พชรต้องยกเลิกการไปเรียนต่อโทตลอดไป เพราะต้องเข้าไปทำงานต่อจากแม่ แม้จะอายุยังน้อยและมีประสบการณ์แค่ไม่กี่วันเขาก็ต้องเดินหน้าต่อ โดยมีพร้อมพงษ์คอยเป็นที่ปรึกษาให้ บานเย็นเลขาผู้จงรักภักดีต่อเจ้านายก็ถือเป็นหัวแรงสำคัญได้ในบางเรื่อง
และในช่วงเวลาที่เขากำลังเสียขวัญเช่นนี้ ปันนิตาแฟนสาวก็ถือโอกาสหอบเสื้อผ้าเข้ามาอยู่ในบ้าน เพื่อคอยช่วยดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยแทนเขา โดยที่เขาเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเขากลับเห็นว่าแฟนมาช่วยแก้ไขปัญหาหลายอย่างให้เขาได้มากมายทีเดียว
เด็กหญิงพิรุณญา รัตน์คุณ ต้องกลายไปเป็นลูกเลี้ยงของพร้อมพงษ์กับจันทภา และย้ายไปอยู่บ้านของเขาหลังจากนั้นไม่นาน พร้อมพงษ์เห็นว่าหลานชายไม่อยู่ในฐานะจะรับผิดชอบชีวิตน้องสาวได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ในช่วงนี้
เพราะหลานจะต้องให้เวลากับงานในบริษัทมากกว่าสิ่งอื่นใด แม้แต่ว่าที่หลานสะใภ้เองพร้อมพงษ์ก็รีบจัดหาตำแหน่งสำคัญให้ นั่นคือการเข้าไปดูแลเรื่องการเงินเคียงคู่กับคนเก่าแก่
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิดมาก่อน ส่วนตัวเขาในระยะแรกๆ จะให้เวลากับงานของหลานแทบจะเรียกได้ว่าคนละครึ่งกับเวลางานที่บริษัทตัวเองก็ว่าได้ แม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ต้องทำ เพราะรักปากพี่สาวไว้แล้ว และเขาก็ไม่อยากเห็นทุกอย่างที่พี่สาวกับพี่เขยสร้างมาต้องพังลงในรุ่นลูก
“เราต้องให้ฝนต่อมัธยมที่โรงเรียนเดิมเลยเหรอคะคุณ” จันทภาเอ่ยถามสามีในเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าจะต้องใช้เงินหลายแสนบาทสำหรับเป็นค่าแป๊ะเจี๊ยะเข้าเรียนต่อ
“ใช่! แต่ภาไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก พี่พัณจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว เหมือนจะรู้ว่าตัวเองต้องไปแบบกระทันหันเลย อีกอย่างฝนเรียนเก่งที่ไหนๆ ก็อ้าแขนรับอยู่แล้ว”
จันทภาพยักหน้ารับคำของสามีด้วยอาการโล่งใจเล็กน้อย ตามประสาคนเป็นแม่บ้านแม่เรือน ที่ต้องคิดหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องการเงิน แม้ครอบครัวจะร่ำรวยอยู่มากแต่ก็ยังต้องคิดอ่านให้ดี พร้อมพงษ์เหมือนจะเข้าใจหัวอกเมีย จึงตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้พูดมาก่อนในชีวิตนี้
“ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับการที่ผมรับฝนมาอยู่ด้วย แต่ผมรับปากพี่พัณไว้ก่อนตายแล้ว ผมไม่อยากเสียคำพูด อีกอย่างผมคงจะทิ้งฝน ไว้ให้ตาพีทดูแลไม่ได้หรอก หลานมีภาระมากมายแล้ว ไหนจะเมียแฟนอีกและอีกไม่นานสองคนนี้ก็ต้องมีลูกด้วยกัน
ฝนก็จะกลายเป็นส่วนเกินในครอบครัวไป ปันนิตาเองก็คงจะไม่ได้เอ็นดูฝนนักหรอก คุณก็รู้ แต่สำหรับเราไม่ได้เดือดร้อนอะไร จะรับเด็กมาเลี้ยงเพิ่มอีกสักคนก็คงจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเรานักหรอก
อีกอย่าง บอกตรงๆ ว่าผมห่วง เพราะก็เห็นว่าพี่น้องต่างสายเลือดคู่นี้รักกันมาก เวลาดีอกดีใจก็จะวิ่งมากอดกัน หอมแก้มกัน หรือขี่หลังกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่อีกหน่อยฝนก็จะโตเป็นสาวแถมหน้าตาคงจะสะสวยไม่น้อย
ถ้าขืนยังปล่อยให้ใกล้ชิดกันแบบนี้มากๆ ผมกลัวเรื่องที่ยัยพริ้มเดาสุ่มสี่สุมห้าจะเป็นความจริงขึ้นมา เรื่องพรรภ์นี้ไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้นเราควรจะเอาน้ำมันไปอยู่ห่างๆ ไฟไว้ก่อนจะดีกว่า”
จันทภาเห็นด้วยทุกอย่างที่สามีพูดมา หากก็ยังมีความกังวลอยู่อีกเรื่อง นั่นก็คือพลอยไพรินผู้เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน ที่ออกอาการไม่ยินยอมให้พิรุณญาเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันนับตั้งแต่รู้ข่าวแล้ว
“ภาเห็นด้วยกับคุณทุกอย่างค่ะ จะติดก็ตรงที่ยัยพลอยของเรานี่สิคะ คุณก็รู้ว่ายัยพลอยรู้สึกยังไงกับฝน”
พร้อมพงษ์รู้ดี แต่เขาก็มั่นใจว่าจะจัดการกับลูกได้ไม่อยาก และแน่นอนว่าเขาจัดการได้ด้วยการสั่งพลอยไพรินอย่างเด็ดขาดว่าให้ยอมรับพิรุณญาเข้าเป็นสมาชิกในครอบครัวแต่โดยดี และห้ามมีข้อแม้ใดๆ ยังผลให้คนถูกสั่งโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง ร้องเอะอะโวยวายลั่นบ้าน
“ไม่เอานะคะคุณพ่อ พลอยไม่ยอมให้ยัยนั่นมาอยู่บ้านเรา บ้านยัยนั่นก็มีทำไมไม่ไปอยู่ พลอยไม่ยอมๆ พี่เพชรช่วยพลอยพูดกับคุณพ่อคุณแม่หน่อยสิคะ พลอยไม่ชอบแม่นั่น ไม่อยากให้มาอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากเห็น”
เพชรกล้าเข้าใจและเห็นใจน้องเป็นอย่างดี แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะต้องเดินทางไปอเมริกาแล้ว และจะต้องเป็นการไปอยู่อย่างเดียวดายโดยไม่มีพี่พีทไปด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นความทุกข์ของเขาอีกอย่าง เพราะไม่รู้จะอยู่จะกินคนเดียวยังไง
ห้องนอนสีชมพูหวานแหว๋ว ที่แวดล้อมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ยีห้อเฮลโลคิตตีแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มปลอกหมอนผ้าปูที่นอน เครื่องเขียนบนโต๊ะ หรือแม้แต่ของใช้ในห้องน้ำล้วนแล้วแต่มีเจ้าแมวเหมียวสีชมพู ยืนยิ้มหน้าแป้นไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่างเว้น ผิดกับคนที่เป็นเจ้าของที่ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นห้อง เอาหลังพิงขอบเตียงไว้อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
สุภางค์ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วยังคงเห็นเด็กน้อยนั่งอยู่ในท่าเดิม มุมเดิมมาตั้งแต่หลังอาหารเที่ยงแล้ว สองแก้มขาวใสที่ไร้เครื่องแต่งแต้ม ก็ยังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตาไหลรินลงมาเป็นทางไม่ว่างเว้น กระเป๋าเสื้อผ้าใบเขื่องกับของใช้อีกสามใบ ถูกสุภางค์ยกลงจากเตียงจนเสร็จ จากนั้นก็เข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ เด็กน้อยด้วยความสงสารระคนใจหาย ที่จะต้องแยกกันไปอยู่คนละบ้าน ทั้งที่ได้อยู่ร่วมชายคากันมาตั้งสิบสองปีเต็มๆ
“ทำไมฝนจะต้องไปอยู่บ้านนั้นด้วยล่ะคะป้าสุ ให้ฝนอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอคะ ฝนสัญญาว่าฝนจะไม่กวนพี่พีทกับป้าสุเลย ฝนจะเป็นเด็กดี กลับมาจะช่วยป้าสุทำงานบ้านทุกอย่าง”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สุภางค์ได้ยินประโยคนี้ แม้ไม่เห็นด้วยกับการแยกกันในครั้งนี้ แต่สุภางค์ก็มองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่พชรจะรับผิดชอบชีวิตน้องสาวต่างสายเลือดให้ได้ดีในตอนนี้ และอีกไม่นานเขาก็ต้องมีลูกเป็นของตัวเอง