EP6.1 ll คุณพ่อหวงมากนะ [1]

1199 Words
ชิ้ง คุณหมอพูดจบปุ๊ป ฉันกับแม่หันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมาย หนอยแน่ะ นังผู้หญิงที่คบกับหมอตั้งแต่มอต้นยันจบมหาลัยคนนั้นคือใครเนี่ย! ฟังแล้วหงุดหงิดจัง! “แหมมมม คบน๊านนานนะคะ คุณหมอ หมอบอกว่าเคยงั้นแสดงว่าตอนนี้เลิกกันแล้วสิคะ” “ก็เพิ่งเลิกไปปีที่แล้วนะคะ” “โถๆๆ ไม่เป็นไรนะคะ คุณหมอ ถือซะว่าเป็นคนที่ผ่านมาแล้วผ่านไปเพื่อให้คุณหมอมาเจอรักที่ดีกว่าค่ะ” ฉันปลอบคุณหมอแล้วสบตานางพลางใช้นิ้วชี้ทัดผมไปไว้หลังหูแล้วสบตาปิ๊งๆ “เตยจะเป็นคนนั้นให้หมอเองค่ะ” “คะ?” “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถือว่าแลกเปลี่ยน หมอรักษาโรคให้เตย เตยก็รักษาใจให้หมอไงคะ พอดีเตยไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใครค่ะ” “จริงๆ มันก็ไม่ใช่บุญคุณอะไรนะคะ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วนะ” หมอหัวเราะกับการที่ฉันเสนอตัวแล้วทำหน้าจริงจัง ฉันแอ่นอกให้หมอเห็นทรวดทรงชัดๆ “เตยก็ทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกันนะคะ” “หน้าที่อะไรคะ?” หมองง “หน้าที่ของภรรยาไงคะ ถ้าสามีเสียใจก็ต้องปลอบสิคะ” ฉันหัวเราะนิดนึงตามสเต็ปนางเอกแล้วมองหมอด้วยสายตาลึกซึ้ง หมอย่นคิ้วนิดๆ แต่หน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ อุ้ยๆๆๆๆ ยิ้มแบบนี้แสดงว่าชอบบบบ ถ้าหมอชอบ หมอต้องจัดนะคะ คือถ้าฉันเสนอหน้ามากกว่านี้ก็กะหรี่แล้วเนี่ย อุ้ย คิดอะไรไม่เป็นกุลสตรีเลยฉันเนี่ย! ฉันยิ้มตาหยีเหมือนพูดทีจริงทีเล่นเพื่อไว้ตัวบ้างสักนิดหนึ่ง ถึงมันจะไม่ทันแล้วก็เถอะ “นี่เราแต่งงานกันแล้วเหรอคะ?” “แล้วจะแต่งเลยมั้ยล่ะคะ?” ฉันหัวเราะคิกคักพลางมองหน้าคุณหมออย่างมีเลศนัย และไม่ใช่แค่ฉันที่ยิ้มจนแก้มแทบแตก แม่ฉันเองก็สนับสนุนด้วยการพุ่งเข้ามาแทรกบทสนทนาของพวกเรา “แหมๆๆๆ ลูกเตย เป็นสาวเป็นแส้ อย่าไปแกล้งคุณหมออย่างนั้นสิคะ” แม่จิ๊จ๊ะแล้วหันไปมองคุณหมอนิดนึง “ที่จริงผู้หญิงบ้านเรารักนวลสงวนตัวทั้งนั้นแหละค่ะ ลูกเตยเนี่ย พ่อหวงมากเลยนะ” หือ ฉันเหรอ? ฉันงงที่แม่บอกก่อนจะตวัดนิ้วชี้เข้าที่หน้าตัวเองเพื่อเป็นการยืนยันว่าพ่อฉันอะเหรอที่หวง ถ้าใส่พานถวายให้ผู้ชายสักคนได้คงทำไปแล้วเนี่ย... ล่าสุดกลัวฉันขึ้นคานยังบอกว่าจะจับฉันแต่งงานกับลูกชายเพื่อนลุงปิ๊กอยู่เลยอ่ะ น่ากลัวมาก “หือ จริงเหรอคะ?” หมอเลิกคิ้วสูง ฉันไม่ค่อยเข้าใจคำถามหมอเท่าไหร่ว่ามันเป็นแง่บวกหรือลบ ไม่แน่ใจว่าหมอถามเพราะความสงสัยหรือไม่อยากจะเชื่อ แหม ก็ดูฉันกับแม่สิ ทั้งเต๊าะทั้งหยอด ผลัดกันชงจนหมองงแล้วเนี่ย “ใช่สิคะ ตั้งแต่ลูกเตยโตเป็นสาวเนี่ย พ่อเค้าพกปืนตลอดเลยนะ” “ฮะ พ่อพกด้วยเหรอ?” “พกสิ ก็เนี่ยพ่อบอกว่าถ้าผู้ชายคนไหนเข้าบ้านนะ จะยิง” “ฮะ” ฉันมองหน้าแม่เหมือนไม่อยากจะเชื่อ พ่อจะหวงฉันเบอร์นั้นเลยเหรอ จนกระทั่งนางหัวเราะแล้วมองหน้าคุณหมออย่างมีเลศนัย “จะยิงถ้าเดินออกไปเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรไงคะ คุณหมอก็ระวังไว้นะคะ แม่เตือนแล้วน้า” แม่ไม่ว่าเปล่าพลางส่งสายตาข่มขู่ปนล้อเล่นนิดๆ ทำเอาคุณหมอแทบจะสำลักอาหารในปากก่อนที่เขาจะหัวเราะจนตาแทบปิด “คุณแม่กับเตยนี่เป็นคนตลกจังนะคะ” “ก็เค้าบอกว่าสวยมักนก ตลกมักได้ไงคะ หมอว่าจริงมั้ย?” ฉันวางข้อศอกบนโต๊ะก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกุมแก้มของตัวเอง ส่งสายตาหวานๆ ทอดสะพานให้หมอข้ามมาไวๆ “ไม่รู้สิคะ” หมอขำ “แหม คุณหมอล่ะก็ ว่าแต่ทานข้าวเสร็จแล้วจะไปไหนต่อเหรอคะ?” ฉันเปลี่ยนประเด็นสนทนากลัวว่าแอ๊วหมอมากไปเดี๋ยวหมอจะเบื่อเปล่าๆ ฉันต้องเก็บมุขไว้แอ๊ววันพรุ่งนี้บ้าง แอ๊ววันละนิด จิตแจ่มใส ก้อนหินแข็งยังกร่อนเมื่อโดนน้ำเซาะทุกวัน แล้วจะเอาอะไรกับใจหมอที่ต้องกร่อนเพราะโดนฉันอ่อยบ้างแน่ะ “ก็กลับไปนอนมั้งคะ ไม่ค่อยได้นอนเลย ดูใต้ตาหมอสิ ดำหมดแล้ว” หมอเบ้ปากนิดๆ ตอนที่บ่นเรื่องงาน ฉันก็เชื่อนะว่าหมอคงทำงานหนักจริงๆ แหละก็ที่นี่หมอมีน้อย แต่คนไข้ไม่ได้สัมพันธ์กับปริมาณบุคลากรเท่าไหร่ “คุณหมอต้องดูแลสุขภาพบ้างนะคะ ถ้าหมอป่วยจะแย่นะ เตยช่วยดูแลก็ได้นะคะ” ฉันเสนอตัวอีก “เก็บทุกเม็ดเลยนะคะ เดี๋ยวหมอก็หวั่นไหวหรอก” ว้ายยยยยย พูดงี้เดี๋ยวฉันได้ใจนะ ฉันอยากจะกรี๊ดใส่หน้าหมอตอนที่เขายิ้มให้ คือประโยคชวนคิดแล้วยังจะแบ๊วใส่ฉันอีก ถ้าอ่อยแล้วไม่เอา มีปัญหานะหมอ! “ก็ดีสิคะ” “เดี๋ยวหมอคงไปแล้วนะคะ ค่าอาหารเท่าไหร่คะ?” หมอว่าแล้วทำท่าจะลุกขึ้นแล้วหยิบเงินในกระเป๋าออกมา หากแต่แม่ฉันยกมือเบรกแล้วส่ายหัวรัวๆ “ไม่เอาค่ะคุณหมอ แม่ไม่เอาเงินคุณหมอหรอกค่ะ” “หมอเกรงใจค่ะ เดี๋ยวคราวหน้าหมอไม่กล้ามากินนะคะ” หมอยืนยันที่จะจ่ายและทำให้ฉันกับแม่มองหน้ากัน แม่ฉันถอนหายใจแล้วจิ๊จ๊ะนิดนึงพลางเอื้อมมือไปตีแขนคุณหมอ “แหม คุณหมอล่ะก็ ใครเขาเก็บเงินค่าอาหารลูกเขยตัวเองกันคะ” เช้าวันใหม่ ฉันตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาช่วยแม่เตรียมของสำหรับทำอาหารเพื่อขายในตอนกลางวัน เมื่อวานนี้ฉันกับแม่ทั้งหยอด ทั้งเต๊าะ ทั้งล่อลวงหมอแทบจะทุกทาง แต่หมอก็เอาแต่อมยิ้มและขำเหมือนดูตลก ฉันเลยไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ฉันมาถูกทางแน่แล้วรึเปล่า บรื้น บรื้น เสียงรถยนต์ของอีตั้วน้องชายฉันที่กลับมาจากกรุงเทพพร้อมกับพ่อที่ไปสัมนา ตอนแรกมีแค่ฉันกับแม่ก็วุ่นวายมากแล้ว พอพ่อกับอีตั้วกลับมา เรียกได้ว่าที่สุดแห่งความอลหม่าน ณ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า น้องชายที่อายุน้อยกว่าฉันประมาณสามปีก้าวเท้าลงมาพร้อมเสื้อฮาวายลายสัปปะรดที่ปลดกระดุมเม็ดนึงเผยให้เห็นผิวเนื้อพอกรุบกริบ กับพ่อที่สวมเสื้อลายสก็อตสีหม่นๆ และแว่นกันแดดเรย์แบน แค่พวกเขาก้าวเท้าลงมาจากรถ ลมจากทางทิศตะวันออกก็พัดปะทะจนผมของพวกเขาปลิวไสว ฉันกำลังวุ่นวนกับการเทแกงใส่ในถาด อีตั้วก็พุ่งเข้ามาหาฉันด้วยคำทักทายแรก...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD