ตอนที่ 4
“ตายแล้ว แกมางานนี้ด้วยเหรอยะนังหนูเร แล้ววันนี้ควงใครมาละยะหล่อน”
คนถูกทักถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะน้ำเสียงแหลมเล็กที่ดังมาจากด้านข้าง หางตาเธอเห็นสาวในชุดราตรีสีเหลืองมะนาว แต่งหน้าออกโทนสีชมพูเข้มจัดจนขาววอกลอยมาแต่ไกล กับอีกคนในชุดเขียวใบตองแต่งหน้าออกโทนสีน้ำตาลเข้ม วาดคิ้วและหางตาที่ชี้ขึ้นไปด้านบน ทาปากด้วยลิปสติกสีม่วงเข้ม
เฮ้อ! หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ อุตส่าห์คิดว่างานนี้จะคัดเลือกคนที่มาร่วมงาน แต่ยังมีพวกปากหอยปากปูแถมไม่มีหูรูดหลุดลอดเข้ามาได้ตั้งสองคนแนะ น่าเบื่อชะมัดแฮะ
หญิงสาววางแก้วไวน์ลงในถาดที่พนักงานเดินวนไปเวียนมาคอยรับคอยเสิร์ฟให้กับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย หันไปประจันหน้ากับสองสาว
“ถ้าฉันไม่มา แล้วพวกหล่อนทั้งสองคนจะเห็นหรือไง”
“ย่ะ” หนึ่งในสองสาวตอบกลับเสียงสูง ขณะมองเรณุกาอย่างอิจฉา ก่อนจะแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าตอนนี้ข้างกายหญิงสาวว่างเปล่า ไม่มีชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่ควงมาด้วย
“พวกฉันก็เพียงแค่สงสัย แกมากับใคร แต่เห็นแค่นี้ก็รู้แล้ว...โดนเขาเขี่ยทิ้งแล้วละซิ”
“หน้าตาอย่างฉันนี่นะ โดนผู้ชายเขี่ยทิ้ง” เรณุการถามกลับ ถึงจะไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนกับเพื่อนสาวคู่แค้นแสนรักอีกสองคน แต่เธอก็มีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวอมชมพูนวลเนียนรับกับดวงตากลมโตเหมือนกับดวงตากวางล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวงอน จมูกโด่งเป็นสันรับกับกลีบปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อ เรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้เสมอ
“พวกเธอเข้าใจผิดแล้วละ ฉันเบื่อพวกผู้ชายที่แข่งกันเอาใจจนน่ารำคาญ แค่บอกว่าหิว ก็รีบวิ่งไปหาของมาให้กินจนล้นโต๊ะ ขนข้าวของมาให้จนล้นห้องแล้ว ผิดกับบางคน อุตส่าห์ยั่วยวน อ่อยแล้วอ่อยอีก ขนาดเปลื้องผ้ายั่ว แต่ก็ยังถูกเมินหน้าหนี”
เรณุกาไล่มองสองสาวจากศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะแสยะยิ้ม “ว่าแต่คนอื่น แต่ไม่ดูสังขารของตัวเอง น่าสงสารจริงๆ ”
“แก...นังหนูเร แก...”
“อุ้ย! แหกเสียงอย่างนี้ไม่อายหรือจ๊ะ เดี๋ยวหนุ่มๆ ที่หมายปองไว้ก็หนีหายไปจนหมดหรอก” เรณุกายกนิ้วอุดหู ทำหน้าเหนื่อยหน่าย “พวกเธอก็หน้าตาดีอยู่หรอกนะ แต่พอไม่ได้ดังใจเข้าหน่อยก็แหกปากร้อง เหมือนนกหวีด แถมยังดิ้นกระแด่วๆ เหมือนสุนัขโดนน้ำร้อน ถ้าหน้ายังมียางก็หัดอายคนอื่นเขาเสียบ้าง เห็นหรือเปล่า เขามองกันใหญ่แล้ว”
เรณุกามองสองสาวที่เคยท่าหนึ่งในผู้ชายที่เธอเคยควงด้วยอย่างสมเพชเวทนา เพราะผู้ชายไม่สนใจ แม่สองสาวถึงได้เต้นเป็นเจ้าเข้า หญิงสาวเลิกไหล่ขึ้นก่อนจะตัดบทด้วยการเดินออกไปจากงาน ทว่า...
