จางหนิงตื่นตั้งแต่เช้า หลังจากที่วันนี้ไม่ได้ออกไปวิ่งเธอจึงกลับไปนอนต่อเมื่อออกมาก็ไม่เห็นฉู่หยาง เธอเห็นด้านหน้าห้องของเขาติดกระดาษเอาไว้ว่าจะไม่กลับมากินข้าวเที่ยงและเย็นด้วย หญิงสาวจึงทำอาหารกินเพียงคนเดียว
เมื่อทำงานบ้านเสร็จก็ยังเหลือเวลาอีกมากเธอรู้สึกเหงา หญิงสาวจึงคิดที่จะไปหาพี่สะใภ้หวัง เธอแบ่งผลหยางเหมยใส่ชะลอมไม้ไผ่และแบ่งเห็ดใส่ในถุงกระดาษ อีกทั้งยังแบ่งกุ้งแห้งที่เธอทำเองเอาไปฝากพี่สะใภ้หวังโดยเฉพาะอีกด้วย
หลังจากจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็เดินออกจากบ้านไปหาพี่สะใภ้หวัง บ้านของพวกเขาอยู่ห่างกันประมาณสองหลังคาเรือน เมื่อเธอเดินเข้าไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน ก็พบกับอีกฝ่ายที่กำลังพรวนดินอยู่ในแปลงผัก
เมื่อพี่สะใภ้หวังเห็นเธอก็ทักทายและให้การต้อนรับอย่างดี จางหนิงจึงยื่นสิ่งของที่เตรียมไว้ออกไปให้อีกฝ่าย “กุ้งแห้งที่ฉันทำเอง แล้วก็ลูกหยางเหมยกับเห็ดที่เก็บได้จากบนภูเขาค่ะ”
พี่สะใภ้หวังรับมาด้วยเลย "ขอบใจเธอมากเลยนะ สามีของพี่ไม่เคยพาขึ้นไปภูเขา ก็เลยไม่มีโอกาสได้เก็บของดี ๆ แบบนี้มากิน"
โดยปกติเมืองชายฝั่งติดทะเลไม่ค่อยมีผลไม้มาขายในสหกรณ์มากนัก เนื่องจากพวกเขานั้นอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง
ผลไม้บนภูเขาส่วนใหญ่ก็ถูกบรรดาพลทหารเก็บไปกินจนหมด ดังนั้นโอกาสในการได้กินผลไม้จึงมีไม่มากนัก
ดวงตาของเด็กน้อยหวังฉีก็เป็นประกายเช่นกัน เมื่อเขาเห็นผลหยางเหมยในมือของผู้เป็นแม่ พี่สะใภ้หวังเห็นแววตาของลูกชายเธอก็แบ่งให้เขาไปสามผล "เด็กคนนี้ชอบกินผลไม้เปรี้ยว ๆ ครั้งนี้โชคดีที่ได้อาสะใภ้อย่างเธอเอามาฝาก เขาถึงมีโอกาสได้กิน”
หวังฉีรับผลหยางเหมยมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขอบคุณจางหนิง “อาสะใภ้ทั้งสวยทั้งใจดี ฉีฉีชอบอาสะใภ้มากที่สุดเลยครับ” พูดจบเขาก็ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน
“เข้ามาดื่มน้ำในบ้านก่อนสิ” พี่สะใภ้หวังชวนเธอเดินเข้าไปในบ้าน แต่ในจังหวะที่กำลังก้าวเดิน หญิงสาวก็รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าเล็กน้อยจนต้องนิ่วหน้า ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของเธอจะยังไม่หายดีสักเท่าไหร่
"หนิงหนิง ขาของเธอเป็นอะไร ทำไมถึงเดินท่าแปลก ๆ แบบนี้ล่ะ" พี่สะใภ้หวังเอ่ยทัก ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกและยิ้มให้เธอแบบแปลก ๆ "เมื่อคืนนี้เธอกับสามีนอนดึกมากเลยหรือ”
จางหนิงยังคงงุนงงในช่วงแรก แต่เพียงไม่นานเธอก็เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
พี่สะใภ้หวังยังคงพูดต่อไปอีกว่า "ผู้กองฉู่ร่างกายแข็งแรงยังหนุ่มยังแน่น ช่วงนี้เธอต้องอดทนหน่อยนะ"
จางหนิงหน้าแดงก่ำอยากจะบอกออกไปว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่…เธอยังไม่เคยโดนเลยสักครั้ง!
