3

2591 Words
“คุณพ่อท่านจะได้หมดห่วงไงเอื้อง” แม่ทัพหันไปกระซิบนางฟ้าคนสวย ก่อนจะปักธูปลงในกระถางที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “...” ช่อเอื้องถึงกับสตั๊นไปทันใด ไม่คิดว่าเขาจะเอาประโยคที่ป้านิลปลอบเธอมาเป็นข้ออ้าง แถมยังบอกให้บิดาของเธอมาเกิดเป็นลูกของเขากับเธออีก “สวัสดีครับลุงศักดิ์” แม่ทัพหันไปยกมื้อไหว้ผู้ใหญ่ที่เดินหน้าตั้งเข้ามาหาราวกับมีเรื่องร้อนใจอะไรสักอย่าง “สวัสดีครับคุณทัพ” คงศักดิ์เดินเข้ามาหาหนุ่มสาว หลังจากที่จัดงานทุกอย่างได้ลงตัวในเวลาอันรวดเร็ว ก็รู้สึกโล่งใจ เพราะช่วงค่ำๆ คนในชุมชนคงจะพากันมาร่วมงานหลายสิบคน “ขอบคุณลุงศักดิ์มากๆ นะคะที่เป็นธุระจัดงานให้กับพ่อ” ช่อเอื้องยกมือไหว้อย่างซาบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงใส่ชุดเดิมกับตอนที่เธอเจอเมื่อช่วงเช้า “ไม่เป็นไรหรอกเอื้อง ลุงเองก็พึ่งพาพ่อหนูมาตลอด เรื่องแค่นี้สบายมาก” คงศักดิ์เอื้อมมือไปลูบหลังเด็กสาวเบาๆ อย่างปลอบใจ ก่อนจะหันไปคุยกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ “เอ่อ...คุณทัพครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ” “ได้ครับ” แม่ทัพพยักหน้ารับ แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ช่อเอื้องมองตามอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พอเห็นคนในชุมชนมาร่วมงาน เธอจึงรีบเข้าไปต้อนรับ “เอื้องป้าเสียใจด้วยนะลูก” อรนภารีบเข้าไปสวมกอดเด็กสาวอย่างรู้สึกสงสารแกมสงสัยนิดๆ ที่เห็นอีกฝ่ายแต่งเนื้อแต่งตัวดีผิดไปจากทุกๆ ครั้ง “น้าก็เสียใจด้วยจ้ะ” สีมา เอ่ยพลางเข้าไปสวมกอดตามพี่สาว “ขอบคุณป้าอรกับน้าสีมากๆ เลยค่ะ” ช่อเอื้องน้ำตาคลอ รีบหันไปจุดธูปให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองที่มีน้ำใจมาร่วมงานศพของบิดา เวลา 23:10 น. หลังจากที่แขกที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกลับจนเกือบหมดแล้ว นิลยาก็หันไปเอ่ยกับเด็กสาวที่มีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด “เอื้อง! กลับไปพักเถอะลูก พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมไปใส่บาตรให้พ่อนะ” คนที่กำลังคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาระหว่างเธอกับบิดาในวัยเด็ก ราวกับว่ากลัวสิ่งเหล่านั้นจะจางหายไปจากความทรงจำ หันไปมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างขอความเห็นใจ เพราะเธอยังอยากอยู่ตรงนี้ไปอีกสักพัก “เอ่อ...หนู...” “ไปเถอะเอื้อง พรุ่งนี้คนในชุมชนของเราคงจะมาร่วมงานกันเยอะกว่าวันนี้” คงศักดิ์รีบเสริม “ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับเบาๆ อย่างเข้าใจในเหตุผล “ไม่ต้องกลับไปที่บ้านนะเอื้อง เมื่อตอนบ่ายป้าเห็นเสี่ยวินัยมาด้อมๆ มองๆ รู้สึกไม่ไว้ใจยังไงก็ไม่รู้” นิลยาเตือนเรื่องสำคัญ “แต่ว่า...” คนที่อยากจะกลับบ้านใจจะขาดพยายามจะเอ่ยท้วง หลังเห็นใครบางคนส่งยิ้มหวานมาให้ “เดี๋ยวผมจะพาเอื้องกลับไปพักที่บ้านครับ” แม่ทัพขันอาสา “ครับ ฝากด้วยนะครับคุณทัพ” คงศักดิ์บอกพร้อมกับก้มหัวลงนิดๆ ขอบใจที่รู้ว่าอีกฝ่ายเมตตาเด็กสาว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์นั้นตนคิดว่ามันคงจะเกินเลยไปไกลแล้ว แต่ที่สำคัญคือเจ้าของค่ายมวยดังยังคงยืนอยู่ข้างๆ เด็กสาว ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง จนกระทั่งออกเงินให้จัดงานต่างๆ ให้ ทำเอาใครต่อใครต่างพากันชมไม่ขาดปาก “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเอื้องอย่างดี” แม่ทัพรับปากผู้ใหญ่เสียงหนักแน่น ที่ทั้งสองไม่ขัดขวางการคบหาของตนกับช่อเอื้อง “พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” นิลยาดึงแขนของสามีให้เข้าไปนั่งในรถตู้คันใหญ่ที่ชายหนุ่มมาดโหด แต่ใจดี! ให้ลูกน้องขับรับส่งคนในชุมชนที่จะเดินทางมาร่วมงาน แม่ทัพยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนที่ยืนเหม่ออยู่ข้างๆ “กลับบ้านเรากันเถอะเอื้อง” “เอ่อ...หนู...” ช่อเอื้องกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายจูงแขนให้ออกเดินตามไปยังรถสปอร์ตที่ลูกน้องนำมาจอดต่อท้ายรถตู้คันใหญ่ “ขอล่ะเอื้อง เราอย่ามาทะเลาะหรือเถียงกันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกเลย” แม่ทัพบอกด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า “ก็ได้ค่ะ” ช่อเอื้องรับคำก่อนจะเข้าไปนั่งในรถอย่างไม่มีทางเลือก แม่ทัพส่ายหน้านิดๆ กับท่าทีของสาวเจ้า ก่อนจะหันไปคุยกับบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ของที่ให้เตรียมเรียบร้อยหรือยัง?” “เรียบร้อยแล้วครับบอส” “โอเค แยกย้ายกันไปพักเถอะ ฉันจะกลับเพนต์เฮาส์” แม่ทัพบอกเสร็จ ก็เดินอ้อมเข้าไปนั่งในรถ แล้วขับออกไปตามทางอย่างช้าๆ ช่อเอื้องที่นั่งเงียบ เหลือบไปเห็นทางเข้าชุมชนที่อยู่มาตั้งแต่เด็ก พลัน! น้ำตาก็พานจะไหลออกมาเสียให้ได้ เพราะตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมากมาย เธอยังไม่มีโอกาสกลับไปที่บ้านของตัวเอง จึงรีบหันไปบอกคนข้างๆ “ขอบคุณนะคะสำหรับทุกอย่าง แต่คุณจอดรถให้หนูลงข้างหน้าเถอะค่ะ หนูอยากกลับไปนอนที่บ้านของพ่อ” “โธ่เอื้อง! ป้านิลก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่ามีผู้ชายมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้าบ้าน” แม่ทัพถอนหายใจอย่างรู้สึกเพลียๆ ที่สาวเจ้าเหมือนจะพูดรู้เรื่องได้เพียงครู่ แต่ อีกสิบนาทีต่อมา ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม “หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ” ช่อเอื้องบอกเสียงอ่อน แม้ว่าเธอจะซาบซึ้งใจที่เขาจัดงานศพของบิดาได้ดียอดเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะมีเวลาคิดอะไรๆ ตาม ลำพังบ้าง “ฟังนะเอื้อง เรายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเคลียร์กัน ฉะนั้น...” “ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะยังพูดถึงเรื่องนั้นอีก” คนที่ได้ฟังคำตอบ เริ่มน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาทันใด ไม่คิดว่าเขายังจะให้เธอต้องรับผิดชอบเรื่องบ้าๆ นั่นอีก “เฮ้! ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” แม่ทัพรีบออกตัว ทั้งที่ตั้งใจจะใช้เหตุผลเก่ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อดึงให้สาวเจ้าอยู่ต่อกับตน แต่พอเห็นสีหน้าท่าทีที่เริ่มจะไม่โอเค จึงต้องเบี่ยงเบนไปทางอื่น “แล้วแบบไหนล่ะ คุณอยากให้หนูชดใช้อะไรอีก” คนที่สูญเสียบิดาไปอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้ร่ำลาหรือดูใจ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “พรุ่งนี้แม่ของฉันจะเดินทางมาที่งาน” แม่ทัพบอกข้ออ้างใหม่ “ทะ...ท่านมาทำไมคะ?” คนที่กำลังจะร้องไห้ถึงกับสตั๊นไปชั่วขณะ “อ้าว! พ่อของลูกสะใภ้เสีย ท่านก็ต้องมาสิถามได้” แม่ทัพกลอกตากับคำถามของสาวเจ้า “แต่หนูไม่ใช่ภรรยาหรือคนรักของคุณ” เธอเถียงกลับอย่างไม่ยอมรับสถานะที่อีกฝ่ายพยายามจะยัดเยียดให้ ไหนจะเรื่องที่เขาไปยกมือไหว้สาบงสาบานที่หน้าโลงศพพ่อของเธออีก “หึ! เธอจะปฏิเสธยังไงก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเธอคือคนที่ไปนอนแก้ผ้าอยู่บนเตียงของฉัน แล้วทำให้แม่ฉันเข้าใจผิด” แม่ทัพตอกกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะตึงขึ้นมานิดๆ “ที่ท่านเข้าใจผิดเป็นเพราะคุณบอกท่านว่าหนูเป็นเมียคุณต่างหาก” ช่อเอื้องเถียงกลับทันใด “ก็แล้วเธอจะให้ฉันบอกแม่ว่ายังไงล่ะ อ๋อ! เธอเป็นสาวที่ผมหิ้วมาจากไนต์คลับเมื่อคืน แบบนี้เหรอ?” คนที่แถจนสีข้างถลอกบอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ก็แล้วทำไมคุณไม่บอกไปตรงๆ ล่ะคะว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่เรื่องโจ๊กที่เพื่อนของคุณแกล้งเล่นเท่านั้น” เธอถามย้อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะคิดว่าเขาควรจะแก้ตัวตั้งแต่แรก ไม่ใช่เนียนไหลตามน้ำ แล้วโยนว่าเป็นความผิดของเธอ “แม่ฉันคงเชื่อ” แม่ทัพกลอกตาอย่างรู้สึกเซ็งๆ ที่สาวเจ้าไม่ยอมอ่อนให้เหมือนก่อนหน้า แถมยังเถียงกลับทุกคำจนเขาแทบจะคิดหาข้ออ้างไม่ทัน “งั้นขอเบอร์โทรท่านได้ไหมคะ เดี๋ยวหนูจะโทรไปอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟังเอง” ช่อเอื้องบอกอย่างทนไม่ไหว นอกเหนือจากการแสดงความเสียใจของแขกที่มาในงานแล้ว คำถามที่เธอไม่อยากจะตอบเลยคือ...ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอหนูเอื้อง? “บ้า! มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก” “แล้วคุณจะให้หนูทำยังไง” “เธอก็แสดงเป็นเมียของฉันต่อไปสิ” แม่ทัพชี้ทางสว่างให้สาวซื่อที่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นโชคดีขนาดไหนที่ได้ตนเป็นผัว “อะไรนะ” ช่อเอื้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง “เธอได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันจะจ้างเธอเดือนละห้าหมื่น เสร็จจากงานของพ่อเธอแล้ว ค่อยให้คำตอบฉันก็ได้ แต่ระหว่างนี้เราต้องแกล้งเป็นคนรักกัน เพราะแม่ของฉันท่านจะมาร่วมไว้อาลัยที่งานศพทุกคืน” แม่ทัพยื่นข้อเสนอที่คิดว่าสาวเจ้าจะไม่มีทางปฏิเสธ “...” ช่อเอื้องถึงกับนิ่งเงียบไปทันใด