“น้องหนูเร”
เสียงเรียกที่ทำให้เรณุกาเบะหน้าด้วยเบื่อหน่าย ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ เจอแต่คนไม่อยากเจอ บ้าชะมัดเลย อยากจะเดินหนีไปให้ไกลๆ แต่คงจะไม่ทันแล้ว เพราะคนที่เรียกเดินมาหยุดใกล้ๆ พร้อมกับจับมือเธอไว้อย่างถือวิสาสะ หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ เจอหมอทินภัทรทีไร เป็นอย่างนี้ทุกที...ต้องถูกอีกฝ่ายหาเรื่องจับไม้จับมือตลอด สงสัยจะเป็นนิสัยถือโอกาสของชายหนุ่มไปเสียแล้ว
“สวัสดีค่ะพี่หมอ มาด้วยหรือคะ” อยากจะถามต่อว่าเขามากับใครและมาทำไม แต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเธอหึงหวงและจะหาเรื่องคุยต่อจนเธอเมื่อยหูที่ต้องนั่งฟังเรื่องไร้สาระ
“น้องหนูเรจริงๆ ด้วย เมื่อกี้เห็นแวบๆ พี่นึกว่าไม่ใช่ แค่ลองเรียกดูเท่านั้นเอง” ทินภัทรบอกอย่างดีใจ เขาเพียรแวะเวียนไปหาเรณุกาบ่อยครั้ง แต่หญิงสาวเหมือนกับนกรู้ ชอบทำตัวเหมือนกับนินจา ไปทีไรไม่เคยเจอตัว โทรหาก็ไม่รับสาย วิ่งไล่ตามจนเหนื่อยและหมดแรงแล้ว แต่เขาก็ยังต้องฝืนใจทำ เพราะเหตุผลบางประการ
เรณุกากรอกสายตามาไปมา เพราะเห็นแก่มารยาททางสังคม เธอเลยหันไปตามเสียงร้องทัก
“น้องหนูเรมากับใครครับวันนี้” แม้จะไม่ชอบในหลายสิ่งหลายอย่างที่หญิงสาวทำ แต่ทินภัทรก็ยังคงแสดงกิริยาออกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ชายหนุ่มแย้มยิ้มละมุนละไมและอบอุ่นเพราะต้องการผูกใจสาวน้อยตรงหน้าให้สนใจ
“หนูเรมากับเพื่อนค่ะ ตอนนี้ไปห้องน้ำ” หญิงสาวโกหกหน้าด้านๆ อย่างไม่ละอายว่าผิดศีลมุสาข้อสี่ ‘ฉันไม่ชอบหน้านายคนนี้นี่น่า’
“สงสัยว่าตอนนี้คงจะตกห้องน้ำคอหักตายไปแล้ว ถึงได้ช้าอย่างกับเต่าคลานแบบนี้” หญิงสาวอย่างยียวน ก็เห็นอยู่แล้วว่าเธอยืนอยู่คนเดียว ดันถามหาคนอื่นเสียได้ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้อ้างเงานี่แหละชิ่งหนีกลับบ้าน
“ครับ”
อ้าว...งงเข้าไป มุกแค่นี้ก็ตามไม่ทัน เรณุกาก็ไม่ยอมแก้ไขความเข้าใจผิดของหมอทินภัทรด้วย หน้าตาผู้ชายตรงหน้าก็ดูดี หล่อตี๋อย่างหนุ่มเกาหลี ดวงตาชั้นเดียวในกรอบแว่นสีใสที่ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มมีเสน่ห์ลดน้อยลงเลย ผิวแก้มที่ขาวใสอมชมพูอย่างคนผิวขาวเหมือนคนจีน ริมฝีปากสีแดงสดเพราะไม่สูบบุหรี่
ดูองค์รวมแล้ว ชายตรงหน้ามีหน้าตาดีไม่น้อย เธอก็ชอบหนุ่มผิวขาวเสียด้วยซิ แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้ไม่คิดชอบทินภัทรเลย หรือจะเป็นเพราะอุปนิสัยของชายหนุ่มที่ขี้โอ่จนเคยตัว โอนเอนไปมา ไม่ค่อยจะมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ว่าแม่จะจูงไปทางไหนก็ไป ไม่มีความเป็นผู้น้ำ ผู้ชายแบบนี้คุ้มครองใครไม่ได้แน่นอน ยังจะกลายเป็นภาระด้วย
