนะ ถ้าได้ทำบ่อย ๆ ฉันอาจให้อภัยเธอ ปานวาด ภายในหกเดือนนี้ถ้าเธอมีลูกให้กับฉัน ฉันจะถือว่าเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีก’
‘ถ้าเธอตามใจฉัน คำว่าเกลียดอาจเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่มีความหมายตรงกันข้ามก็ได้นะ ปานวาด’
เขาอาจพูดออกมาโดยไม่ทันคิด แต่ปานวาดคิดตามว่าหากทำอย่างที่เขาต้องการ เธอคงกลายเป็นผู้หญิงไร้ค่า ยอมนอนกับผู้ชายเพียงเพราะคำหวานหลอกล่อ ว่าอนาคตเขาอาจเปลี่ยนใจมาชอบ... หรือรักเธอ
‘ต้องมีวิธีอื่นที่ทำให้เขาหายโกรธสิ’
เธอบอกตัวเองให้ลืมข้อเสนอแสนร้ายกาจของเขา แต่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งได้ไม่นาน ข้อความจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์และข้อความที่ว่านั้นทำให้ปานวาดรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าเดิม
‘ขอบใจที่ทำให้หายเครียด - ทิวากร’