ตอนที่ 3
“ไม่เป็นไร ชินแล้วกับปากมอมๆ ที่ดีเห่าให้คนเขารำคาญหู แต่เอาเข้าจริง ทำได้แค่แทะรองเท้าเล่น” พฤกษ์พูดกับนารีรัตน์ แต่ปรายสายตาไปมองกันต์ศักดิ์ นึกว่าเขาจะให้เล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง เขาเพียงแค่รอเวลาเท่านั้นเอง
“มึง...ไอ้พฤกษ์!” กันต์ศักดิ์ลุกอย่างเร็วจนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ล้มเก้กัง เพราะชายหนุ่มเป็นคนค่อนข้างขาว เมื่อโกรธขึ้นมาก็จะเห็นสีหน้าที่แดงระเรื่ออย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบลุกโชนด้วยไฟโทสะ
“มึง! ไอ้ลูกชู้ มึงกล้าด่ากูเป็นหมาเหรอ” กันต์ศักดิ์ชี้หน้าใส่พี่ชาย
นารีรัตน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้อยู่แล้วว่ากันต์ศักดิ์พาลหาเรื่องจะต่อยปากตัวเองอยู่แล้ว พฤกษ์ก็ดันจุดชนวนให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ซิน่า
‘เล่นพูดจนกันต์ศักดิ์หน้าแดงอย่างกับกุ้งต้มแบบนี้ เดี๋ยวจะต้องมีเรื่องอีกแน่เลย เฮ้อ!’
“ใจเย็นๆ นะกันต์ พฤกษ์” ปฐมพรรีบห้ามน้องชายทั้งสองคนไม่ให้มีเรื่องทะเลาะต่อยตีกันภายในงานจนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวชาวบ้านลือกันไม่รู้จักจบสิ้นไปอีกนาน
ศึกหน้านาง...พี่น้องต่อยตีแย่งชิงผู้หญิงคนเดียวกัน บ้าจริง!
ปฐมพรมองผู้หญิงที่ทำให้กันต์ศักดิ์หยุดหาเรื่องพฤกษ์ไปช่วงหนึ่งก่อนจะกลับมาหาเรื่องหนักขึ้น จนบางครั้งเธอตามไปห้ามทัพไม่ไหว ก็จำต้องปล่อยให้ทั้งคู่ต่อยตีกันจนพอใจ จากนั้นเธอก็หาหยูกยามารักษา
ถ้าทั้งคู่ยังเป็นเด็ก เธอจะลงโทษให้ไปยืนกลางแดง ปากงับไม้บรรทัด กางแขน ยกขาเหมือนกับที่ครูทำโทษเด็กที่ไม่สนใจเรียน แต่ตอนนี้แต่ละคนโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว...โตกว่าเธอเป็นสองเท่าด้วย แค่ผลักเบาๆ เธอก็กระเด็นหล่นจากเก้าอี้วิวแชร์ (เก้าอี้สำหรับคนพิการ) แล้ว เธอก็แก่ผู้หญิงพิการคนหนึ่ง จะไปสู้อะไรได้
นารีรัตน์วางบนมือพฤกษ์และบีบเบาๆ “พอเถอะค่ะพฤกษ์ เห็นไหม พี่พรเครียดมากแล้ว”
หากพฤกษ์กลับไม่สนใจ เขาคิดก่อกวนน้องชายอารมณ์ร้อนไม่เลิก ใบหน้าคมคร้ามที่วันนี้สะอาดสะอ้าน เพราะโกนหนวดโกนเคราเรียบร้อยมีรอยยิ้มเหมือนกำลังเยาะเย้ย ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความรื่นเริง สองมือใหญ่สอดไขว้ไปวางด้านหลังศีรษะทุย เอนแผ่นหลังอิงพนักเก้าอี้ เท้าแข็งแกร่งยื่นล้ำไปด้านหน้า นั่งสองขาโยกไปมา
“เมื่อกี้กูว่ามึงเป็นหมาเหรอ...แต่กูจำได้ว่าไม่ได้พูดว่าออกไปสักคำ แต่ถ้ามึงจะคิดไปเองว่าเป็น กูก็ไม่ว่า”
“ไอ้พฤกษ์!” กันต์ศักดิ์จับคอเสื้อพฤกษ์เอาไว้ “มึงถอนคำพูดนะไอ้ลูกชู้” ชายหนุ่มกัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน
“พฤกษ์...กันต์ ถ้าเราสองคนไม่หยุดพี่จะ...” ไม่คิดหรอกนะว่ามันจะได้ผล แต่ยังไงก็ลองดู ปฐมพรคว้าส้อมมาถือหันด้านปลายแหลมคมเข้าหาตัว
“พี่พร!” สองพี่น้องหนุ่มร้องเรียกพี่สาวด้วยความตกใจพร้อมๆ กัน
“ผมขอโทษครับพี่พร” เป็นพฤกษ์ที่ยอมถอย เขาลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะอาหาร ด้วยรู้ดีว่าถ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้นคงยังทะเลาะกับกันต์ศักดิ์ไม่เลิก เป็นต้นเหตุทำให้พี่สาวต้องเจ็บกายด้วย
“พฤกษ์คะ!” นารีรัตน์วิ่งตามพฤกษ์ไป แต่ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเหงาเศร้าที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจจนเธอถึงกับน้ำตาคลอ เมื่อรู้ว่าพฤกษ์เจ็บปวดเพราะการกระทำของคนในครอบครัว
“ขอผมอยู่คนเดียวก่อนนะรัตน์” ชายหนุ่มบอกหญิงคนรักที่อยู่ใกล้พร้อมให้กำลังใจเขามาสองปีกว่าเกือบจะสามปีในอีกสามเดือนข้างหน้า เขารู้ว่านารีรัตน์เป็นห่วง แต่ตอนนี้เขาอยากจะอยู่ตามลำพังมากกว่า
“รัตน์อยู่ทางนี้ฝากช่วยดูแลพี่สาวผมด้วยนะ” ชายหนุ่มขอเสียงเบา ก่อนจะเดินไหล่ห่องุ้มด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้พี่สาวน้อยใจ จนคิดจะใช้ช้อนส้อมทำร้ายตัวเอง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดซ้ำๆ ไปอีกกี่ครั้งมันถึงจะหยุด หรือเขาจะต้องออกจากไร่แห่งนี้ตามความต้องการของกันต์ศักดิ์จริงๆ
“ผมจะทำยังไงดีครับแม่” พฤกษ์ถามเสียงแผ่วเบา เมื่อเดินมาถึงต้นกัลป์พฤกษ์อันเป็นที่ฝังศพของมารดา ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าใต้ต้นแก้วซึ่งออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้น
เขาไม่เคยได้รู้ว่าอ้อมกอดของมารดานั้นอบอุ่นเพียงใด เพราะแม่เสียไปตั้งแต่เขายังเล็ก จะรับรู้ความรักก็จากคนเก่าคนแก่ที่เล่าให้ฟังยามที่เขาเปรยตัดพ้อต่อว่าที่แม่ทิ้งเขาไว้ในบ้านหลังใหญ่แต่ขาดความอบอุ่น ส่วนตัวเองก็หนีไปและตายอยู่กับชายชู้ แต่ก็มีคนที่ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะรู้ว่าแม่รักพ่อมาก แต่สำหรับพ่อ...เขาไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นรักแม่บ้างหรือเปล่า หรือเห็นแม่เป็นเพียงแค่ผู้หญิงใสซื่อที่หลอกฟันแล้วก็ปลูกบ้านไว้ให้หนึ่งหลังที่ท้ายไร่ ต้องการเมื่อไหร่ก็แวะเวียนมาหา
พฤกษ์เอนนอนราบกับพื้นหญ้า สอดขาไขว้กัน สอดมือซ้อนประสานกันไว้ที่ท้ายทอย มองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ส่องสว่างแข่งกับดวงดาราที่กะพริบ ในหูก็มีคำพูดหลอกเด็กของคนที่เคยเลี้ยงดูดังแว่วมา
“หนูต้องเป็นคนดีนะพฤกษ์ จะต้องรักพี่รักน้อง คอยปกป้องดูแล อย่าให้ได้รับความเดือดร้อน แล้วแม่ที่คอยดูหนูอยู่บนสวรรค์จะได้ดีใจ แต่ถ้าหนูไม่ทำ แม่ก็จะร้องไห้นะลูก”