เพราะค่าจ้างห้าหมื่นบาทต่อเดือนนั้นไม่ใช่เงินน้อยๆ หากเธอแกล้งเป็นคนรักของเขาสักสองเดือน เธอก็จะมีเงินไปเรียนต่อมหา’ลัยได้อย่างไม่ขัดสน “เรื่องงานศพของพ่อเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลทุกอย่างให้เอง” แม่ทัพ รีบเสริม “คุณจะไม่ทำแบบนั้นกับหนูอีกใช่ไหมคะ?” คนที่เงินก็อยากได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังผวากับการกระทำของอีกฝ่ายที่หักหาญน้ำใจเธอเมื่อตอนเช้า “...” แม่ทัพเจอคำถามซื่อๆ เข้าไป ก็ถึงกับใบ้แดกไปชั่วขณะ “ตอบมาสิคะ” ช่อเอื้องถามขึ้นอีกครั้งอย่างต้องการความมั่นใจ “โอเค! ฉันจะไม่ทำอีก” แม่ทัพกัดฟันตอบ เพราะไม่อยากให้สาวเจ้าไปอยู่ ที่อื่น “ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องฉีกยิ้มออกมาอย่างรู้สึกมีความหวังที่จะได้เข้าเรียนในระดับมหา’ลัย “เธอมีแฟนหรือยัง” แม่ทัพหันไปถามอย่างรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่สาวเจ้ายินดีจะรับข้อเสนอ แต่ไม่ยอมให้ล่วงเกิน “ยังค่ะ หนูยังเด็ก ไม่พร้อมจะคิดเรื่องนี้” ช่อเอื้องตอบไปตรงๆ ‘หึ! หัดคิดเอาไว้สักหน่อยก็ดีนะเอื้อง’ แม่ทัพต่อว่าในใจก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในคอนโดหรูที่ตนพักอยู่ ชั้นบนสุดของคอนโด...ช่อเอื้องเดินตามร่างสูงของชายหนุ่มเข้าไปภายในห้องพักที่สุดจะกว้างขวางด้วยหัวใจสั่นๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนสนิทของอีกฝ่ายที่เธอเคยเห็นหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง นั่งก้มหน้าดูมือถือของตัวเองที่กำลังมีสายเรียกเข้า “บอสครับ! คุณขุนโทรมาหา บอสจะรับสายไหมครับ” โดมรีบบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวลงนิดๆ ให้ผู้เป็นนายและหญิงสาวที่สวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ “ไม่รับ บอกมันไปตายซะ” แม่ทัพนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ แล้วหยิบเอกสาร ดเที่วางอยู่ออกมาเปิดดูคร่าวๆ ช่อเอื้องส่งยิ้มบางๆ ให้คนสนิทของอีกฝ่าย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับ แม่ทัพอย่างทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...ครับ” โดมขานรับไม่เต็มเสียง ไม่กล้าเอ่ยตามที่ผู้เป็นนายบอก “งานเป็นยังไงบ้าง” แม่ทัพเปลี่ยนมาถามถึงงานที่บริษัทพร้อมกับดึง เนคไทออก “กระแสตอบรับดีมากครับ บัตรเข้าสนามมวยขายหมดภายในห้านาที สปอนเซอร์ติดต่อเข้ามาลงโฆษณากันเต็มเลย” โดมรายงานด้วยสีหน้ายิ้มๆ “เยี่ยม แกดูแลงานได้ใช่ไหม?” “สบายมากครับบอส” “ดี! ยังไม่ต้องบอกเรื่องของเอื้องกับใครนะ” แม่ทัพบอกพลางหันไปมองสาวเจ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ “ครับ อ้อ! คุณจอมจะแต่งงานอาทิตย์หน้านะครับ เห็นว่าคุณขุนขอเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว” โดมพยักหน้ารับแล้วรายงานเรื่องสำคัญที่เพิ่งจะทราบมาเมื่อชั่วโมงก่อน “ไอ้ขุนเนี่ยนะ?” แม่ทัพขมวดคิ้วถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ กลัวว่าขุนพันจะไปแกล้งจอมพลเหมือนที่แกล้งตน “ครับ” โดมเอ่ยยืนยันเสียงหนักแน่น “แกช่วยบอกทุกคนด้วยว่า ฉันจะขึ้นไปเชียงใหม่ตอนวันแต่ง” แม่ทัพบอกพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกเพลียๆ “ครับ” โดมขานรับก่อนจะหันไปเอ่ยกับหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ “เอ่อ...