ผู้คนในชุมชนที่มาร่วมงานต่างพากันจับจ้องช่อเอื้องกับหนุ่มหล่อเจ้าของค่ายมวยดังที่มักจะออกสื่อให้เห็นอยู่บ่อยๆ พร้อมกับซุบซิบนินทากันถึงที่ไปที่มาของความสัมพันธ์อันน่าแปลก เพราะเมื่อหลายวันก่อนยังเห็นช่อเอื้องไปยืนขายข้าวไข่เจียวอยู่ตรงสี่แยกของชุมชน หายหน้าหายตาไปแค่วันเดียว คือวันที่บิดาของอีกฝ่ายเสียชีวิต อยู่ๆ ก็มีเจ้าของค่ายมวยดังโผล่มาร่วมงานศพ
ด้วยความสอดรู้ เอ๊ย! ด้วยความอยากรู้ ทำให้น้ำอ้อย แม่ค้าร้านขายของชำ ถามหนุ่มหล่อมาดดุไปว่า คุณเป็นญาติกับคนตายเหรอคะ? อีกฝ่ายก็หันมาตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า ผมเป็นแฟนของน้องเอื้องครับ น้ำอ้อยได้ฟังก็ตกใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าเด็กสาวที่เป็นเสมือนนางฟ้าประจำชุมชนจะโชคดีถึงปานนี้ จากที่แอบลุ้นกันอย่างลับๆ ว่าช่อเอื้องอาจจะต้องตกเป็นบ้านเล็กของเสี่ยวินัยในอีกไม่ช้า ก็ถึงกับโล่งใจ
แม้ว่าเจ้าของค่ายมวยดังจะมีประวัติไม่ธรรมดาในเรื่องสาวๆ แต่การที่อีกฝ่ายโผล่หน้ามาที่งานศพถึงสองวันติดๆ กัน และยังเป็นคนออกเงินจัดงานทั้งหมด แถมอาหารต่างๆ ที่สั่งมาเลี้ยงก็ระดับโรงแรมใหญ่ ที่สำคัญยังอำนวยความสะดวกให้คนในชุมชนด้วยการส่งรถตู้คอยรับ-ส่ง ทำให้ทุกคนต่างปลื้มกันอย่างถ้วนหน้า และพากันเดินทางมาร่วมไว้อาลัย พร้อมกับแอบขุดเผือกเรื่องช่อเอื้องไปในตัว
วินัยมองช่อเอื้องกับชายหนุ่มที่เพิ่งจะทราบจากคำบอกเล่าของคนในชุมชนว่าเป็นเจ้าของค่ายมวยดัง DDT เดินทางมาร่วมงานศพตั้งแต่เมื่อวาน และวันนี้มารดาของอีกฝ่ายก็เดินทางมาร่วมงานด้วย ทำให้รู้ได้ทันทีว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ได้เป็นความสัมพันธ์ที่ผิวเผิน ยิ่งดูจากการแต่งตัวของช่อเอื้อง ก็ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นทุ่มมากขนาดไหน
“สวัสดีค่ะเสี่ย” นิลยายกมือไหว้เจ้าของบ้านเช่าด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
“สวัสดีครับ ช่วยเรียกหนูเอื้องให้หน่อยได้ไหม พอดีผมจะกลับแล้ว” วินัยรับไหว้ก่อนจะบอกความต้องการ
“ได้ค่ะ” นิลยาพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปหาเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ กับมารดาของแม่ทัพ แล้วเอ่ยกระซิบเบาๆ
“เอื้อง เสี่ยวินัยจะกลับแล้ว เขาอยากคุยด้วยลูก”
“เอ่อ...ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับอย่างรู้สึกลำบากใจนิดๆ เพราะถูกแม่ทัพสั่งเอาไว้ว่าห้ามเข้าใกล้อีกฝ่าย แต่ด้วยมารยาทแล้ว...ก็คงจะทำไม่ได้
แม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝั่งของมารดา มองตามคนที่ลุกเดินออกไปกับนิลยาด้วยสีหน้าตึงๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้น หนูเอื้องเป็นเจ้าของงาน” มาลีนรีบเตือนสติของบุตรชาย
“แต่ไอ้แก่นั่นมัน...”
