ตอนที่ 2 ตกน้ำหน้าหนาว
"เหตุใดยังไม่ฟื้นอีกเล่า นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่พระสนมจัดงานชมดอกไม้ในวังแล้ว หากหลันเอ๋อร์ไม่ฟื้น นางมิต้องเสียใจไปตลอดหรอกหรือ" เซียวฮูหยินยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับปลายหางตา พลางมองใบหน้าที่ซีดเซียวของสตรีที่อยู่บนตั่งนอน
นี่ก็ห้าวันเข้าไปแล้ว เหตุใดบุตรสาวของนางยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ไหนท่านหมอหลวงบอกว่า นางมิได้เป็นอันใดมากกันเล่า หากไม่เป็นอันใดมาก ก็สมควรจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วมิใช่หรือ แต่หากจะให้นางไปโต้เถียงกับท่านหมอหลวง เซียวฮูหยินก็จะเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน ฝ่าบาทมีพระเมตตายอมให้สามีนางขอคนมาจากวังหลวงได้ก็ดีเท่าไรแล้ว นั่นไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเห็นแก่หน้าสามีนาง ซึ่งเป็นอาจารย์ขององค์ชายทั้งสองหรอกหรือ
"ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่หลันเอ๋อร์จะเข้าร่วมงานชมดอกไม้ได้หรือไม่ แต่มันอยู่ตรงที่เหตุใดนางจึงยังไม่ฟื้น เรื่องชมดอกไม้นั่นหาได้สำคัญไม่" เซียวอู่ถอนหายใจออกมา เขาไม่สนใจเลยสักนิด งานเลี้ยงในวังหากขาดบุตรสาวเขาไป ก็ย่อมไม่มีปัญหาใด อย่างไรเสียงานก็ยังคงจัดได้เหมือนเดิม แต่หากบุตรสาวเขาไม่ยอมฟื้นนั่นต่างหากเล่า ที่เป็นปัญหา เขามีบุตรเพียงแค่สามคนเท่านั้น บุตรจากภรรยาเอกสองคน และเจ้าห้าที่เป็นบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยา แต่หากจะให้พูดตามตรงแล้ว เขารักบุตรสาวมากกว่าเจ้าลิงสองตัวนั่นเสียอีก
"จะไม่สำคัญได้อย่างไร ท่านพี่ก็รู้ดีว่าพระสนมทรงจัดงานชมดอกไม้นี้เพื่อสิ่งใด มิใช่ทรงมีพระประสงค์จะเลือกคู่ครองให้กับท่านอ๋องทั้งสามหรอกหรือ ยามนี้องค์รัชทายาทสิ้นอำนาจลง ฝ่าบาททรงมีพระโอรสไม่กี่พระองค์ ไม่แน่ว่า" ก็เพราะว่ารู้น่ะสิ เขาจึงไม่อยากให้บุตรสาวฟื้นขึ้นมายามนี้ ครั้นได้ยินวาจาของผู้เป็นฮูหยิน เซียวอู่ก็ตวาดเสียงเข้ม สาวรับใช้ต่างก็รีบก้มหน้าลงหดตัวชิดริมกำแพงไม่กล้าส่งเสียง
"หุบปาก!!!...เรื่องในวังหลวงเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรพูดอย่างนั้นหรือ สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา หลันเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นขึ้นมายามนี้ก็ดีเช่นกัน"
"ดีอย่างไรเจ้าคะ ท่านพี่ก็รู้ว่าหลันเอ๋อร์คิดอย่างไรกับซ่งอ๋อง"
"จะคิดเช่นไรก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของหลันเอ๋อร์แล้ว เจ้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก ดูแลลูกให้ดี" เซียวอู่ถลึงตามองภรรยา ก่อนจะหันไปมองบุตรสาวพลางถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าจะเป็นเคราะห์ดี ในยามร้ายหรือไม่ เซียวอู่รู้ดีว่าบุตรสาวกับซ่งอ๋องมีใจต่อกัน หากแต่เขาซึ่งเป็นอาจารย์ขององค์ชายทั้งสอง ย่อมต้องรู้จักอุปนิสัยของทั้งคู่เป็นอย่างดี เพราะอย่างนั้นเขาจึงหวังว่า บุตรสาวจะฟื้นช้ากว่านี้อีกสักสองวัน
