“เหล้าอะไรแพงจัง” เก้าบ่น แล้วก็ทรุดนั่งที่เดิม
“ว่าไงคะ รออีกสักชั่วโมงได้ไหมคะ ถ้ารีบคุณจะถือไปเองก็ได้ค่ะ” พบูยิ้มหวานเท่าที่ทำได้ จากนั่นก็ยินนิ่งรอคำตอบ
เคเดนไหวไหล่เบ้ปาก เขาส่งเครดิตการ์ดของเจ้านายให้แทนคำตอบ “ผมรับไปเองก็ได้ครับ”
พบูรับบัตรเคดิตมาจัดการรูดจ่ายค่าเหล้าขวดนั้น ลมหายใจเธอสะดุดทันที ที่เห็นบิลค่าเหล้า เธอเผลอยกมือขยี้เปลือกตาด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าตนเองตาลาย ตอนที่เห็นเลขเกินห้าหลักปลายๆ (สกุลดอลลาร์) บนสลิปที่ปริ้นออกมาจากเครื่อง
อาเชอร์กลอกตามองบน เมื่อเคเดนกลับมาคนเดียว ไร้เงาผู้หญิงคนนั้น
“เหล้าหมดแล้วเหรอ ทำไมสั่งมาเพิ่ม” บรั่นดีขวดใหญ่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง แต่เคเดนกลับถือบรั่นดีขวดใหม่ติดมือมา หลังหายไปสักพัก
“ขวดเดียวพอกินหรือไงละ” อาเชอร์เป็นคนตอบ เขารีบซ่อนแววตาผิดหวังไว้
“แน่ใจเหรอว่าจะดื่มอย่างเดียว” ดีนถามต่อ
“เอ่อ กูจะดื่ม ส่วนมึงจะทำอะไรก็เชิญเถอะ” เสียงตอบเริ่มแข็งขึ้น ดีนเลยเลิกสนใจ เขาชินกับความแปรปรวนทางอารมณ์ของอาเชอร์แล้ว
“คุณอยากลงเล่นน้ำในสระไหมคะ เดี๋ยวป่านจะลงเป็นเพื่อน” ป่านพูดแทรกส่งสายตาฉ่ำหวานทอดสะพานให้อาเชอร์เต็มที่
ดีนหันไปหลิ่วตากับเคเดนที่นั่งหน้านิ่งด้านข้างอาเชอร์
ครั้งแรกอาเชอร์นึกอยากปฏิเสธ เขาไม่มีอารมณ์ลงไปลอยคอในน้ำ ตอนนี้ความสนใจของเขาพุ่งตรงไปที่บาร์เหล้าด้านนั้น และหากยังไม่สมหวัง เขาคงรู้สึกหงุดหงิดแบบไม่มีจุดสิ้นสุดแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่พอมาย้อนนึกดีๆ อยากรู้เหมือนกันจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาลงไปในสระด้วยชุดว่ายน้ำที่ปิดร่างกายแค่ช่วงล่าง
“ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับมาว่ายน้ำเสียด้วย อีกอย่างมันค่ำแล้ว ขอกินสบายๆ ดีกว่า” อาเชอร์ตอบแล้วก็ฉวยแก้วบรั่นดีไปดื่ม
หากเขาจะอ่อยใครสักคน มันต้องโจ่งครึ่มหน่อยไม่ใช่ตอนที่แสงสว่างใกล้จะหมดเหมือนตอนนี้
อีริคจับตามองไปที่บาร์เหล้าเป็นพิเศษ ผู้หญิงคนนั้นสวยสะดุดตา แถมยังฉลาดทันคน เขาเห็นคนของอาเชอร์แว๊บๆ หมอนั่นคงส่งคนของตัวเองไปทาบทามผู้หญิงคนนั้น อีริคเฝ้าดูท่าที หลังจากเคเดนเดินกลับไป ทุกอย่างปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไมวันนี้เงียบจังเลยคะ?” มาหยาที่เป็นคู่ขาคนล่าสุดกระซิบถาม มือของเธอคล้องรอบคออีริค ทำท่าจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ แต่อีริคไม่ได้มีความต้องการ เขายกมือขึ้นจับข้อมือมาหยาแล้วก็ยกออกไปจากรอบคอตัวเอง