“ทัพ! นั่งลง นี่งานศพนะ ไม่ใช่สังเวียนชก จะทำอะไรก็ให้เกียรติคนตาย ให้เกียรติหนูเอื้อง และให้เกียรติแม่ที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย” มาลีนต่อว่าพร้อมกับดึงแขนของบุตรชายที่ลุกยืนให้นั่งลงที่เดิม
“ครับ” แม่ทัพกัดฟันตอบด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
“จะเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้ว หัดใจเย็นและใช้สติเยอะๆ ใจร้อนแบบนี้ผู้หญิงที่ไหนจะทน?”
“ผมขอโทษครับ”
“แม่ชอบหนูเอื้องนะ กิริยามารยาทเหมือนกับได้รับการอบรมมาอย่างลูกผู้ดี” มาลีนบอกพลางเหลือบมองเด็กสาวอย่างรู้สึกเอ็นดู
“ครับ” แม่ทัพขานรับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“คืนนี้พาหนูเอื้องไปนอนบ้านแม่นะ” มาลีนชวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เอ่อ...ผมคิดว่า...” คนที่อยากจะใช้เวลากับสาวเจ้าตามลำพังตอบไม่เต็มเสียง ขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวในรอยยิ้มของมารดาอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ และเขาไม่สามารถจะเดาทางได้
“แม่อยากทำความรู้จักกับว่าที่ลูกสะใภ้”
“ก็ได้ครับ” แม่ทัพรับคำ ก่อนจะหันไปมองตามสาวเจ้าที่กำลังเดินเข้าไปหาเสี่ยใหญ่ด้วยสายตาขวางๆ
วินัยจ้องมองเด็กสาวด้วยสายตาแวววาว หลังอีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ และส่งยิ้มบางๆ มาให้ตน “เสี่ยนึกว่าหนูเอื้องจะไม่มาหาเสี่ยซะแล้ว”
“เอ่อ...ขอบคุณคุณวินัยมากๆ นะคะ ที่เดินทางมาร่วมงาน” ช่อเอื้องกล่าวพลางก้มหัวลงนิดๆ
“เราคนกันเอง หากขาดเหลืออะไร หรือหนูต้องการความช่วยเหลือ ก็โทรหาเสี่ยได้ตลอดเวลานะ” วินัยบอกพร้อมกับส่งซองขาวปึกใหญ่และนามบัตรไปให้
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องยกมือไหว้และรับน้ำใจจากอีกฝ่าย
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
วินัยล้วงมือถือออกมาดู ทันทีที่เห็นชื่อของภรรยาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ก็จำต้องลุกขึ้นยืนและเอ่ยลาเด็กสาว “เสี่ยไปก่อนนะ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“จ้ะ” วินัยฉีกยิ้ม แล้วรีบลุกเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้จะขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้ขนาดไหน แต่ก็ต้องเกรงใจภรรยา เพราะอีกฝ่ายกุมบัญชีและทรัพย์สินทุกอย่างของตนเอาไว้ในมือ
เวลา 23:40 น. หลังจากแขกที่มาร่วมงานพากันเดินทางกลับจนเกือบหมดแล้ว แม่ทัพก็พาช่อเอื้องเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตหรูของตน แล้วขับตามรถของมารดาไปช้าๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาพูดเรื่องสำคัญ
“เอื้อง!” แม่ทัพเอ่ยเรียกคนที่เอาแต่มองเหม่อเบาๆ
“คะ” คนที่กำลังคิดถึงพ่อ คิดถึงบ้าน หันไปมองอย่างมึนงง
“อย่างแรกเลย...ฉันไม่พอใจที่ไอ้แก่นั่นเรียกเธอไปคุย” แม่ทัพเปิดประเด็น
“เสี่ยวินัยเขาเรียกหนูไปรับซองทำบุญน่ะค่ะ” ช่อเอื้องรีบบอก
“อย่าให้มีครั้งหน้าอีกนะ” คนขี้หวงบอกด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“ค่ะ” เธอขานรับเบาๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องหนึ่ง แต่เขากลับดึงเธอมาพูดอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างจะไร้สาระนิดๆ
“เรื่องที่สอง...คืนนี้เราจะไปนอนที่บ้านแม่ของฉัน”
“ค่ะ ท่านบอกกับหนูแล้ว”
“เหรอ?” แม่ทัพมึนงงกับคำตอบครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตี๊ยมคำพูดกับสาวเจ้า “ถ้าแม่ฉันถามถึงความสัมพันธ์ว่าเราคบกันมานานแค่ไหน ให้เธอตอบไปว่า...สามเดือน ฉันเป็นคนตามจีบเธอก่อน”
“ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มรับอย่างรู้สึกขำที่อีกฝ่ายกำลังสอนให้เธอโกหกผู้ใหญ่
แม่ทัพกลอกตา แล้วเอ่ยเข้าเรื่องอีกครั้ง “และถ้าแม่ฉันถามว่าเธอทำงานอะไร เธอก็บอกไปตามตรงว่าขายข้าวไข่เจียวอยู่ตรงไหน”
“เอ่อ...แล้วท่านจะไม่...” ช่อเอื้องเอ่ยค้างไว้อย่างรู้สึกกังวล กลัวว่ามารดาของอีกฝ่ายจะรังเกียจที่เธอเป็นแค่แม่ค้าขายข้าวไข่เจียว แม้จะขายได้แค่เดือนกว่าๆ ก็ตาม
“แม่ฉันไม่ได้วัดคนที่การศึกษาหรือฐานะ ฉะนั้นเธอบอกท่านไปตามตรงได้เลย เพียงแค่แทรกฉันเข้าไปอยู่ในชีวิตของเธอช่วงสามเดือนหลังด้วยก็พอ” แม่ทัพบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ค่ะ แล้วถ้าท่านถามว่าเราเจอกันที่ไหน?”
“เธอขายข้าวไข่เจียวอยู่ข้างร้านมินิมาร์ทใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็บอกไปว่า...ฉันเข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทแล้วออกมาถามทางกับเธอ อยู่นาน”
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับเสร็จก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
“เธอขำอะไร?” คนที่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยแต่งเรื่องแต่งราวหลอกมารดาเป็นครั้งแรก ถามกลับอย่างเคืองๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ ขอโทษที่หนูเสียมารยาท” ช่อเอื้องบอกก่อนจะรีบเบือนหน้าไปมองข้างทาง
“แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไปแวะซื้อข้าวไข่เจียวที่เธอบ่อยๆ และเสนองานให้เธอไปเป็นแม่ครัวให้ที่คอนโด แล้วก็...”
“แล้วก็อะไรคะ?” คนอ่อนประสบการณ์หันกลับมาถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“เธอพูดค้างไว้แค่นี้แหละ แม่ของฉันจะเข้าใจความหมายเอง” แม่ทัพบอกด้วยท่าทีนิ่งขรึม
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แม่ทัพกดเปิดเพลงฟังเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเขิน เอ๊ย! เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดภายในรถ
ยี่สิบนาทีต่อมา...
ทันทีที่แม่ทัพขับรถเข้าไปจอดที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ก็เห็นมารดายืนรอรับอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ไปกันเถอะเอื้อง” มาลีนเข้าไปดึงแขนของว่าที่ลูกสะใภ้ให้ออกเดินตามไปอย่างรู้กัน
“ค่ะ” ช่อเอื้องฉีกยิ้มอย่างรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นนิดๆ ที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับผู้ใหญ่ตามลำพัง
“แม่จะพาเอื้องไปไหนครับ?” แม่ทัพถามและมองตามอย่างรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ในท่าทีของมารดากับสาวเจ้า
“อ้าว! หนูเอื้องไม่ได้บอกลูกเหรอว่าคืนนี้จะนอนกับแม่” มาลีนหันไปตีหน้าซื่อถามบุตรชายอย่างเนียนๆ
“ไม่ครับ และผมก็จะไม่นอนแยกห้องกับเอื้องเด็ดขาด” แม่ทัพบอกอย่าง ไม่ยอม
“งั้นแม่ก็ขอบอกตรงนี้แหละ ไปจ้ะหนูเอื้อง” มาลีนบอกจบก็หันไปชวน ว่าที่ลูกสะใภ้ให้ออกเดินต่อ
“ค่ะคุณแม่” ช่อเอื้องขานรับเบาๆ รู้สึกเหมือนได้จูงมือมารดาแท้ๆ ไปเข้านอนอย่างไรอย่างนั้น
“เดี๋ยวก่อนเอื้อง” แม่ทัพรีบเดินตามไปเคลียร์อย่างไม่พอใจ
“อย่าทำตัวงี่เง่าน่าทัพ ห้องนอนลูกไปทางนั้น” มาลีนหันไปต่อว่า พร้อมกับชี้ทางไปห้องนอนให้บุตรชาย
“แม่! แม่ทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ” แม่ทัพรู้สึกเดือดขึ้นมาทันทีทันใด ที่ถูกมารดามัดมือชก
“ได้สิ! ก็ทำอยู่นี่ไง” มาลีนบอกอย่างไม่แคร์ พร้อมกับเดินให้เร็วขึ้น ขณะเดียวกัน...ช่อเอื้องก็เร่งความเร็วตามอย่างเข้าใจสถานการณ์
“โธ่แม่! คืนเมียผมมาเลยนะ” แม่ทัพออกวิ่งตามอย่างหัวเสีย
มาลีนคว้าลูกบิดที่หน้าห้องนอนให้เปิดออก แล้ววิ่งเข้าไปข้างในพร้อมกับเด็กสาวอย่างรู้สึกขำๆ ก่อนจะรีบปิดประตูห้องนอนและกดล็อกอย่างรวดเร็ว “ฝันดีนะทัพ บาย”
ปังๆ ปังๆ
แม่ทัพที่วิ่งตามมาแบบฉิวเฉียด ทุบประตูห้องของมารดาอย่างบ้าคลั่ง “แม่! เปิดประตูมาคุยกับผมก่อน”
“มันดึกแล้ว ไว้คุยพรุ่งนี้โอเค้” มาลีนบอกก่อนจะพากันหัวเราะกับเด็กสาวอย่างกลั้นไม่อยู่
“โธ่! ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะทำแบบนี้กับผม” แม่ทัพตัดพ้อ ไม่คิดว่ามารดาจะใจร้ายกับตนได้ถึงเพียงนี้
“ไปนอนซะ” มาลีนบอกก่อนจะดึงแขนเด็กสาวไปล้มตัวนอนลงบนเตียง แล้วชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างไม่สนใจคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนอน
“เฮ้อ...ผมไม่น่าพาเอื้องกลับมานอนที่บ้านเลย” แม่ทัพบ่นพึมพำ แล้วเดินคอตกกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองอย่างสิ้นหวัง ถ้าลงมารดาได้เสียงแข็งแบบนี้ ไม่มีทางที่จะยอมใจอ่อนเป็นแน่
เช้าวันต่อมา...เวลา 07:10 น.
มาลีนที่ตื่นเช้ามาใส่บาตรตอนเช้ากับว่าที่ลูกสะใภ้เสร็จ ก็พากันเดินกลับมาในบ้านอย่างอารมณ์ดี
“ไปไหนกันมาครับเนี่ย?” แม่ทัพมองคู่หูดูโอ้ที่เหมือนกับจะเข้ากันได้ดีเกินคาด ด้วยสายตาตัดพ้อ
“แม่ชวนหนูเอื้องไปใส่บาตรมาจ้ะ” มาลีนอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของบุตรชาย ขณะที่ช่อเอื้องรีบหลบสายตาหาเรื่องของคนเถื่อนด้วยการก้มลงมองที่พื้น
“ทำไมไม่มีใครปลุกผมเลย” คนที่ต้องนอนกอดหมอนข้างแทนนางฟ้า คนสวยถามอย่างไม่พอใจ
“เห็นลูกนอนหลับสบาย แม่กับหนูเอื้องก็เลยไม่อยากจะรบกวน” มาลีน ออกตัวอย่างรู้สึกขำกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บุตรชายหยิบยกมาเป็นประเด็นราวกับว่า...มันคือปัญหาใหญ่ระดับชาติ
“ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะทำเหมือนผมไม่มีตัวตน”
“หึๆ คิดมากน่าทัพ ไปทานข้าวกันเถอะ” มาลีนหัวเราะขึ้นมาอย่างเบรก ไม่อยู่ เมื่อเห็นลูกชายสุดที่รักออกอาการดราม่าเป็นครั้งแรก