ผมขอแสดงความเสียใจกับคุณเอื้องด้วยนะครับ เรื่องคุณพ่อ” “ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ไปให้ชายหนุ่มซึ่งดูสุภาพ ผิดจากคนเถื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอเป็นอย่างลิบลับ โดมหันไปยกมือรับไหว้และเอ่ยลา “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับบอส คุณเอื้อง” “อืม! มีอะไรก็รายงานมาในแชตแล้วกัน” แม่ทัพพยักหน้ารับเบาๆ “ครับ” โดมยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องพักไปเงียบๆ “คุณทำงานในสนามมวยเหรอคะ?” ช่อเอื้องเอ่ยถามอย่างลืมตัว หลังถูกชายหนุ่มสะกิดแขนให้ลุกขึ้นยืนตาม “เปล่า! ฉันเป็นเจ้าของค่ายมวย” แม่ทัพบอกอย่างรู้สึกขำนิดๆ กับคำถามของสาวเจ้า “...” ช่อเอื้องได้ฟังคำตอบก็ถึงกับนิ่งไปทันใด “เป็นอะไร เงียบเชียว” แม่ทัพถามเมื่อเห็นสาวเจ้าหน้าเจื่อนไปนิดๆ “มะ...ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ช่อเอื้องรู้สึกเกร็งๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เราไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้านอนกันเถอะ” แม่ทัพชวนเสียงอ่อน “ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับ แล้วเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปในห้องนอนใหญ่ อย่างมึนๆ “ห้องนี้เป็นห้องแต่งตัวของเธอ ของทุกชิ้นที่อยู่ในห้องนี้เป็นของเธอทั้งหมด” แม่ทัพหันไปบอกพร้อมกับเปิดประตูห้องแต่งตัวของสาวเจ้าที่เขาเพิ่งจะสั่งให้คนเข้ามาปรับเปลี่ยนแทนที่ห้องทำงานเก่าเมื่อช่วงเย็น “ของหนู?” ช่อเอื้องมองเข้าไปภายในห้องที่มีทั้งกระเป๋า รองเท้าและเสื้อผ้ามากมายจากแบรนด์ดัง ถูกวางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็รู้สึกอึ้ง เพราะตอนเมื่อตอนเย็นเธอเห็นประตูของห้องนี้เปิดอ้าทิ้งไว้นิดๆ เลยแอบชะโงกหน้าเข้าไปส่องดู เห็นมีโต๊ะทำงาน กับหนังสือมากมายวางเรียงอยู่ราวๆ สามร้อยเล่ม ไม่น่าเชื่อว่าเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง ห้องนี้จะถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องแต่งตัวของเธอ “ใช่! เป็นของใหม่หมดทุกชิ้น” แม่ทัพรีบเสริมกลัวสาวเจ้าจะคิดว่าเป็นของผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยพักอยู่กับตน ซึ่งก็ไม่เคยมีสาวคนใดจะได้อภิสิทธิ์นี้มาก่อน จะมีก็แต่...สาวตรงหน้าเท่านั้น “ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องหันไปยกมือไหว้หนุ่มโหดสายเปย์อย่างซึ้งใจ “คุณพ่อของเธอท่านชอบทานอะไรเหรอเอื้อง” แม่ทัพฉีกยิ้มให้สาวมารยาทงาม ที่มือไม้อ่อน แลดูน่ารักน่าใคร่ เอ๊ย! น่ารักน่าทะนุถนอม “แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายค่ะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD