เวลา 17:09 น. ช่อเอื้องลืมตาตื่นขึ้นมองไปรอบๆ ก็รีบขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างตกใจ ที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของผู้ชายที่เธอถูกว่าจ้างให้มาแกล้ง แต่แล้วอยู่ๆ ภาพของบิดาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก็แล่นผ่านเข้ามาในม่านตาราวกับฝันร้าย
“ตื่นแล้วเหรอเอื้อง?” แม่ทัพที่นอนอยู่ข้างๆ ขยับลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงสาวเจ้าเข้ามากอด หลังจากที่เธอเป็นลมหมดสติไป เขาก็รีบโทร. เรียกคนสนิทของมารดาให้มาช่วยนิลยากับคงศักดิ์ดูแลเรื่องงานศพบิดาของช่อเอื้อง
จากนั้นก็ขอพาสาวเจ้ากลับมาที่คอนโด โดยบอกกับผู้ใหญ่ทั้งสองว่าหากช่อเอื้องฟื้นเมื่อไหร่ เขาจะรีบพาเธอไปร่วมงานทันที พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมโอนเงินจำนวนสามแสนบาทไปยังบัญชีธนาคารของนิลยา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในงานศพ
“ฮึก...หนูจะไปหาพ่อ” ช่อเอื้องน้ำตาคลอพยายามดันอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่เป็นผล แถมยังถูกกอดรัดแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“เดี๋ยวฉันจะพาไป แต่ต้องหลังจากที่เอื้องอาบน้ำและทานข้าวเสร็จก่อน” แม่ทัพบอกเสียงอ่อน
“พะ...พ่อหนูเสียแล้วใช่ไหมคะ” คนที่ยังมึนๆ งงๆ ถามย้ำทั้งน้ำตานองหน้า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากราวกับความฝัน ทั้งเรื่องของผู้ชายตรงหน้าและเรื่องที่บิดาได้จากไป
“ใช่! ตอนนี้ศพของท่านตั้งอยู่ที่ศาลาวัด ฉันให้คนไปช่วยจัดงานและดูแลให้แล้ว” แม่ทัพบอกพลางลูบแผ่นหลังบางเบาๆ
“ฮือๆๆ เป็นเพราะคุณ ถ้าคุณให้หนูนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปตั้งแต่แรก หนูคงจะทันได้ดูใจพ่อ” ช่อเอื้องต่อว่าอย่างรู้สึกโกรธและเสียใจที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้
“ฉะ...ฉันขอโทษ” แม่ทัพบอกอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ ไม่ว่าคุณจะแก้ตัวยังไง พ่อของหนูก็ไม่ฟื้นขึ้นมา และมันก็ไม่ได้ลบสิ่งที่ติดอยู่ตรงนี้ออกไปได้” ช่อเอื้องดันตัวออกห่าง พร้อมกับชี้ไปที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง
“เอื้อง!” แม่ทัพใจหายวูบกับสายตาที่แสนจะเย็นชาของสาวเจ้า
“ปล่อย! คุณไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวหนู” เธอปัดมือที่เอื้อมมาออกทันใด
“เอื้อง! คุยกันดีๆ สิ” แม่ทัพบอกเสียงอ่อน
“ฮึก...กระเป๋าเงินของหนูอยู่ไหน?” ช่อเอื้องถามพร้อมกับมองหากระเป๋าเงินของตัวเอง
“อยู่นี่” แม่ทัพหยิบออกมาจากข้างเตียง แล้วส่งให้ทันที
ช่อเอื้องรับมาแล้วเปิดกระเป๋าออก พร้อมกับหยิบเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท ยัดใส่มือของอีกฝ่าย “นี่คือเงินค่าจ้างที่เพื่อนของคุณจ้างหนูให้มาเล่นละครแกล้งคุณ”
“เอื้อง” แม่ทัพมองการกระทำของสาวเจ้าอย่างมึนงง
“หนูเคยคิดว่าจะเอาเงินนี้ไปซื้อรถเข็นให้พ่อ แต่ตอนนี้หนูไม่มีพ่อแล้วและหนูก็รังเกียจเงินนี่ไม่ต่างจากที่รังเกียจคุณ ฮึก...ฮือๆๆ” เธอระบายความในใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกโกรธตัวเอง ที่ไม่น่าทิ้งพ่อเอาไว้คนเดียว ทำให้ท่านต้องมาด่วนจากไป
แม่ทัพได้ฟังก็ถึงกับสตั๊นไปชั่วขณะ “ธะ...เธอจะโกรธจะเกลียดฉันยังไงก็ได้ แต่ช่วยตั้งสติหน่อย ตอนนี้เราต้องไปวัด โอเค้!”
“ฮึก...ฮึก...” คนที่ร้องไห้อยู่ถึงกับหยุดชะงักไปทันใด
“ไปอาบน้ำ แล้วเตรียมตัวไปส่งพ่อของเธอครั้งสุดท้ายด้วยกัน เรื่องอื่นเอาไว้เคลียร์กันทีหลัง” แม่ทัพรีบกล่อมหลังเห็นสาวเจ้ามีท่าทีอ่อนลง
“ฮึก...” ช่อเอื้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องน้ำตามที่อีกฝ่ายบอก ขณะที่หยดน้ำใสๆ ยังคงไหลอาบแก้มอยู่ไม่ขาดสาย แม้ตอนนี้เธอจะเกลียดเขามากแค่ไหน แต่ก็ต้องตั้งสติเหมือนที่เขาบอก เพราะยังมีสิ่งที่สำคัญกว่ารออยู่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...หลังจากที่ช่อเอื้องอาบน้ำเสร็จ ก็พันผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกมาที่ด้านนอกด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“ตามมาทางนี้เอื้อง” แม่ทัพจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดวงตาบวมเป่งอย่างรู้สึกสงสาร อยากจะดึงเธอเข้ามากอด แต่ตัวเองก็ยังมีชนักติดหลังหลายเรื่อง จึงคิดว่าควรรอจังหวะดีๆ ก่อน แล้วค่อยง้อ
“...” เธอไม่ตอบแต่เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ
“นี่ชุดของเธอ ส่วนไดร์เป่าผมอยู่ตรงนั้น ถ้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ตามออกไปนะ ฉันจะเตรียมอาหารรอ” แม่ทัพชี้ไปยังสิ่งของต่างๆ แล้วปล่อยให้สาวเจ้าอยู่ในห้องตามลำพัง
ช่อเอื้องมองตามร่างสูงที่เดินออกไป ทันทีที่เขาก้าวพ้นประตู เธอก็รีบเดินไปกดล็อก แล้วเดินกลับมาจ้องมองชุดเดรสสีดำเรียบหรูของแบรนด์ดังอย่างรู้สึกอึ้ง และอึ้งหนักกว่าเดิมที่พอหยิบออกมาดู ก็เห็นชุดชั้นในแขวนซ้อนอยู่ด้านหลัง เธอวางชุดเดรสลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วหยิบบรากับแพนตี้สีขาวนวลขึ้นมาดูอย่างมึนงง เพราะขนาดของไซซ์มันพอดีกับตัวเธอ
ยี่สิบนาทีต่อมา...ช่อเอื้องเดินออกจากห้องมาด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ รู้สึกแปลกๆ กับชุดและรองเท้าคัทชูสีขาวมีส้นนิดๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ฉันเตรียมแฮมเบอร์เกอร์เอาไว้แล้ว คิดว่าจะทานในรถ จะได้ประหยัดเวลา” แม่ทัพอมยิ้ม เมื่อเห็นสาวเจ้าใส่ชุดที่เตรียมไว้ให้แล้วดูสวยสง่า แม้ว่าใบหน้างามนั้นจะดูเศร้าหมองไปนิดก็ตาม
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องหลบสายตาของหนุ่มตรงหน้าที่ใส่สูทสีดำเนี้ยบแลดูภูมิฐาน ทรงผมถูกมัดรวบเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นเดียวกับหนวดเคราที่อยู่บนใบหน้า มันทำให้เธอรู้สึกเกร็งขึ้นมานิดๆ
“เราไปกันเลยนะ” แม่ทัพหันไปหยิบถุงกระดาษที่มีทั้งแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์และน้ำส้มคั้นมาถือ จากนั้นออกเดินตรงไปที่ประตูห้อง
“ค่ะ” ช่อเอื้องเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งเสียใจ ทั้งขุ่นเคือง ทั้งนอยด์ สารพัดความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามาให้ครุ่นคิดอยู่ไม่ขาดสาย
สิบนาทีต่อมา...หลังจากที่รถตู้คันใหญ่แล่นออกมาได้สักพัก ช่อเอื้องก็ถูกแม่ทัพขู่ให้กินแฮมเบอร์เกอร์ให้หมดชิ้น ไม่อย่างนั้นจะไม่พาไปงานศพของพ่อ ทำเอาคนที่กลืนอะไรไม่ลง จำต้องฝืนใจก้มหน้ากินทั้งน้ำตาคลอหน่วย
“น้ำส้ม” แม่ทัพรีบส่งไปให้ หลังจากที่สาวเจ้าทานเสร็จ
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องรับมาดื่ม พร้อมกับเบือนหน้าหนีคนชอบบงการชีวิตคนอื่น
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิเอื้อง เธอไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปช่วยป้านิลรับแขก” แม่ทัพกลอกตากับท่าทีของสาวเจ้า
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องหันไปยกมือไหว้ราวกับซาบซึ้งในความหวังดีของอีกฝ่าย จากนั้นหันไปมองข้างทางต่ออย่างไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงของเขา
ทันทีที่ไปถึ