“พี่หมอไม่ได้มีอะไรกับหนูเรเป็นพิเศษใช่ไหมคะ งั้นหนูเรขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะคะ” เรณุการีบหาทางชิ่งหนี เพราะไม่อยากสนทนากับอีกฝ่าย เบื่อที่ต้องทนฟังอีกฝ่ายพร่ำโอ่ถึงความเก่งกาจและเฉลียวฉลาดของตัวเอง และความร่ำรวยของครอบครัวที่เธอรู้ดีว่าตอนนี้เหลือแต่เปลือกเพราะความที่ต้องการรักษาหน้าและจมไม่ลง
“เดี๋ยวซิครับ” ทินภัทรยื่นมือไปจับแขนเรียวดึงรั้งหญิงสาวให้อยู่คุยกับตัวเอง...อีกสักนิดก็ยังดี แต่ต้องรีบปล่อยเมื่อเรณุกาปรายตาเขียวและดุกร้าวเพราะไม่ชอบใจใส่
“พี่ขอโทษครับ พี่เพียงแค่เอ่อ...” ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าเรณุกาแล้วเขาพูดไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูกสักอย่าง หรือจะเป็นเพราะสายตาที่ก็ดูหวานน่าหลงใหลอยู่นะ แต่พอหญิงสาวโกรธมันก็จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายวาววับเหมือนกับดวงตาเสือ มองเหมือนกับจะกัดยังไงไม่รู้
“พี่หมอมีอะไรกับหนูเรอีกหรือคะ” หญิงสาวกัดฟันถาม ยืนปลายเท้าห่างกันเล็กน้อยอย่างเตรียมพร้อม ไม่ต้องลงมือตบหรอก แค่ทำตาดุใส่ ผู้ชายตรงหน้าก็กลัวจนหัวหดแล้ว อย่างนี้จะมาเป็นคนดูแลปกป้องคุ้มครองเธอไปตลอดชีวิตได้ยังไง สงสัยถ้าเกิดเหตุร้ายเข้าจริงๆ เป็นเธอเสียมากกว่าที่จะต้องดูแลอีกฝ่าย
“ปะ...เปล่าๆ ครับ พี่ก็แค่อยากถาม พรุ่งนี้หนูเรว่างไหม เท่านั้นเอง”
“ไม่ว่างคะ” หญิงสาวตอบโดยไม่เสียเวลาคิดเลยสักนิดเดียว “หนูเรมีแพลนจะไปอิตาลี จะเลยไปฝรั่งเศสและสวิสด้วยหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจนะคะ ต้องดูสถานการณ์ก่อน” เปล่า ไม่ได้มีแพลนอะไรเลย เพียงแค่ตอบส่งๆ ไปเท่านั้นเอง แต่ถ้าอีกฝ่ายไปวุ่นวายมากเข้าจริงๆ ก็คงต้องหาที่หลบ จะได้ไม่ต้องเจอผู้ชายตรงหน้าให้รำคาญใจ
“สองสามวันนี้คงจะยุ่งกับการเตรียมตัว พี่หมอถามทำไมคะ” ไม่ได้อยากรู้เลย...แค่ถามไปตามมารยาท ใจเธออยากตัดความสัมพันธ์กับหมอทินภัทรไปเลย แต่พ่อห้ามไว้ บอกว่าสองครอบครัวยังดีกัน เป็นเพื่อนกันไว้ดีกว่า แต่เธอรำคาญแม่หมอทินภัทรที่ชอบมาเจ้ากี้เจ้าการก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเธอ ทำตัวยิ่งกว่าพ่อกับแม่เธออีก ห้ามโน่นห้ามนี่ อันนี้ก็ไม่ดี อันนั้นก็สะเหล่อ ตอนนี้นะยังพอทนได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ความอดทนเกินเลยขีดจำกัดละก็...ไม่สนแล้ว จะเป็นหัวหอกหัวดำ เธอจะถอนให้หมดหัวเลย