ตั้งแต่องค์รัชทายาทถูกลงดาบลดขั้นเป็นจวิ้นอ๋อง องค์ชายอื่น ๆ ก็ถือโอกาสอวยยศเป็นอ๋องกันหมด องค์ชายรองไป๋ซ่งเจี๋ยเป็นซ่งอ๋อง องค์ชายสามไป๋ซ่งคังเป็นคังอ๋อง องค์ชายสี่ไป๋ซ่งหย่วนเป็นหย่วนอ๋อง แต่ความสำคัญในพระทัยของฝ่าบาทยังคงมีอดีตรัชทายาทอยู่เช่นเดิม และเมื่อตำแหน่งรัชทายาทว่างลง องค์ชายพระองค์อื่น ๆ ย่อมจ้องตาเป็นมัน ทว่าคนที่มีโอกาสสูงกว่าผู้อื่น ย่อมต้องเป็นซ่งอ๋อง องค์ชายรองไป๋ซ่งเจี๋ย เพราะเช่นนี้เขาจึงไม่อยากให้บุตรสาวฟื้นขึ้นมายามนี้ สกุลเซียวไม่มีความจำเป็นจะต้องเข้าไปสู่สนามแก่งแย่งของเหล่าองค์ชาย
เสียงไออย่างอ่อนแรงดังขึ้นมาจากทางตั่งนอนด้านใน เซียวอู่และเซียวฮูหยินต่างก็หยุดวาจาโต้เถียง หันไปมองบุตรสาวที่ยามนี้ลืมตาขึ้นมาและเอ่ยเรียกทั้งคู่
"ท่านพ่อ ท่านแม่"
"หลันเอ๋อร์ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ขอบคุณสวรรค์ ฮือ ๆ แม่จะขาดใจตายอยู่แล้ว ฮือ ๆ" เซียวฮูหยินกุมมือบุตรสาวเอาไว้แน่น นางเอาแต่ร่ำร้องขอบคุณสวรรค์ไม่หยุด เซียวเยวี่ยหลันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ถึงแม้จะรู้สึกงุนงง แต่ยามเห็นน้ำตาของมารดา นางก็ทั้งยินดี และเศร้าใจยิ่งนัก
"เป็นความผิดลูก ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงแล้ว"
"ที่ใดกัน เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว" เซียวอู่จ้องมองบุตรสาวไม่แม้แต่จะกะพริบตา ดวงตาคนเป็นพ่อแดงก่ำ ถึงแม้จะไม่มีหยาดน้ำตาไหลรินเช่นภรรยา ทว่าเซียวเยวี่ยหลันก็รู้ดีว่าบิดาก็รู้สึกไม่ต่างจากท่านแม่นัก
"หลันเอ๋อร์หากเจ้าไม่ฟื้นสักที เจ้าก็จะพลาดงานเลี้ยงชมดอกไม้ของพระสนมกุ้ยเฟยแล้วนะ ดีแล้วที่เจ้าฟื้นขึ้นมา ต้องรีบรักษาตัวรู้หรือไม่ อีกสองวันวังหลวงก็จะจัดงานขึ้นแล้ว"
"ยังจะพูดเรื่องนี้อีก เจ้ามันสตรีตื้นเขิน เรื่องเหล่านั้นสำคัญกว่าร่างกายหลันเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน"
"ท่านพี่!!!...ท่านจะเข้าใจลูกได้เท่าคนเป็นมารดาอย่างข้าหรือ" เซียวฮูหยินอ้าปากตั้งท่าจะเถียงสามีอย่างไม่ลดละ ทว่าเสียงเรียกอันดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจวนก็หยุดวาจาของนางเสียก่อน