“เราจะรู้ได้ไงละฮะว่าแม่มองดูอยู่ ถ้าผมทำไม่ดีแล้วแม่จะรู้ได้ยังไง แม่รู้ได้ยังไงว่าผมมีน้อง แม่ตายก่อนไม่ใช่หรือฮะ”
“เพราะแม่คือดวงดาวอยู่บนฟ้าที่รู้ว่าหนูเหงา เศร้าและไม่มีความสุข แม่ถึงได้อยู่ดูแลตอนที่หนูหลับ เวลาหนูทำดีและมีความสุข แม่ก็จะยิ้มและส่องประกายระยิบระยับ แต่ถ้าหนูทำให้แม่เสียใจ น้ำตาของแม่ก็จะหล่นลงมาเป็นสายฝนไงลูก”
พฤกษ์อยากจะหัวเราะ ตอนเป็นเด็กเขาเชื่อนิทานพวกนี้เป็นตุเป็นตะ เวลาใครบอกว่าแม่ตายแล้วต้องตกนรก เพราะทำผิดกับพ่อ เขาก็จะเถียงจนปากสั่นตัวสั่น พาลหาเรื่องจนตัวเองเจ็บตัว เขาชกต่อยชนะเสมอแต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ไม้เรียวที่พ่อใช้ลงโทษเป็นประจำ
กรามหนาขบกัดบดเบียดจนนูนเด่น ประกายในดวงตาแข็งกร้าว ฮึ! อยากรู้นัก พ่อรักเขาบ้างหรือเปล่า หรือเพียงทำตามหน้าที่ ดูแลส่งเสียไอ้ลูกที่ไม่อยากมีตามอัตภาพ
พฤกษ์สะบัดศีรษะไล่ความคิดที่ทำให้เขาเจ็บปวดออกไปจากสมองและหัวใจ จะไปคิดถึงคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดทำไมกัน
พฤกษ์หันหน้าไปทางฝั่งที่มีร่างของผู้หญิงซึ่งใครจะว่าไม่ดีเพียงใดแต่เธอคนนี้ก็คือคนที่ให้กำเนิดเขามาและเป็นคนที่เขารักสุดชีวิต
“ขอบคุณนะครับแม่ที่อยู่เป็นเพื่อนผม”
ชายหนุ่มลุกขึ้น เมื่อมาที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะในหัวใจจะร้อนรุ่มแค่ไหน แต่เมื่อได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรกับสายลมเย็นที่ผัดแผ่วพลิ้วหอบเอากลิ่นของแก้วมาแตะจมูก เหมือนจะช่วยปลอบโยนให้ไฟร้ายร้อนเผาไหม้หัวใจดับลง แม้จะไม่สนิทเพราะยังมีตะกอนหลงเหลืออยู่
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนแล้ว แต่คนเราก็วาดภาพจินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เสมอ เหมือนกับเขาในยามนี้ ที่รู้ว่าแม่ไม่มีตัวตน แต่ก็ยังคิดและเล่าเรื่องราวให้ฟังอยู่ดี อย่างน้อยการมาที่นี่ก็ทำให้เขาเหมือนได้อัดพลังเพื่อจะได้ลุกขึ้นสู้ชีวิตในวันพรุ่งนี้โดยไม่มีคำว่าท้อแท้และหวาดกลัวกับอุปสรรคและปัญหาที่เป็นเหมือนกับไม้ท่อนที่บางคนโยนใส่ลงมาทีละท่อนๆ พอได้กองใหญ่ ก็ราดด้วยน้ำมันและจุดไฟเผา
ดึกดื่นเลยเที่ยงคืนไปแล้วแต่พฤกษ์ก็ยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ กับหลุมศพของมารดา จนคิดได้ว่า เขาไม่ควรนำเรื่องทุกข์ร้อนมารบกวนคนตายให้ต้องมาทุกข์ตรมด้วย จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านพัก แต่ก่อนนั้นเขาก็ยื่นมือไปจับป้ายชื่อของแม่อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน
“ผมไปก่อนนะครับแม่ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่”
เหมือนกับคนที่อยู่ใต้ดินแห่งนั้นจะรับรู้ สายลมแผ่วพลิ้วผัดหอบเอากลิ่นดอกไม้มาไล้กายแกร่งเพื่อบอกลาเช่นกัน