ความรักความเอ็นดูที่มีให้น้องก็คงจะลดน้อยถอยลงเป็นแน่ ไหนจะแม่ว่าที่คุณผู้หญิงของบ้านที่สถาปนาตัวเองมาเป็นใหญ่ไปเรียบร้อยแล้วอีก นี่ยังไม่นับรวมกับการจะหอบพ่อแม่พี่น้องเข้ามาอยู่ในบ้านนี้จนวุ่นวายอีก
สุภางค์จึงไม่คิดจะคัดค้านเมื่อพร้อมพงษ์บอก ในเรื่องที่จะรับเลี้ยงดูเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ต่อเลย ถึงจะรู้ว่าไปอยู่ที่โน่นก็คงจะไม่ได้สะดวกสบายเหมือนตอนพัณนิดามีชีวิตอยู่ก็ตามที แต่อย่างน้อยๆ คนที่จะรังแกเด็กน้อยก็คงจะมีแค่พลอยไพรินเท่านั้น
คนอื่นๆ ก็คงจะไม่เท่าไหร่ สุภางค์อยากเอ่ยปากอธิบายเรื่องราวเหล่านี้เหลือเกิน แต่ก็รู้ดีว่าด้วยสมองและความคิดอ่านของคนรับนั้นยังมีน้อยนิด เกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวหรือเหตุผลของผู้ใหญ่ได้
“ไปอยู่กับคุณน้าพงษ์นั่นล่ะค่ะดีแล้วคุณฝน พี่พีทจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง อย่าลืมนะคะว่าพี่พีทจะต้องทำงานดูแลกิจการแทนคุณแม่ ถ้าคุณพีทมัวแต่ห่วงคุณฝนก็คงจะไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดีสิคะ อีกอย่างบ้านก็อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ เวลาคุณฝนคิดถึงคุณพีทก็โทรมาบอกสิคะ ป้าจะให้คุณพีทขับรถไปรับแป๊บเดียวก็ได้เจอกันแล้วนะคะ”
ดวงหน้าขาวยังคงซบคางลงกับเข่าเช่นเดิม โดยไม่ได้สนใจกับพี่ชายต่างสายเลือดที่เดินเข้ามาในห้องด้วยความแผ่วเบาเลยสักนิด สุภางค์แหงนหน้าขึ้นไปมองชายหนุ่มแล้วยิ้มจางๆ ให้ พชรเดินไปนั่งข้างๆ น้อง
แล้วเอื้อมแขนไปโอบไหล่น้องพร้อมกับตบเบาๆ สองสามครั้งเป็นการปลอบใจ เขารู้ดีว่าน้องเสียใจยังไง และมันก็ไม่ได้แตกต่างจากเขามากมายนัก แล้วมันก็ทำให้เขาคิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ
ถ้าแม่ยังอยู่ปัญหาเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น ป่านนี้เขาคงจะได้บินไปเรียนต่อเรียบร้อยแล้ว น้องก็คงไม่ต้องมานั่งร้องห่มร้องไห้อยู่แบบนี้ อันที่จริงเขาจะขัดขืนหรือยืนกระต่ายขาเดียวว่าจะดูแลน้องด้วยตัวเองก็คงจะพอทำได้
แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าผู้เป็นอาจะพอใจมากน้อยแค่ไหน ที่บังอาจไปขัดขืนคำสั่ง จึงจำเป็นจ้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองจะต้องพึ่งพาอาอีกหลายๆ อย่างในอนาคตอันใกล้นี้
“ฝนอยากอยู่กับพี่พีทกับป้าสุค่ะ ฝนไม่อยากไปอยู่บ้านคุณน้าพงษ์ ฝนไม่ชอบพลอย เขาชอบว่าฝนเป็นกาฝาก เป็นเด็กที่คุณแม่เก็บมาจากกองขยะ เป็นลูกที่พ่อแม่เอามาทิ้งเพราะไม่อยากให้เกิดมาค่ะพี่พีท”