แม่ทัพกลอกตาก่อนจะเดินนำไปยังห้องรับประทานอาหารด้วยสีหน้าเซ็งๆ มาลีนหันไปส่งยิ้มให้ว่าที่ลูกสะใภ้แล้วออกเดินตามไปเงียบๆ
สองชั่วโมงต่อมา...หลังทานมื้อเช้าเสร็จช่อเอื้องก็กลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางไปงานศพของบิดา (วันสุดท้าย) แต่พอเดินลงมาที่ชั้นล่างก็ถูกคนที่ดักรออยู่ดึงแขนให้ออกเดินตาม
“เจอกันที่งานนะครับแม่” แม่ทัพรีบเปิดประตูรถสปอร์ตของตนออก แล้วดันสาวเจ้าให้เข้าไปนั่งด้านใน
“เฮ้! ลูกทำแบบนี้กับแม่ไม่ได้นะทัพ” มาลีนที่เดินมากับว่าที่ลูกสะใภ้ถึงกับมึนงงในการกระทำของบุตรชาย
“ทำได้สิครับ ผมทำอยู่นี่ไง” แม่ทัพหันไปตอบพร้อมกับปิดประตูให้สาวเจ้า จากนั้นก็รีบเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับอย่างไม่รอช้า
“ให้ตายเถอะ เหมือนพ่อไม่มีผิด” มาลีนโกรธจนตัวสั่นที่บุตรชายทำตัว ไร้มารยาทกับตน
“หึๆ แล้วพ่อผมใช่สามีของแม่หรือเปล่าครับ?” แม่ทัพหัวเราะก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“หยาบคาย” มาลีนตะโกนด่าตามหลังอย่างโมโห รีบหันไปสั่งคนขับให้ขับรถตามบุตรชายไปอย่างรู้สึกเจ็บใจ
ด้านช่อเอื้องที่นั่งมึนงงอยู่ถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อถูกมือหนาสะกิดที่ต้นแขน
“แม่คืนแม่ฉันคุยเรื่องอะไรกับเธอบ้าง?” แม่ทัพเลิกคิ้วถามอย่างอยากรู้
“เอ่อ...หลายเรื่องค่ะ” ช่อเอื้องหันไปส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้คนที่ถูกมารดาเผา ซะจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี
“เช่น?” แม่ทัพถามอย่างรู้สึกหวั่นใจ
“คุณเจ้าชู้” ช่อเอื้องบอกยิ้มๆ
“ไม่จริง!” แม่ทัพหันมามองสาวเจ้าอย่างไม่เชื่อ
“จริงค่ะ แล้วท่านก็บอกว่า...”
“อะไร?”
“ท่านจะส่งให้หนูเรียนต่อปริญญาค่ะ” ช่อเอื้องบอกเรื่องสำคัญที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่า...ชีวิตได้มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาอีกครั้ง
“อะไรนะ?” แม่ทัพถามอย่างตกใจ
“ท่านจะส่งหนูเรียนต่อค่ะ” ช่อเอื้องเอ่ยย้ำพร้อมกับสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย ที่เหมือนจะไม่ยินดีเท่าไหร่
แม่ทัพถึงกับนิ่งเงียบไปทันใด ‘นี่แม่คิดอะไรอยู่วะ ถึงจะส่งเอื้องเรียนต่อ มหาลัย’
“เอ่อ...พรุ่งนี้หนูจะบอกท่านว่าหนูไม่อยากเรียนค่ะ” คนที่ดีใจได้ครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ อย่างเจียมตัว
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต้องส่งพ่อของเธอ เรื่องอื่นพักเอาไว้ก่อน เอ่อ...แล้วเมื่อคืนเธอหลับสบายดีไหม?” แม่ทัพเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับอย่างรู้สึกว้าวุ่นใจ แต่การได้เรียนต่อในระดับมหา’ลัย นั้น ถือเป็นความปรารถนาอันสูงสุดของเธอ
“เมื่อคืนฉันนอนไม่หลับเลย” แม่ทัพเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า แม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่เพิ่งจะเจอกับสาวเจ้า แต่กลับแคร์และหวงจนไม่อยากจะแยกห่างจากเธอแม้แต่วินาทีเดียว