เซียวเซิ่งหมิ่นวิ่งเข้ามาในห้อง เขายืนเบิกตาอยู่หน้าตั่งนอนไม่กล้าเข้าใกล้ผู้เป็นน้องสาวเพราะรู้ดีว่า น้องสาวผู้นี้ไม่ชอบเขาสักเท่าไร นางเป็นสตรีเย่อหยิ่งก็จริง แต่กิริยามารยาทก็เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเขาผู้เป็นพี่ชายกลับเป็นบุรุษที่ตรงข้ามกับน้องสาวโดยสิ้นเชิง เขามันมุทะลุดุดัน แข็งกระด้าง เช่นนั้นน้องสาวจึงไม่ชื่นชอบที่จะอยู่ใกล้เขา เซียวเยวี่ยหลันก็เห็นแล้วว่าพี่ใหญ่ของนาง วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อถึงในห้องแล้ว กลับเอาแต่ยืนไกลออกไป ไม่กล้าเข้าใกล้ตั่งนอนของนาง พี่ใหญ่เอาแต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น ดวงตาของเขาแดงก่ำมือทั้งสองข้าง ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ใด แลดูช่างน่าขบขัน แต่นางเห็นแบบนั้นแล้วในใจก็พลันปวดร้าว ที่ผ่านมานางนิสัยแย่เพียงใดกันแน่ พี่ใหญ่ถึงได้เกรงนางเช่นนี้
"หลันเอ๋อร์!!!...หลันเอ๋อร์เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นแล้ว" เสียงสะอื้นของพี่ใหญ่ที่ดังออกจากริมฝีปาก เขาข่มกลั้นตนเองเป็นอย่างมาก ไม่ให้เผลอร้องไห้ออกมา
"พี่ใหญ่ข้าฟื้นแล้วเจ้าค่ะ" เซียวเยวี่ยหลันยันตัวเองขึ้นมานั่งอิงหมอน พลางส่งยิ้มให้กับพี่ชายอย่างปลอบประโลม
"มานั่งนี่เถอะเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ยืนไกลเช่นนั้น ข้าก็ต้องพูดเสียงดังขึ้น เหนื่อยยิ่งนัก" เซียวเซิ่งหมิ่นเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองทำให้น้องสาวต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ก็ตบศีรษะตนเองอย่างโมโห เขามันโง่เขลาจริง ๆ
"เป็นข้าที่โง่เขลา ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยแล้ว" เขาเดินมานั่งข้างมารดาเนื้อตัวก็เกร็งไปหมด เซียวฮูหยินกับเซียวอู่มองหน้ากัน เมื่อก่อนบุตรสาวไม่ชอบบุตรชาย แต่ทำไมยามนี้ถึงได้เรียกให้เข้ามาใกล้ แต่ต่อให้สงสัยเพียงใด ทว่าคนเป็นพ่อแม่ เห็นลูกทั้งสองปรองดองกันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เช่นนั้นทั้งคู่จึงปล่อยให้พี่น้องได้มีโอกาสพูดคุยกัน
"แม่จะออกไปดูยาในครัวก่อน หมิ่นเอ๋อร์อย่าได้ยั่วโมโหน้องสาวเจ้าเล่า"
"ข้ามิได้ทำเช่นนั้นเสียหน่อย" ครั้นเมื่อบิดาและมารดาเดินออกไป เซียวเซิ่งหมิ่นกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดเสียอย่างนั้น เซียวเยวี่ยหลันเห็นว่าพี่ใหญ่กำบางสิ่งไว้ในมือก็ยกคิ้วขึ้น
"พี่ใหญ่ถือสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ" เซียวเซิ่งหมิ่นไม่คิดว่าน้องสาวจะมองเห็น เขาเก้อเขินขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รีบยกมือซ่อนเอาไว้ด้านหลัง
"เปล่าหรอก เจ้าอย่าสนใจเลย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดจึงตกน้ำเล่า ยามนี้เข้าหน้าหนาวมีความจำเป็นอันใดต้องไปเดินริมสระบัวกัน" ครั้นหลุดปากถามไป เซียวเซิ่งหมิ่นก็อยากจะยกมือตบปากตนเอง เขามันปากพล่อย พูดเช่นนี้น้องสามจะต้องเข้าใจว่าเขาตำหนินางหรือไม่ ชายหนุ่มแอบเหลือบมองใบหน้าของน้องสาวเงียบ ๆ ทว่ากลับเห็นว่านางกำลังเหม่อลอย