มือหนาของผู้พี่ยกขึ้นไปลูบกลุ่มผมดกดำยาวสลวยของน้องไปมาด้วยความสะเทือนใจ แล้วเขาก็ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างยากจะหักห้ามใจเพราะสงสารน้อง สงสารตัวเอง ที่ต้องมาเผชิญชะตากรรมมแบบนี้ แม้จะไม่ได้คลานตามกันมา แต่สิบกว่าปีที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน เขาก็รักพิรุณญาประหนึ่งน้องร่วมอุทรเลยทีเดียว
“ฝนจะต้องเข้มแข็งนะจ้ะ คุณแม่สอนเราสองคนประจำว่าให้เข้มแข็ง ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของใคร พี่สัญญาว่าถ้าทุกอย่างที่บริษัทเรียบร้อยดีแล้ว พี่จะรับฝนกลับมาอยู่ด้วยอีก ขอเวลาพี่หน่อยนะจ้ะไม่นานหรอกน้องรัก
แล้วพี่กับป้าสุจะหมั่นไปหาฝนบ่อยๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนฝนก็แวะมาที่บ้านก่อนก็ได้ จะได้เจอป้าสุ พอพี่กลับจากทำงานแล้วพี่จะไปส่งเอง อย่าร้องไห้ เราต้องเข้มแข็งนะจ้ะจำเอาไว้คนดีของพี่”
“คุณฝนคนดีของป้า ไปอยู่บ้านคนอื่นต้องเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายหัดเป็นคนอ่อนน้อมแต่อย่าอ่อนแอ เป็นคนเข้มแข็งแต่อย่าแข็งกระด้างนะคะ อย่าเกเร อย่าขี้เกียจ และต้องเรียนให้เก่งๆ อย่าทำตัวให้มีปัญหา ไม่งั้นจะไม่มีใครรักใครเมตตา จำคำป้าไว้ให้ดีๆ นะคะคุณฝน”
และอีกหลายร้อยคำปลอบใจที่ผู้พี่กับสุภางค์มีให้เด็กน้อย ทั้งสามต่างน้ำตาร่วงลงมาอีก นานเป็นชั่วโมงกว่าทั้งสามจะลงมาข้างล่างได้ พร้อมพงษ์เป็นคนเดียวที่นั่งมาในรถรับ เขาสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นน้ำตาของทุกคนไหลอาบสองแก้ม ประหนึ่งว่าเขาจะพาอีกชีวิตห่างหายไปอย่างไม่มีวันกลับก็ไม่ปาน
เมื่อสิบสองปีที่แล้วเขาไม่เคยคาดคิดว่าเด็กน้อยที่เขาคัดค้านการรับเลี้ยงของพี่สาว จะต้องกลายมาเป็นเขาที่ต้องรับเลี้ยงดูเสียเอง แต่ในเมื่อลั่นวาจาไว้แล้วก็จะต้องทำตามที่พูดไว้ให้จงได้
“ฝนอยู่ห้องนี้นะ น้าจัดไว้ให้แล้ว ถ้าฝนอยากได้อะไรก็บอกน้าภานะจ้ะ หรือจะมาบอกน้าเองก็ได้ แล้วน้าจะหามาให้”
พร้อมพงษ์บอกเด็กน้อยขณะเดินเข้าห้อง กระเป๋าสี่ใบจากหลังรถถูกยกขึ้นมาให้โดยนายมิตรคนขับรถ แล้วก็รีบเดินออกไป จันทภายืนจับมือลูกสาววัยสิบขวบอยู่หน้าห้องเท่านั้น เมื่อพร้อมพงษ์พยักหน้าให้สองแม่ลูกก็ผละจากประตูไป
ทิ้งให้ผู้มาใหม่นั่งลงกับพื้นห้อง กอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียงตามลำพัง พอเริ่มจะหมดแรงเด็กน้อยก็ค่อยๆ นอนลงกับพื้น หนุนเป้คิตตีแล้วหลับทั้งน้ำตาอยู่ในห้องนั้นเอง
เกือบเที่ยงคืนที่พร้อมพงษ์กับจันทภาค่อยๆ เดินเข้ามาดู ทั้งคู่ต่างสะเทือนใจไม่แพ้กัน กับสภาพการนอนขดอยู่กับกองกระเป๋าของเด็กน้อย จันทภาทำท่าจะเข้าไปปลุก แต่ถูกสามีห้ามไว้แล้วเขาก็เดินไปดึงผ้าห่มบนเตียง เอาไปคลุ่มให้ร่างผอมเล็กด้วยความสงสาร แล้วจูงมือภรรยาออกจากห้องไป เพราะไม่อยากกวนเวลานอนของเด็กน้อยที่ตอนนี้คงจะหลับลึกไปแล้ว