"ไม่ใช่อย่างที่พี่สะใภ้คิดหรอกค่ะ เป็นเพราะว่าเมื่อวานนี้…ฉันขึ้นไปเก็บเห็ดบนภูเขา แล้วสะดุดล้มจนขาแพลงก็เลยเจ็บข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ"
แต่ถึงแม้เธอจะอธิบายไปอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ดูไม่ค่อยจะเชื่อเท่าใดนัก "หนิงหนิง อย่าอายไปเลย เรื่องแบบนี้พี่ก็เคยผ่านมาแล้ว พวกผู้ชายที่แต่งงานใหม่ก็เหมือนกับแมวเห็นปลา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งทนไม่ไหวกินมากเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ” หลังจากนั้นพี่สะใภ้หวังก็แนะนำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ช่วงนี้ถ้าเธอท้องได้เร็ว ๆ จะดีมาก อายุยังน้อยเด็กจะได้แข็งแรง อีกไม่กี่วันก็จะถึงช่วงเวลาน้ำลด พี่สะใภ้คนอื่น ๆ จะไปแถวชายหาด ถ้าโชคดีก็จะเก็บหอยนางรมได้ เธอก็รู้ใช่ไหมว่าหอยนางรมมีสรรพคุณดีต่อผู้ชายมาก ถ้าถึงวันนัดเมื่อไหร่พี่จะไปเรียกเธอให้มาด้วยกัน”
จางหนิงจึงทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ตอบรับด้วยความเขินอาย หญิงสาวนึกถึงภาพในตอนที่เขาถอดเสื้อผ่าฟืนอยู่ที่หลังบ้าน เธอคิดว่าฉู่หยางแข็งแรงมาก เขาคงไม่ต้องการตัวช่วยให้อึดถึกทนอย่างแน่นอน!
พี่สะใภ้หวังเห็นว่าจางหนิงใบหน้าแดงก่ำด้วย เธอก็เลิกพูดเรื่องนี้ “เอาล่ะ ๆ พี่ไม่พูดอีกแล้ว"
หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็เดินเข้าไปในบ้านห้องของตัวเอง ผ่านไปไม่นานก็ออกมาพร้อมกับตลับยา “นี่เป็นยาที่ทาช่วยลดอาการปวดบวมที่แม่ของพี่ส่งมาให้...มีอยู่หลายตลับพี่แบ่งให้เธอใช้นะ ถ้าครั้งหน้ารู้สึกไม่ดีเธอก็ใช้มันได้เลยรับรองว่าเห็นผลดีทีเดียวเชียวล่ะ ”
“ขอบคุณค่ะ” จางหนิงไม่อยากจะเถียงและยอมรับยาจากพี่สะใภ้หวังมาเก็บเอาไว้ ภายในใจของเธอก็มีความมุ่งมั่นเอาไว้ว่าวันหน้าจะต้องได้ใช้มันแน่นอน!
หลังจากนั้นพี่สะใภ้หวังก็พาเธอไปแนะนำให้รู้จักกับพี่สะใภ้คนอื่น ๆ ที่อยู่ในละแวกบ้านใกล้เคียงกัน ซึ่งทุกคนก็ตอบรับมิตรภาพอย่างดี
ยกเว้นบ้านของผู้พันหลิน ที่ภรรยาของเขาโดยไม่ค่อยจะเป็นมิตรมากเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายเคยตั้งใจที่จะให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับฉู่หยาง แต่เมื่อไม่ประสบผลสำเร็จคงจะรู้สึกเสียหน้า
จางหนิงเองก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหากับใคร ในอนาคตหวังว่าต่างคนก็ต่างอยู่เถอะ!
…….
วันนั้นในตอนเที่ยงที่ครอบครัวของผู้พันหลินกินข้าวด้วยกัน นางฟางชุยก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่ฉู่หยางแต่งงานขึ้นมา "ตอนที่แนะนำลูกสาวของเราให้รู้จัก ฉู่หยางบอกว่าเขายังไม่อยากแต่งงาน แต่ผ่านไปไม่นาน…เขากลับแต่งงานกับจางหนิง นี่ไม่ใช่การตบหน้าพวกเราหรอกหรือคะ"
หลินเยว่ฟังผู้เป็นแม่พูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง วันนี้เธอก็แอบมองอยู่ตรงหลังประตูและเห็นภรรยาของฉู่หยางแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายก็ไม่ได้หน้าตาดีไปมากกว่าเธอสักเท่าไหร่ "หนูว่าหล่อนไม่เห็นจะสวยสักเท่าไหร่เลยนะคะ ไม่รู้ว่าผู้กองฉู่เลือกดีที่สุดได้เท่านี้เองหรือไง!"