“อย่าเพิ่งจุ้นจ้านน่า กำลังใช้ความคิด” เสียงติดดุ แถมสีหน้าก็ไม่ใคร่ดี
มาหยาเม้มปาก เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แก้เก้อ
“วันนี้กินกันเต็มที่เลยนะ ผมเลี้ยงเอง” อีริคพูดแบบใจใหญ่ แม้ทุกครั้งที่เขามาพักผ่อนบนเรือสำราญลำนี้เขาจะเป็นคนต้องจ่ายก็ตาม แต่ครั้งนี้เขาไม่อั้น หากสามารถหักหน้าอาเชอร์ได้สักครั้ง
พอหมดเวลาพักเกื้อก็กลับมาประจำที่
“พี่บู เก้าไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวตอนเช้าจะเก็บครัวซองไว้ให้” เก้าโบกมือลา เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์บาร์
เกื้อเลิกหัวคิ้วขึ้นสูง เขาไปพักไม่ถึงชั่วโมง ความสัมพันธ์ของเก้ากับพบูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“เกื้อ เก้าอายุเท่าไหร่แล้ว” พบูกระซิบถาม
“อีกสามเดือนเต็มสิบเก้าพอดี” เกื้อตอบแบบไม่คิดมาก
“เรียบจบมัธยมปลายไหม?” พบูถามต่อ เกื้อถอนใจแรงๆ แล้วก็ส่ายหน้า
“พ่อกับแม่เป็นหนี้เยอะน่ะ ผมกับเก้าเลยไม่ได้เรียนต่อ”
“อย่าน้อยก็จบมัธยมต้น’ ใช่ไหมละ” พบูพูดต่อ
“ใช่…เก้าเรียนเก่งมากเลยนะ วันไหนที่ผมใช้หนี้แทนพ่อหมด ผมจะให้เก้ากลับไปเรียน” เกื้อพูดต่อ ความหวังของเขาไม่ไกลเกินจริง เขาต้องขยันเพิ่มขึ้น อนาคตของเขาต้องไม่เหมือนตอนนี้
พอดีปุ่มสีแดงสว่างวาบๆ พบูเม้มปาก คิดอะไรบางอย่างออก
“พ่อเกื้อเป็นหนี้เท่าไหร่เหรอ?” มันดูน่าเกลียดไปสักหน่อยกับคนที่เพิ่งรู้จักกันวันแรก แต่เกื้อไม่รู้จะปิดบังทำไม เรื่องที่ครอบครัวเป็นหนี้ไม่ใช่ความลับสักหน่อย
“สามแสน...” เกื้อตอบเสียงแหบพร่า
“เดี๋ยวบูจัดการเอง” พบูเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ หันมาขยิบตาให้เกื้อ ตอนแรกเกื้อยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อพบูเดินตรงไปที่ห้อง VIP ของตระกูลฟลินต์ เกื้อก็เริ่มถึงบางอ้อ
เขาโคลงศีรษะกับความใจกล้าบ้าบิ่นของพบู
“ต้องการรับอะไรเพิ่มคะ บรั่นดีของคุณหมดสต๊อกแล้วค่ะ” พบูถามเสียงหวาน หลังจากมองสบตาอีริค
มาหยารู้สึกตงิดๆ ตั้งแต่อีริคสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอหรี่เปลือกตามองผู้หญิงแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“หมายความว่าไงครับ?” อีริคย้อนถาม
พบูยิ้มหวานเท่าที่จะทำได้ “บรั่นดียี่ห้อที่คุณดื่ม เตรียมไว้ไม่เยอะค่ะ หากคุณยืนยันว่าจะดื่มบรั่นดีแบรนด์นี้อีก คงต้องรอถึงพรุ่งนี้ เช้า ทางเราจะสั่งเตรียมไว้ให้ค่ะ” นี่น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้
หากเป็นเวลาปกติ อีริคคงโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง อีริคไม่โกรธแถมยังยิ้มมากขึ้น
“แหมน่าเสียดายจัง ความจริงมันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ผมผิดเองที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมา” มาหยาเลิกหัวคิ้วเอียงคอมาอีริคตาค้าง
“พอจะมีบรั่นดีแบรนด์อื่น รสชาติอาจไม่เท่าแบรนด์ที่คุณดื่มอยู่ แต่น่าจะช่วยแก้ขัดได้นะคะ” พบูพยายามรอมชอมและหาทางออกให้
“ไปยกมาเลยดีกว่า เรากำลังติดฟัน ไม่อยากให้ขาดตอน” ใครบางคนตะโกนบอก
“สักครู่ค่ะ” พบูฝืนยิ้มอีกครั้ง
เธอรีบเดินมาที่เคาน์เตอร์บาร์ หยิบเหล้าราคาแพงหลายแบรนด์หย่อนใส่ตระกร้า แล้วก็เดินเอาไปส่งพร้อมกับเครื่องรูดบัตร
“ชาร์ทค่าทิปรวมไปด้วยเลยไหม?” อีริคถามแทรก
พบูพยักหน้า เธอกำลังปวดหัวกับราคาของบรั่นดีทั้งหมดในตระกร้า แต่พบูไม่ยอมให้ตัวเองขาดทุนหรอก เธอยิ้มแหยๆ ให้อีริค “คือ...ฉันเป็นพนักงานใหม่ค่ะ ไม่ค่อยแม่นเรื่องราคานัก ขอฉันถ่ายรูปบรั่นดีพวกนี้ แล้วให้บัญชของเรือคิดสตางค์ให้ดีไหมคะ?”
อีริคไหวไหล่ “ตามสบายเลย เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม”
“ขอบคุณนะคะ หากมีลูกค้าใจดีแบบคุณสักสิบคนต่อคืน ฉันคงทำงานได้สบายกว่านี้”
“ถูกใครป่วนมาเหรอ ท่าทางคุณอารมณ์ไม่ดีเลย?” อีริคถามเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ความจริงเขาตั้งใจรอฟังคำตอบเลยทีเดียว
พบูทำท่าเหมือนไม่เข้าใจเจตนา “ก็มีหลายรายค่ะ โดยเฉพาะ...” พบูแสร้งหยุดพูดแล้วก็เบ้ปากไปทางทิศที่อาเชอร์กับเพื่อนของเขากำลังสังสรรอยู่
อีริคชอบใจหัวเราะร่วน “ถ้าผมทิปคุณตอนนี้ สักเท่าไหร่ดีถึงจะกลับมาอารมณ์ดีได้”
“อย่าพูดเล่นเลยค่ะ คุณให้ทิปฉัน ฉันก็ดีใจแล้ว” พบูตอบแบบไม่ยี่หระ ทั้งที่ความจริงเธอลุ้นระทึกทีเดียว “เชิญดื่มตามสบายนะคะ ขอฉันไปจัดการเคลียร์เรื่องราคาบรั่นดีของคุณก่อน ถ้าฉันคิดราคาผิด ฉันตายแน่ๆ”
“เดี๋ยวสิ” อีริครั้งไว้
“คะ” พบูหมุนตัวกลับมามอง เธอเกือบกระโจนหนี ตอนที่อีริคยืนขึ้นและโน้มตัวเข้ามาใกล้ตนเอง พบูทำแค่เอนตัวไปทางด้านหลัง แต่จากมุมมองฝั่งตรงข้ามเห็นคนละแบบ มันเป็นมุมอับที่มีพนักเก้าอี้บัง ท่าทางนั่งขอพบูก็พอดีกับขอบเก้าอี้ ที่อาเชอร์เห็นคืออีริคกำลังโน้มตัวมา ‘จูบ’ พบู และเธอก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ
“ทิปของเธอไง ลืมแล้วเหรอ” อีริคยัดกระดาษเช็คที่เตรียมไว้ใส่อุ้งมือพบู
“ขอบคุณค่ะ” พบูกำเช็คไว้ แล้วก็รีบขอบคุณ
อีริคถอยกลับไปนั่งที่เดิม แววตากรุ้มกริ่มจนมาหยาชักเดือด
“คุณมากับหยานะคะ” เธอกระตุกชายเสื้ออีริคแล้วก็ท้วงเสียงแหลม
อีริคจิปาก มองสบตามาหยา พบูรีบชิ่ง เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ต่อให้ทั้งสองคนตีกันจนตาย เธอก็ไม่ขอมีส่วนด้วย