ผู้พันหลินขมวดคิ้วมองลูกสาวของตัวเอง “อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าได้พูดอย่างนี้เชียวนะ!” เขาถอนหายใจกับความไม่ได้เรื่องของลูกสาว “เธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วต้องรู้จักควบคุมปากของตัวเองบ้าง”
จากนั้นเขาก็หันมาดุภรรยา “คุณก็เหมือนกัน เวลากินห้ามพูด อายุมากขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักมารยาทพื้นฐานอีกหรือไง” ผู้พันหลินรู้สึกหงุดหงิดที่ทั้งภรรยาและลูกสาวมีนิสัยเช่นนี้ ถ้าย้อนเวลาไปได้เขาจะเลือกอยู่เป็นโสดเสียดีกว่า!
........
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าฉู่หยางยุ่งอะไร เขามักจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับมาในตอนค่ำหลังจากที่เธอเข้านอนไปแล้ว
จางหนิงคิดว่าวันนี้เขาก็คงไม่กลับมากินข้าวเที่ยงเหมือนเดิม เธอรู้สึกเหงาและไม่อยากกินอาหาร จึงเลือกเสื้อผ้าออกมาซัก หลังจากซักผ้าส่วนของตัวเอง เธอก็เห็นว่ายังมีเวลาอีกมากจึงเลือกเสื้อผ้าของฉู่หยางมาซักด้วย
เสื้อผ้าส่วนมากของชายหนุ่มจะเป็นชุดทหาร เมื่อเธอนับจำนวนดูก็พบว่า ถ้าวันนี้ยังไม่ซักเสื้อผ้า เขาก็จะไม่มีชุดให้เปลี่ยนอีกแล้ว
วันนี้ฉู่หยางกลับมาบ้านในตอนเที่ยงตอนที่เดินเข้าไปหลังบ้าน ก็เห็นว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเตี้ย และพยายามขยี้เสื้อผ้าของเขาที่อยู่ในกะละมัง ช่วงนี้ชายหนุ่มอยู่ที่สนามฝึกซ้อมทุกวัน จึงทำให้เสื้อผ้าค่อนข้างสกปรกมาก
ฉู่หยางไม่สามารถทนมองเห็นเธอลำบากมาซักผ้าให้กับเขาได้ ชายหนุ่มจึงเดินมานั่งลงด้านข้างของคนตัวเล็กกว่า "พี่จะซักเอง เธอไปอุ่นหมั่นโถวให้พี่หน่อย"
จางหนิงได้ยินเช่นนั้นจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว และลงมืออุ่นอาหารให้กับเขา
เมื่อฉู่หยางซักผ้าเสร็จอาหารก็อุ่นเรียบร้อยพอดีคนทั้งคู่จึงกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
ระหว่างมื้ออาหาร ฉู่หยางหยิบธนบัตรออกมาหนึ่งปึกให้เธอ "นี่เป็นเงินเดือนของพี่มีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบเก้าหยวน นับจากนี้เป็นต้นไป เธอก็เป็นคนจัดการดูแลก็แล้วกัน ถ้าพี่จะใช้เมื่อไหร่จะขอจากเธอเอง"
จางหนิงมองเงินที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะรีบปฏิเสธ "ฉันว่าพี่หยางเก็บเอาไว้เองดีกว่า ฉันใช้เงินเก่งมากเลยนะคะ ถ้าในอนาคตพวกเราหย่ากัน ฉันอาจจะใช้เงินพี่จนหมดไม่มีเหลือเก็บก็ได้นะคะ"
ฉู่หยางฟังแล้วก็นึกเสียใจภายหลังที่ในตอนแรกเขาบอกข้อตกลงเรื่องจะแต่งกันแค่ในนาม หากเขาไม่ปากพล่อยพูดออกไปแบบนั้น การเดินหน้าความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงจะง่ายกว่านี้ “ทุกครั้งที่ไปทำภารกิจก็จะได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษ เงินส่วนนี้พี่จะเก็บไว้เอง ส่วนเงินเดือนเธอก็ใช้ได้ตามสบาย” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและจริงจัง "พี่สัญญากับคุณพ่อของเธอแล้วว่าจะดูแลเธออย่างดี ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจและใช้เงินได้อย่างเต็มที่เลย"
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากค่ะ” จางหนิงรับเงินทั้งปึกมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กกว่ายิ้ม ฉู่หยางก็ยิ้มตามด้วยความอารมณ์ดีเช่นกัน